เล่นไพ่ไม่กลัวอด
ข้าพเจ้าได้รู้จักกับสตรีผู้หนึ่งเป็นสตรีโสด ปัจจุบันอายุถึง ๖๕ ปี แล้ว เป็นลูกศิษย์ของบิดามารดาข้าพเจ้า สมัยเมื่อท่านเป็นสาวท่านชอบเล่นการพนันหลายชนิด ที่ชอบมากเป็นพิเศษ คือเล่นน้ำเต้าและไพ่ ปัจจุบันที่ยังเล่นเป็นประจําคือไพ่
เมื่อข้าพเจ้าเป็นเด็ก ทุกเย็น ข้าพเจ้าจะเห็นลูกศิษย์ของพ่อแม่คนนี้ ซึ่งข้าพเจ้าเรียกว่าพี่อบ นําเงินที่ได้กําไรจากการขายขนมชนิดต่างๆ ประจําวันมาฝากไว้กับแม่ข้าพเจ้าทุกวัน
“แม่ แม่ ทําไมพี่อบเค้าต้องเอาตังค์มาฝากแม่ไว้ ทําไมเค้าไม่เก็บไว้เอง” ข้าพเจ้าถาม
“ลูกไม่รู้อะไร อบเนี่ยเค้าชอบเล่นไพ่มากเชียวลูก เค้ารู้ตัวว่าเล่นไม่เก่ง เล่นที่ไรมักถูกกินจนหมดตัว แต่ก็ชอบเล่น ห้ามใจตนเองไม่ได้ เลยใช้วิธีเอาเงินมาฝากแม่ ให้เหลืออยู่ที่ตัวเองน้อยๆ พอเล่นเสียหมดแล้ว ก็ไม่กล้ามาเบิกจากแม่ เพราะเค้าสั่งไว้ให้แม่คอยด่าเค้าเวลาเค้ามาเบิก”
“แหม หนูเพิ่งเข้าใจวันนี้เอง หนูเคยสงสัยบ่อยๆ ที่เห็นแม่ด่าพี่อบเวลาเค้ามาเบิกเงิน ก็เงินของเค้าทําไมแม่จึงด่าเค้า และหนูก็ยังแปลกใจที่เห็นพี่อบไม่โกรธแม่ซักที ยิ่งด่ายิ่งหัวเราะ” ข้าพเจ้ากล่าวกับมารดาอย่างเข้าใจเหตุการณ์
มีบางครั้งข้าพเจ้าได้ยินเสียงแม่ตวาดพี่อบว่า
“เอ้า เอ้า เอาไปให้หมดเสียเลย ดีมั้ย เล่นไพ่ซะให้ฉ่ำใจให้มันหมดไปเลย มาเบิกเล็กเบิกน้อย ฝากเย็นเบิกเช้า ฝากเช้าเบิกเย็น ชั้นเบื่อเต็มที ไม่ต้องทําอะไรกันแล้ว นั่งคอยจําแต่เรื่องเงินฝากเงินถอน อยู่นี่แหละ”
พอเห็นอารมณ์เสียดังนี้พี่อบก็จะเงียบพร้อมกับพูดเสียงอ่อยๆ
“ไม่เบิกแล้วครู ตกลงวันนี้ฉันไม่ไปเล่นแล้ว เดี๋ยวไปตัดใบตองเตรียมทําขนม พรุ่งนี้จะออกขายแต่เช้ามืดให้ทันคนเค้าซื้อใส่บาตร เอากําไรพรุ่งนี้ไปเล่นแก้ตัวต่อก็ได้ ครูอย่าโกรธเลยนะ” ว่าแล้วพี่อบก็จะคว้าไม้ตะขอตรงปลายมีมีดคมผูกติดอยู่ เดินเข้าดงกล้วยไปตัดใบตอง
“แม่โกรธพี่อบจริงๆ หรือนี่ หนูเห็นพี่อบหน้าซีดทีเดียว” ข้าพเจ้าถามมารดา
“ถ้าแม่ไม่ทําท่าโกรธยังงั้น วันนี้มันต้องหมดเงินเป็นพันเชียวแหละลูก” แม่ตอบพร้อมกับหัวเราะ
“ทําไมล่ะแม่ หนูไม่เข้าใจ ทําไมต้องหมดเงินมากมาย”
“ก็วันนี้นักเลงไพ่บ้านใต้มันมาเล่น มันเล่นเก่งมาก โดยเฉพาะมันโกงเก่ง คนโง่ๆ ไม่ทันมันหรอก มันโกงเอาหมด วันนี้นังอบมันจึงเสียจนหมดตัวไงลูก แม่ก็ต้องทําอุบายเป็นโกรธมันยังงั้นแหละ”
ข้าพเจ้าฟังคําอธิบายแล้วเข้าใจดี พลอยให้นึกชื่นชมมารดาของตนเอง แม่ไม่ได้เป็นครูของพี่อบเฉพาะเมื่อตอนที่พี่อบเรียนอยู่ในโรงเรียน แม้ออกจากโรงเรียนเป็นผู้ใหญ่ ทํามาหากินได้แล้ว ครูอย่างแม่ ต้องตามดูแลสั่งสอน ตามป้องกันศิษย์ของตนเองให้พ้นจากความหายนะจนสุดความสามารถ ถ้าต่อไปข้าพเจ้าโตเป็นผู้ใหญ่ มีอาชีพเป็นครูอย่างแม่ ข้าพเจ้าจะทําอย่างแม่ได้หรือเปล่าหนอ...
อย่างไรก็ตาม ข้าพเจ้าก็นึกชื่นชมพี่อบอยู่บ้างตรงที่ว่า เป็นคนโง่ที่รู้ว่าตนเองโง่ รู้จักว่าตนเองเป็นคนอ่อนแอ รู้ตัวว่าบังคับใจตนเองไม่ได้ ยังมีปัญญาคิดหาทางป้องกันความพินาศของตนเองด้วยวิธีเอาเงินมาฝากคนที่ตนเองไว้วางใจ เป็นคนที่ตนเกรงใจ ให้ผู้ถูกฝากคอยดุว่าสั่งสอนให้สติ คนชนิดนี้ก็หาได้ไม่ง่ายนัก
ไม่ว่าข้าพเจ้าจะจากบ้านไปเรียนนานเท่าใด ปีแล้วปีเล่า ข้าพเจ้าก็จะกลับมาบ้านตอนปิดภาคเรียน ทุกครั้งยังคงได้พบเหตุการณ์ที่เล่านี้อยู่ตลอดเวลา ที่ฝาห้องเรือนชั้นในมีแต่ลายมือของแม่เขียนด้วยชอล์ก ลงรายการฝากถอนเงินของพี่อบยาวเหยียด
“นี่พี่อบเค้ายังไม่เลิกฝากเงินกับแม่อีกหรือคะ”
“ยังลูก เค้าก็ยังฝากยังถอนของเค้าอยู่เรื่อยๆ ทําไมถึงไม่ฝากแม่ของตัวเองก็ไม่รู้” แม่ตอบพร้อมกับบ่นไปในตัว
“หนูว่าเค้าไม่ยอมฝากป้าเพิ่มหรอกแม่ ป้าเพิ่มแก่มากแล้ว เดี๋ยวหลงลืมทําหายหรือไม่ก็อยู่ใกล้เกินไป ถอนได้ง่าย แล้วป้าเพิ่มก็บ่นลูกว่าลูกไม่เป็นด้วย พี่อบเสียไพ่หน้ามืดขึ้นมาก็เบิกไปเล่นหมดกัน ฝากกับแม่ยังได้อาศัยแม่ดุด่าว่ากล่าว เงินจึงยังพอมีเหลือ เอ...นี่พี่อบ เค้าคิดเอาดอกเบี้ยจากแม่หรือเปล่าคะนี่” ข้าพเจ้าถามมารดา
“เอาดอกเบี้ยได้ยังไงกัน มีแต่ควรจะต้องให้ค่าเหนื่อยแก่แม่จึงจะถูก แม่จะไปไหนมาไหนก็ต้องคอยห่วงเงินของเค้าอยู่เนี่ย กลัวหายบ้าง กลัวเค้าจะมาถอนบ้าง เลยต้องนั่งเป็นปู่โสมเฝ้าทรัพย์”
แม่ตอบ ข้าพเจ้าฟังแล้วคิดต่อในใจว่า พี่อบนี่โง่จัง น่าจะเอาเงินไปฝากออมสินยังจะได้ดอกเบี้ย มาฝากแม่เราอยู่ได้เป็นปีๆ เงินมีจํานวนเป็นพันๆ เงินจํานวนพันสมัยเมื่อ ๔๐ ปีที่แล้วมา นับว่ามาก แต่พอข้าพเจ้าแนะนํา พี่อบกลับตอบว่า
เมื่อข้าพเจ้าเป็นเด็ก ทุกเย็น ข้าพเจ้าจะเห็นลูกศิษย์ของพ่อแม่คนนี้ ซึ่งข้าพเจ้าเรียกว่าพี่อบ นําเงินที่ได้กําไรจากการขายขนมชนิดต่างๆ ประจําวันมาฝากไว้กับแม่ข้าพเจ้าทุกวัน
“แม่ แม่ ทําไมพี่อบเค้าต้องเอาตังค์มาฝากแม่ไว้ ทําไมเค้าไม่เก็บไว้เอง” ข้าพเจ้าถาม
“ลูกไม่รู้อะไร อบเนี่ยเค้าชอบเล่นไพ่มากเชียวลูก เค้ารู้ตัวว่าเล่นไม่เก่ง เล่นที่ไรมักถูกกินจนหมดตัว แต่ก็ชอบเล่น ห้ามใจตนเองไม่ได้ เลยใช้วิธีเอาเงินมาฝากแม่ ให้เหลืออยู่ที่ตัวเองน้อยๆ พอเล่นเสียหมดแล้ว ก็ไม่กล้ามาเบิกจากแม่ เพราะเค้าสั่งไว้ให้แม่คอยด่าเค้าเวลาเค้ามาเบิก”
“แหม หนูเพิ่งเข้าใจวันนี้เอง หนูเคยสงสัยบ่อยๆ ที่เห็นแม่ด่าพี่อบเวลาเค้ามาเบิกเงิน ก็เงินของเค้าทําไมแม่จึงด่าเค้า และหนูก็ยังแปลกใจที่เห็นพี่อบไม่โกรธแม่ซักที ยิ่งด่ายิ่งหัวเราะ” ข้าพเจ้ากล่าวกับมารดาอย่างเข้าใจเหตุการณ์
มีบางครั้งข้าพเจ้าได้ยินเสียงแม่ตวาดพี่อบว่า
“เอ้า เอ้า เอาไปให้หมดเสียเลย ดีมั้ย เล่นไพ่ซะให้ฉ่ำใจให้มันหมดไปเลย มาเบิกเล็กเบิกน้อย ฝากเย็นเบิกเช้า ฝากเช้าเบิกเย็น ชั้นเบื่อเต็มที ไม่ต้องทําอะไรกันแล้ว นั่งคอยจําแต่เรื่องเงินฝากเงินถอน อยู่นี่แหละ”
พอเห็นอารมณ์เสียดังนี้พี่อบก็จะเงียบพร้อมกับพูดเสียงอ่อยๆ
“ไม่เบิกแล้วครู ตกลงวันนี้ฉันไม่ไปเล่นแล้ว เดี๋ยวไปตัดใบตองเตรียมทําขนม พรุ่งนี้จะออกขายแต่เช้ามืดให้ทันคนเค้าซื้อใส่บาตร เอากําไรพรุ่งนี้ไปเล่นแก้ตัวต่อก็ได้ ครูอย่าโกรธเลยนะ” ว่าแล้วพี่อบก็จะคว้าไม้ตะขอตรงปลายมีมีดคมผูกติดอยู่ เดินเข้าดงกล้วยไปตัดใบตอง
“แม่โกรธพี่อบจริงๆ หรือนี่ หนูเห็นพี่อบหน้าซีดทีเดียว” ข้าพเจ้าถามมารดา
“ถ้าแม่ไม่ทําท่าโกรธยังงั้น วันนี้มันต้องหมดเงินเป็นพันเชียวแหละลูก” แม่ตอบพร้อมกับหัวเราะ
“ทําไมล่ะแม่ หนูไม่เข้าใจ ทําไมต้องหมดเงินมากมาย”
“ก็วันนี้นักเลงไพ่บ้านใต้มันมาเล่น มันเล่นเก่งมาก โดยเฉพาะมันโกงเก่ง คนโง่ๆ ไม่ทันมันหรอก มันโกงเอาหมด วันนี้นังอบมันจึงเสียจนหมดตัวไงลูก แม่ก็ต้องทําอุบายเป็นโกรธมันยังงั้นแหละ”
ข้าพเจ้าฟังคําอธิบายแล้วเข้าใจดี พลอยให้นึกชื่นชมมารดาของตนเอง แม่ไม่ได้เป็นครูของพี่อบเฉพาะเมื่อตอนที่พี่อบเรียนอยู่ในโรงเรียน แม้ออกจากโรงเรียนเป็นผู้ใหญ่ ทํามาหากินได้แล้ว ครูอย่างแม่ ต้องตามดูแลสั่งสอน ตามป้องกันศิษย์ของตนเองให้พ้นจากความหายนะจนสุดความสามารถ ถ้าต่อไปข้าพเจ้าโตเป็นผู้ใหญ่ มีอาชีพเป็นครูอย่างแม่ ข้าพเจ้าจะทําอย่างแม่ได้หรือเปล่าหนอ...
อย่างไรก็ตาม ข้าพเจ้าก็นึกชื่นชมพี่อบอยู่บ้างตรงที่ว่า เป็นคนโง่ที่รู้ว่าตนเองโง่ รู้จักว่าตนเองเป็นคนอ่อนแอ รู้ตัวว่าบังคับใจตนเองไม่ได้ ยังมีปัญญาคิดหาทางป้องกันความพินาศของตนเองด้วยวิธีเอาเงินมาฝากคนที่ตนเองไว้วางใจ เป็นคนที่ตนเกรงใจ ให้ผู้ถูกฝากคอยดุว่าสั่งสอนให้สติ คนชนิดนี้ก็หาได้ไม่ง่ายนัก
ไม่ว่าข้าพเจ้าจะจากบ้านไปเรียนนานเท่าใด ปีแล้วปีเล่า ข้าพเจ้าก็จะกลับมาบ้านตอนปิดภาคเรียน ทุกครั้งยังคงได้พบเหตุการณ์ที่เล่านี้อยู่ตลอดเวลา ที่ฝาห้องเรือนชั้นในมีแต่ลายมือของแม่เขียนด้วยชอล์ก ลงรายการฝากถอนเงินของพี่อบยาวเหยียด
“นี่พี่อบเค้ายังไม่เลิกฝากเงินกับแม่อีกหรือคะ”
“ยังลูก เค้าก็ยังฝากยังถอนของเค้าอยู่เรื่อยๆ ทําไมถึงไม่ฝากแม่ของตัวเองก็ไม่รู้” แม่ตอบพร้อมกับบ่นไปในตัว
“หนูว่าเค้าไม่ยอมฝากป้าเพิ่มหรอกแม่ ป้าเพิ่มแก่มากแล้ว เดี๋ยวหลงลืมทําหายหรือไม่ก็อยู่ใกล้เกินไป ถอนได้ง่าย แล้วป้าเพิ่มก็บ่นลูกว่าลูกไม่เป็นด้วย พี่อบเสียไพ่หน้ามืดขึ้นมาก็เบิกไปเล่นหมดกัน ฝากกับแม่ยังได้อาศัยแม่ดุด่าว่ากล่าว เงินจึงยังพอมีเหลือ เอ...นี่พี่อบ เค้าคิดเอาดอกเบี้ยจากแม่หรือเปล่าคะนี่” ข้าพเจ้าถามมารดา
“เอาดอกเบี้ยได้ยังไงกัน มีแต่ควรจะต้องให้ค่าเหนื่อยแก่แม่จึงจะถูก แม่จะไปไหนมาไหนก็ต้องคอยห่วงเงินของเค้าอยู่เนี่ย กลัวหายบ้าง กลัวเค้าจะมาถอนบ้าง เลยต้องนั่งเป็นปู่โสมเฝ้าทรัพย์”
แม่ตอบ ข้าพเจ้าฟังแล้วคิดต่อในใจว่า พี่อบนี่โง่จัง น่าจะเอาเงินไปฝากออมสินยังจะได้ดอกเบี้ย มาฝากแม่เราอยู่ได้เป็นปีๆ เงินมีจํานวนเป็นพันๆ เงินจํานวนพันสมัยเมื่อ ๔๐ ปีที่แล้วมา นับว่ามาก แต่พอข้าพเจ้าแนะนํา พี่อบกลับตอบว่า
“ฝากทําไมกันออมสินน่ะ อยู่ไกลถึงในตัวเมือง ไปมาลําบากฝากครู แม่ของหนูน่ะดีแล้ว ฝากถอนได้ตลอดเวลา ถอนกลางคืนก็ได้ ฝากตามถนนก็ได้ เจอกันที่ไหนก็ฝากได้ถอนได้ สบายดีออก”
เมื่อเป็นความพอใจของทั้งสองฝ่าย ข้าพเจ้าก็ไม่สนใจเอาเป็นธุระอีก ปล่อยทั้งคู่รับฝากรับถอนกันไปตามสบาย ในใจลึกๆ มีความเป็นห่วงมารดาอยู่บ้าง เกรงว่าถ้าใครรู้ว่าพี่อบมีเงินฝากครูไว้มากจะมาตื้อขอยืม ยืมพี่อบไม่ได้ก็จะมายืมแม่ของข้าพเจ้า แต่ก็โชคดีไม่ใคร่มีใครรู้เพราะทั้งผู้ฝากและผู้รับฝากไม่คุยอวด
กระทั่งต่อมามารดาของข้าพเจ้าเจ็บป่วยออดแอด ประกอบกับรัฐบาลยุคนั้นสั่งให้ครูทุกคนเลิกกินหมาก แม่พยายามอดอยู่หลายวัน ร่างกายสู้ไม่ไหว เป็นลมอยู่เสมอ แม่จึงลาออกจากราชการ เหลือแต่พ่อ ประกอบอาชีพต่อไปตามลําพัง รายได้ในครอบครัวจึงจํากัดมาก แม้ข้าพเจ้าจะได้ทุนจากกระทรวงศึกษาธิการเล่าเรียนในระดับอุดมศึกษาก็ตาม ก็ยังต้องรบกวนพ่ออยู่บ้างในกิจกรรมพิเศษต่างๆ ของทางมหาวิทยาลัย
ทางบ้านของข้าพเจ้าไม่เคยขัดข้อง ไม่ว่าข้าพเจ้าจะชี้แจงความจําเป็นเรื่องใดไป พ่อกับแม่จะส่งเงินมาให้เสมอ ท่านรู้ดีว่าข้าพเจ้ามิใช่คนใช้จ่ายฟุ่มเฟือย ถ้าลูกออกปาก ก็หมายถึงเป็นเรื่องจําเป็นจริงๆ
ข้าพเจ้าใช้เวลาเรียนอยู่ในมหาวิทยาลัย ๖ ปี ได้ ๒ ปริญญา ๓ ปีต้นต้องรบกวนทางบ้านมาก ๓ ปีท้ายได้ออกรับจ้างสอนหนังสือพิเศษ จึงไม่ใคร่รบกวนนัก เมื่อเรียนจบแล้วข้าพเจ้าเคยถามมารดาว่า
“ตอนหนูเรียนในมหาวิทยาลัยปีต้นๆ หนูใช้เงินเปลืองหน่อย ส่วนมากเป็นเรื่องซื้อหนังสือเรียน แม่เอาเงินที่ไหนส่งไปให้หนูใช้ บางครั้งหนูขอมากถึง ๔oo - ๕oo บาท”
“แม่ก็เอาเงินของอบเขาน่ะซีลูก เอามาหมุนก่อน เอาเงินเค้าส่งไปให้ลูกใช้ พอเงินเดือนของพ่อออก เราก็ใช้คืนเค้า แต่แม่ทําเป็นความลับนะ ไม่บอกอบมันหรอกลูก ขืนบอกเดี๋ยวเค้าไม่ไว้ใจ กลัวแม่ส่งให้ลูกแล้วหามาใช้หนี้ไม่ได้ เค้าก็จะไม่ไว้ใจเรา ไม่ยอมฝากเงินกับเราอีก” แม่อธิบายแล้วยังกล่าวเพิ่มเติม
“หนูรู้มั้ยลูก แม่หมุนเงินส่งลูกเรียนจนจบมานี่ อบไม่เคยรู้เรื่องเลย เค้านึกว่าเงินของเค้าอยู่ครบถ้วน เพราะมาขอเบิกจากแม่ครั้งใด แม่ก็มีให้ทุกที ก็เค้าเบิกครั้งหนึ่งๆ ไม่มากนี่ลูก หรือถ้าเกิดเบิกจํานวนมาก แม่มีไม่พอ แม่ก็จะไม่บอกเค้า แม่จะรีบไปยืมเพื่อนฝูงหรือญาติๆ มาให้เค้าทันที” ฟังแม่บอกเล่า ข้าพเจ้านึกถึงบุญคุณของแม่ด้วย บุญคุณของพี่อบด้วยตั้งแต่วินาทีนั้น
ในชีวิตของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าถือว่า พ่อ แม่ ย่า (ปู่ ตา และยาย ตายไปหมดแล้ว) เป็นผู้มีพระคุณสูงสุด ตอนนี้ข้าพเจ้าต้องนับเพิ่มขึ้นมา อีก ๑ คน คือพี่อบ คนๆ นี้มิใช่ญาติโดยสายโลหิต แต่กลับมีบุญคุณยิ่งกว่าญาติพี่น้องแท้ๆ ข้าพเจ้าจําได้ว่าญาติผู้ใหญ่หลายคนของพ่อและแม่มีฐานะดี เรียกว่าอยู่ในขั้นเศรษฐี เวลาพ่อแม่ของข้าพเจ้ามีความจําเป็นเรื่องการเงินไปออกปากยืม ญาติเหล่านั้นคิดดอกเบี้ยเต็มที่ ไม่เคยเห็นอกเห็นใจอย่างใด หลายครั้งที่แม่อ้างว่าจะนําเงินนั้นไปส่งข้าพเจ้าเรียน เขาก็ตามเก็บดอกเบี้ยไม่ยอมลดละ
พี่อบคนนี้แม้มิใช่ญาติ แม้มิได้ตั้งใจให้แม่ยืมเงินส่งเสียข้าพเจ้าเรียนโดยตรง แต่ในความเป็นจริง ข้าพเจ้าได้เงินของเขานั่นเอง นํามาใช้ก่อนโดยไม่ต้องเสียดอกเบี้ย ในความรู้สึกของข้าพเจ้า จะไม่ให้คิดว่า เขามีบุญคุณยิ่งกว่าญาติได้อย่างไรกัน
ก่อนแม่ถึงแก่กรรม แม่ได้ขอยืมเงินที่พี่อบฝากไว้ทั้งหมด ๑ หมื่น ๒ พันบาท นําไปซื้อที่นาติดถนนไว้แปลงหนึ่ง เมื่อแม่ถึงแก่กรรมลง พี่อบตกใจและเสียใจมาก โดยเฉพาะเรื่องเงินยืมจํานวนดังกล่าว เพราะมิได้ทําหนังสือสัญญากู้ยืมกันแต่ประการใด พ่อของข้าพเจ้าไม่จําเป็นต้องรับผิดชอบอย่างใดก็ได้ เพราะพ่อก็ไม่ทราบเรื่องเหล่านี้เท่าใดนัก ข้าพเจ้าเข้าใจความรู้สึกของพี่อบดี จึงถอนเงินของตนเองจากธนาคารนําไปมอบคืนให้ พี่อบรับเงินด้วยน้ำตาไหลริน
อย่างไรก็ตาม ในวันนําเงินไปเปิดบัญชีฝากธนาคาร พี่อบก็อ้อนวอนให้ข้าพเจ้าร่วมลงชื่อกับท่านด้วย โดยอ้างว่า
“หนูหวิน...ลงชื่อร่วมกับฉันเถอะ ต่อจากนี้ไปฉันไม่มีครู ไม่มีแม่ของหนูคอยดุด่าควบคุมเรื่องการเล่นไพ่ของฉันแล้ว ขอให้หนูช่วยควบคุมแทนก็แล้วกัน บัญชีเงินฝากนี้ถ้าเราลงชื่อร่วมกัน เวลาฉันจะถอนเงิน หนูจะต้องลงชื่อร่วมอนุญาตด้วย หนูหวินจะได้ท้วงติงฉันแทนครูแทนแม่ของหนูไงล่ะ”
เพื่อให้พี่อบสบายใจ ข้าพเจ้าจึงยอมลงชื่อร่วมในบัญชีเงินฝากเล่มนั้น แต่โดยเหตุที่ข้าพเจ้าต้องรับราชการอยู่ที่กรุงเทพฯ จึงไม่สามารถรับฝากเงินค่าขายขนมเป็นรายวันของพี่อบแทนแม่ จึงปรากฏว่าแม้ มารดาของข้าพเจ้าจะตายไปถึง ๑๖ ปี พี่อบก็ไม่สามารถเก็บเงินกําไรค่าขายขนมได้อีกเลย มีอยู่ในบัญชีเงินฝากเท่าใด ก็มีอยู่เท่านั้น เพียงแต่ได้ดอกเบี้ยธนาคารเพิ่มขึ้นมาอีกหลายเท่าตัว ทั้งนี้เพราะพี่อบทํามาหากินในตอนเช้า ตอนบ่ายก็เข้าบ่อนไพ่ ทําดังนี้อยู่เป็นประจําวันได้บ้างเสียบ้าง ส่วนใหญ่มักเล่นเสีย เพราะไม่ใช่คนฉลาด จึงถูกโกงอยู่เสมอ บางทีพวกเด็กๆ ที่รวมหัวกันเล่นโกงก็เอามาคุยกันที่ร้านกาแฟเป็นที่สนุกสนาน คนที่ได้ยินนําไปบอกพี่อบ พี่อบก็ไม่ว่า ไม่เข็ด โกงได้ โกงไป ขอให้ได้มีเพื่อนมานั่งเล่นไพ่ด้วยก็แล้วกัน
ข้าพเจ้าเคยบ่นพี่อบเมื่อเวลาได้พบกัน พี่อบก็ว่า
“หนูอย่าห้ามกันเลย เรื่องเล่นไพ่เนี่ย มันซึมลึกอยู่ในสายเลือด แกะไม่ออกแก้ไม่ไหว”
“เล่นทีไร ก็เห็นพี่เสียทุกที ไม่เข็ดบ้างหรือ” ข้าพเจ้าถาม
“ไม่เข็ดหรอก เวลาเล่นมันทั้งเพลิน ทั้งมันลืมอะไรๆ หมดแหละ มันมีความสุข”
เมื่อเห็นว่าไม่สามารถแก้ไขอะไรได้ ข้าพเจ้าก็เลิกท้วงติง นึกถึงดอกบัวสี่เหล่าที่พระพุทธองค์ทรงเปรียบไว้ นี่พี่อบเขาเป็นบัวที่เต่าปลากัดกินตั้งแต่อยู่ใต้น้ำโน่น ไม่มีวันโผล่พ้นพื้นน้ำขึ้นมารับแสงแดดหรอก
ข้าพเจ้าเคยชวนพี่อบเข้าวัด ทําบุญ นั่งสมาธิ พระเดชพระคุณหลวงพ่อสอนให้นั่งทํากรรมฐาน ใช้เวลาประมาณ ๑ ชั่วโมง หลังจากนั้นข้าพเจ้าจะชวนอีกกี่ครั้งพี่อบไม่ยอมมาวัดอีกเลย อ้างว่า
“แข้งขา หัวเข่า มันมีอาการไม่ดี นั่งนานๆ มันปวด”
ก็เป็นเรื่องน่าแปลก นั่งเจริญภาวนาเพียง ๑ ชั่วโมง เจ็บปวดแข้งขา แต่นั่งเล่นไพ่ นั่งกันตลอดวัน บางทีต่อตอนกลางคืนอีกทั้งคืน ไม่เคยบ่นว่าเมื่อย คนอย่างนี้มีอีกมาก ไม่ใช่พี่อบคนเดียว
ข้าพเจ้ามิได้สนใจพี่อบนัก เพราะต้องใช้เวลาทั้งหมดหลังจากลาออกจากราชการแล้ว ปรนนิบัติดูแลบิดาซึ่งชราและเจ็บป่วยด้วยโรคเรื้อรังประจําตัว หลังจากบิดาถึงแก่กรรมลง ข้าพเจ้าจึงพูดกับพี่อบว่า
“พี่อบ ตอนนี้พี่อายุ ๖๐ ปีแล้ว หาบขนมขายทุกวัน เหนื่อยมั้ย”
“โธ่ ถามได้ บางที่แข้งขามันอ่อน หาบไปๆ มันถึงกับเข่าทรุด ล้มลงนั่งแปะทีเดียว”
“เอาอย่างนี้มั้ย พ่อแม่ของหนูตายหมดแล้ว ต่อไปนี้หนูไม่รู้จะเลี้ยงใคร หนูจะเลี้ยงพี่อบเอง หนูมีทั้งเงินบํานาญและบ้านให้เช่า พี่จะใช้เดือนหนึ่งเป็นเงินเท่าไร หนูจ่ายให้ ขออย่างเดียวให้เลิกเล่นไพ่” ข้าพเจ้าหวังว่าพี่อบจะรีบรับคํา เพราะจะได้สบายเลิกทํามาหากินเสียที แต่ข้าพเจ้าเข้าใจผิดถนัด
“ไม่ได้หรอกหนูหวิน ไพ่นี่เป็นชีวิตจิตใจ ขาดมันไปแล้วชีวิตไม่มีความหมายเลย ฉันยอมเหนื่อย แล้วนี่เรื่องอะไร ทําไมหนูหวินจะต้องเลี้ยงฉัน เราไม่ใช่ญาติกัน”
ดูเอาก็แล้วกัน คําตอบของคนบ้าการพนัน มีคนรับเลี้ยงดูยังไม่ยอม เพราะกลัวไม่ได้เล่นไพ่ ข้าพเจ้าได้ชี้แจงถึงสาเหตุที่ข้าพเจ้าต้องการเลี้ยงดูเขา เพื่อเป็นการตอบแทนคุณในครั้งสมัยข้าพเจ้าเรียนหนังสือ พี่อบตื้นตันใจมากเพราะเป็นเรื่องที่นึกไม่ถึง แต่ก็สารภาพซ้ำๆ ว่า เลิกเล่นไพ่ไม่ได้
เมื่อถูกยืนยันเข้มแข็งดังนี้ ข้าพเจ้าก็จําต้องเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ ข้าพเจ้าส่งเงินเลี้ยงดูพี่อบตลอดมาทุกเดือน ตั้งแต่เดือนธันวาคม ๒๕๒๕ จนปัจจุบัน พร้อมทั้งให้เก็บผลประโยชน์จากพืชผลในที่ดินของบิดาโดย ไม่มีข้อต่อรองเรื่องเล่นไพ่
พี่อบก็ยังคงเล่นไพ่มาเป็นประจํา วันแล้ววันเล่า เป็นเดือน เป็นปี ไม่เคยรวย ยังดีที่ไม่ยอมถอนเงินในธนาคารก้อนเดิมนั้นออกไปเล่น คงแบ่งเอาจากเงินค่าเลี้ยงดูที่ข้าพเจ้าให้ประจําทุกเดือน โดยยอมกินอด กินอยาก ให้เหลือเงินไว้เล่นไพ่
เวลาข้าพเจ้าไปเยี่ยมพี่อบ โดยมีลูกๆ ของข้าพเจ้าตามไปด้วย บ่อยครั้งที่ลูกชายแอบมากระซิบกับข้าพเจ้าว่า
“แม่ ป้าอบ นี่เหมือนผีนะครับ ผอมเกร็ง หนังหุ้มกระดูกทีเดียว ถ้าเห็นตอนกลางคืนคงต้องนึกว่าผีหลอกแน่ๆ”
“ถูกแล้วลูก ป้าเค้าเป็นผีจ้ะ นี่แหละลูกดูซะ เขาเรียกว่า ผีพนัน ถ้าเอาเงินที่แม่ให้มาซื้ออาหารเลี้ยงตัวให้เต็มที่ จะไม่อดอยากรูปร่างผอมโซยังงี้หรอก นี่เอาไปเล่นไพ่หมด ป้าอบไม่ได้กินไพ่ แต่ไพ่มันกินป้าเค้า เค้าเลยเป็นผีเสียก่อนตาย” ข้าพเจ้าตอบ
เมื่อเป็นความพอใจของทั้งสองฝ่าย ข้าพเจ้าก็ไม่สนใจเอาเป็นธุระอีก ปล่อยทั้งคู่รับฝากรับถอนกันไปตามสบาย ในใจลึกๆ มีความเป็นห่วงมารดาอยู่บ้าง เกรงว่าถ้าใครรู้ว่าพี่อบมีเงินฝากครูไว้มากจะมาตื้อขอยืม ยืมพี่อบไม่ได้ก็จะมายืมแม่ของข้าพเจ้า แต่ก็โชคดีไม่ใคร่มีใครรู้เพราะทั้งผู้ฝากและผู้รับฝากไม่คุยอวด
กระทั่งต่อมามารดาของข้าพเจ้าเจ็บป่วยออดแอด ประกอบกับรัฐบาลยุคนั้นสั่งให้ครูทุกคนเลิกกินหมาก แม่พยายามอดอยู่หลายวัน ร่างกายสู้ไม่ไหว เป็นลมอยู่เสมอ แม่จึงลาออกจากราชการ เหลือแต่พ่อ ประกอบอาชีพต่อไปตามลําพัง รายได้ในครอบครัวจึงจํากัดมาก แม้ข้าพเจ้าจะได้ทุนจากกระทรวงศึกษาธิการเล่าเรียนในระดับอุดมศึกษาก็ตาม ก็ยังต้องรบกวนพ่ออยู่บ้างในกิจกรรมพิเศษต่างๆ ของทางมหาวิทยาลัย
ทางบ้านของข้าพเจ้าไม่เคยขัดข้อง ไม่ว่าข้าพเจ้าจะชี้แจงความจําเป็นเรื่องใดไป พ่อกับแม่จะส่งเงินมาให้เสมอ ท่านรู้ดีว่าข้าพเจ้ามิใช่คนใช้จ่ายฟุ่มเฟือย ถ้าลูกออกปาก ก็หมายถึงเป็นเรื่องจําเป็นจริงๆ
ข้าพเจ้าใช้เวลาเรียนอยู่ในมหาวิทยาลัย ๖ ปี ได้ ๒ ปริญญา ๓ ปีต้นต้องรบกวนทางบ้านมาก ๓ ปีท้ายได้ออกรับจ้างสอนหนังสือพิเศษ จึงไม่ใคร่รบกวนนัก เมื่อเรียนจบแล้วข้าพเจ้าเคยถามมารดาว่า
“ตอนหนูเรียนในมหาวิทยาลัยปีต้นๆ หนูใช้เงินเปลืองหน่อย ส่วนมากเป็นเรื่องซื้อหนังสือเรียน แม่เอาเงินที่ไหนส่งไปให้หนูใช้ บางครั้งหนูขอมากถึง ๔oo - ๕oo บาท”
“แม่ก็เอาเงินของอบเขาน่ะซีลูก เอามาหมุนก่อน เอาเงินเค้าส่งไปให้ลูกใช้ พอเงินเดือนของพ่อออก เราก็ใช้คืนเค้า แต่แม่ทําเป็นความลับนะ ไม่บอกอบมันหรอกลูก ขืนบอกเดี๋ยวเค้าไม่ไว้ใจ กลัวแม่ส่งให้ลูกแล้วหามาใช้หนี้ไม่ได้ เค้าก็จะไม่ไว้ใจเรา ไม่ยอมฝากเงินกับเราอีก” แม่อธิบายแล้วยังกล่าวเพิ่มเติม
“หนูรู้มั้ยลูก แม่หมุนเงินส่งลูกเรียนจนจบมานี่ อบไม่เคยรู้เรื่องเลย เค้านึกว่าเงินของเค้าอยู่ครบถ้วน เพราะมาขอเบิกจากแม่ครั้งใด แม่ก็มีให้ทุกที ก็เค้าเบิกครั้งหนึ่งๆ ไม่มากนี่ลูก หรือถ้าเกิดเบิกจํานวนมาก แม่มีไม่พอ แม่ก็จะไม่บอกเค้า แม่จะรีบไปยืมเพื่อนฝูงหรือญาติๆ มาให้เค้าทันที” ฟังแม่บอกเล่า ข้าพเจ้านึกถึงบุญคุณของแม่ด้วย บุญคุณของพี่อบด้วยตั้งแต่วินาทีนั้น
ในชีวิตของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าถือว่า พ่อ แม่ ย่า (ปู่ ตา และยาย ตายไปหมดแล้ว) เป็นผู้มีพระคุณสูงสุด ตอนนี้ข้าพเจ้าต้องนับเพิ่มขึ้นมา อีก ๑ คน คือพี่อบ คนๆ นี้มิใช่ญาติโดยสายโลหิต แต่กลับมีบุญคุณยิ่งกว่าญาติพี่น้องแท้ๆ ข้าพเจ้าจําได้ว่าญาติผู้ใหญ่หลายคนของพ่อและแม่มีฐานะดี เรียกว่าอยู่ในขั้นเศรษฐี เวลาพ่อแม่ของข้าพเจ้ามีความจําเป็นเรื่องการเงินไปออกปากยืม ญาติเหล่านั้นคิดดอกเบี้ยเต็มที่ ไม่เคยเห็นอกเห็นใจอย่างใด หลายครั้งที่แม่อ้างว่าจะนําเงินนั้นไปส่งข้าพเจ้าเรียน เขาก็ตามเก็บดอกเบี้ยไม่ยอมลดละ
พี่อบคนนี้แม้มิใช่ญาติ แม้มิได้ตั้งใจให้แม่ยืมเงินส่งเสียข้าพเจ้าเรียนโดยตรง แต่ในความเป็นจริง ข้าพเจ้าได้เงินของเขานั่นเอง นํามาใช้ก่อนโดยไม่ต้องเสียดอกเบี้ย ในความรู้สึกของข้าพเจ้า จะไม่ให้คิดว่า เขามีบุญคุณยิ่งกว่าญาติได้อย่างไรกัน
ก่อนแม่ถึงแก่กรรม แม่ได้ขอยืมเงินที่พี่อบฝากไว้ทั้งหมด ๑ หมื่น ๒ พันบาท นําไปซื้อที่นาติดถนนไว้แปลงหนึ่ง เมื่อแม่ถึงแก่กรรมลง พี่อบตกใจและเสียใจมาก โดยเฉพาะเรื่องเงินยืมจํานวนดังกล่าว เพราะมิได้ทําหนังสือสัญญากู้ยืมกันแต่ประการใด พ่อของข้าพเจ้าไม่จําเป็นต้องรับผิดชอบอย่างใดก็ได้ เพราะพ่อก็ไม่ทราบเรื่องเหล่านี้เท่าใดนัก ข้าพเจ้าเข้าใจความรู้สึกของพี่อบดี จึงถอนเงินของตนเองจากธนาคารนําไปมอบคืนให้ พี่อบรับเงินด้วยน้ำตาไหลริน
อย่างไรก็ตาม ในวันนําเงินไปเปิดบัญชีฝากธนาคาร พี่อบก็อ้อนวอนให้ข้าพเจ้าร่วมลงชื่อกับท่านด้วย โดยอ้างว่า
“หนูหวิน...ลงชื่อร่วมกับฉันเถอะ ต่อจากนี้ไปฉันไม่มีครู ไม่มีแม่ของหนูคอยดุด่าควบคุมเรื่องการเล่นไพ่ของฉันแล้ว ขอให้หนูช่วยควบคุมแทนก็แล้วกัน บัญชีเงินฝากนี้ถ้าเราลงชื่อร่วมกัน เวลาฉันจะถอนเงิน หนูจะต้องลงชื่อร่วมอนุญาตด้วย หนูหวินจะได้ท้วงติงฉันแทนครูแทนแม่ของหนูไงล่ะ”
เพื่อให้พี่อบสบายใจ ข้าพเจ้าจึงยอมลงชื่อร่วมในบัญชีเงินฝากเล่มนั้น แต่โดยเหตุที่ข้าพเจ้าต้องรับราชการอยู่ที่กรุงเทพฯ จึงไม่สามารถรับฝากเงินค่าขายขนมเป็นรายวันของพี่อบแทนแม่ จึงปรากฏว่าแม้ มารดาของข้าพเจ้าจะตายไปถึง ๑๖ ปี พี่อบก็ไม่สามารถเก็บเงินกําไรค่าขายขนมได้อีกเลย มีอยู่ในบัญชีเงินฝากเท่าใด ก็มีอยู่เท่านั้น เพียงแต่ได้ดอกเบี้ยธนาคารเพิ่มขึ้นมาอีกหลายเท่าตัว ทั้งนี้เพราะพี่อบทํามาหากินในตอนเช้า ตอนบ่ายก็เข้าบ่อนไพ่ ทําดังนี้อยู่เป็นประจําวันได้บ้างเสียบ้าง ส่วนใหญ่มักเล่นเสีย เพราะไม่ใช่คนฉลาด จึงถูกโกงอยู่เสมอ บางทีพวกเด็กๆ ที่รวมหัวกันเล่นโกงก็เอามาคุยกันที่ร้านกาแฟเป็นที่สนุกสนาน คนที่ได้ยินนําไปบอกพี่อบ พี่อบก็ไม่ว่า ไม่เข็ด โกงได้ โกงไป ขอให้ได้มีเพื่อนมานั่งเล่นไพ่ด้วยก็แล้วกัน
ข้าพเจ้าเคยบ่นพี่อบเมื่อเวลาได้พบกัน พี่อบก็ว่า
“หนูอย่าห้ามกันเลย เรื่องเล่นไพ่เนี่ย มันซึมลึกอยู่ในสายเลือด แกะไม่ออกแก้ไม่ไหว”
“เล่นทีไร ก็เห็นพี่เสียทุกที ไม่เข็ดบ้างหรือ” ข้าพเจ้าถาม
“ไม่เข็ดหรอก เวลาเล่นมันทั้งเพลิน ทั้งมันลืมอะไรๆ หมดแหละ มันมีความสุข”
เมื่อเห็นว่าไม่สามารถแก้ไขอะไรได้ ข้าพเจ้าก็เลิกท้วงติง นึกถึงดอกบัวสี่เหล่าที่พระพุทธองค์ทรงเปรียบไว้ นี่พี่อบเขาเป็นบัวที่เต่าปลากัดกินตั้งแต่อยู่ใต้น้ำโน่น ไม่มีวันโผล่พ้นพื้นน้ำขึ้นมารับแสงแดดหรอก
ข้าพเจ้าเคยชวนพี่อบเข้าวัด ทําบุญ นั่งสมาธิ พระเดชพระคุณหลวงพ่อสอนให้นั่งทํากรรมฐาน ใช้เวลาประมาณ ๑ ชั่วโมง หลังจากนั้นข้าพเจ้าจะชวนอีกกี่ครั้งพี่อบไม่ยอมมาวัดอีกเลย อ้างว่า
“แข้งขา หัวเข่า มันมีอาการไม่ดี นั่งนานๆ มันปวด”
ก็เป็นเรื่องน่าแปลก นั่งเจริญภาวนาเพียง ๑ ชั่วโมง เจ็บปวดแข้งขา แต่นั่งเล่นไพ่ นั่งกันตลอดวัน บางทีต่อตอนกลางคืนอีกทั้งคืน ไม่เคยบ่นว่าเมื่อย คนอย่างนี้มีอีกมาก ไม่ใช่พี่อบคนเดียว
ข้าพเจ้ามิได้สนใจพี่อบนัก เพราะต้องใช้เวลาทั้งหมดหลังจากลาออกจากราชการแล้ว ปรนนิบัติดูแลบิดาซึ่งชราและเจ็บป่วยด้วยโรคเรื้อรังประจําตัว หลังจากบิดาถึงแก่กรรมลง ข้าพเจ้าจึงพูดกับพี่อบว่า
“พี่อบ ตอนนี้พี่อายุ ๖๐ ปีแล้ว หาบขนมขายทุกวัน เหนื่อยมั้ย”
“โธ่ ถามได้ บางที่แข้งขามันอ่อน หาบไปๆ มันถึงกับเข่าทรุด ล้มลงนั่งแปะทีเดียว”
“เอาอย่างนี้มั้ย พ่อแม่ของหนูตายหมดแล้ว ต่อไปนี้หนูไม่รู้จะเลี้ยงใคร หนูจะเลี้ยงพี่อบเอง หนูมีทั้งเงินบํานาญและบ้านให้เช่า พี่จะใช้เดือนหนึ่งเป็นเงินเท่าไร หนูจ่ายให้ ขออย่างเดียวให้เลิกเล่นไพ่” ข้าพเจ้าหวังว่าพี่อบจะรีบรับคํา เพราะจะได้สบายเลิกทํามาหากินเสียที แต่ข้าพเจ้าเข้าใจผิดถนัด
“ไม่ได้หรอกหนูหวิน ไพ่นี่เป็นชีวิตจิตใจ ขาดมันไปแล้วชีวิตไม่มีความหมายเลย ฉันยอมเหนื่อย แล้วนี่เรื่องอะไร ทําไมหนูหวินจะต้องเลี้ยงฉัน เราไม่ใช่ญาติกัน”
ดูเอาก็แล้วกัน คําตอบของคนบ้าการพนัน มีคนรับเลี้ยงดูยังไม่ยอม เพราะกลัวไม่ได้เล่นไพ่ ข้าพเจ้าได้ชี้แจงถึงสาเหตุที่ข้าพเจ้าต้องการเลี้ยงดูเขา เพื่อเป็นการตอบแทนคุณในครั้งสมัยข้าพเจ้าเรียนหนังสือ พี่อบตื้นตันใจมากเพราะเป็นเรื่องที่นึกไม่ถึง แต่ก็สารภาพซ้ำๆ ว่า เลิกเล่นไพ่ไม่ได้
เมื่อถูกยืนยันเข้มแข็งดังนี้ ข้าพเจ้าก็จําต้องเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ ข้าพเจ้าส่งเงินเลี้ยงดูพี่อบตลอดมาทุกเดือน ตั้งแต่เดือนธันวาคม ๒๕๒๕ จนปัจจุบัน พร้อมทั้งให้เก็บผลประโยชน์จากพืชผลในที่ดินของบิดาโดย ไม่มีข้อต่อรองเรื่องเล่นไพ่
พี่อบก็ยังคงเล่นไพ่มาเป็นประจํา วันแล้ววันเล่า เป็นเดือน เป็นปี ไม่เคยรวย ยังดีที่ไม่ยอมถอนเงินในธนาคารก้อนเดิมนั้นออกไปเล่น คงแบ่งเอาจากเงินค่าเลี้ยงดูที่ข้าพเจ้าให้ประจําทุกเดือน โดยยอมกินอด กินอยาก ให้เหลือเงินไว้เล่นไพ่
เวลาข้าพเจ้าไปเยี่ยมพี่อบ โดยมีลูกๆ ของข้าพเจ้าตามไปด้วย บ่อยครั้งที่ลูกชายแอบมากระซิบกับข้าพเจ้าว่า
“แม่ ป้าอบ นี่เหมือนผีนะครับ ผอมเกร็ง หนังหุ้มกระดูกทีเดียว ถ้าเห็นตอนกลางคืนคงต้องนึกว่าผีหลอกแน่ๆ”
“ถูกแล้วลูก ป้าเค้าเป็นผีจ้ะ นี่แหละลูกดูซะ เขาเรียกว่า ผีพนัน ถ้าเอาเงินที่แม่ให้มาซื้ออาหารเลี้ยงตัวให้เต็มที่ จะไม่อดอยากรูปร่างผอมโซยังงี้หรอก นี่เอาไปเล่นไพ่หมด ป้าอบไม่ได้กินไพ่ แต่ไพ่มันกินป้าเค้า เค้าเลยเป็นผีเสียก่อนตาย” ข้าพเจ้าตอบ
ชื่อเรื่องเดิม เงินฝากของพี่อบ
Cr. อุบาสิกาถวิล(บุญทรง) วัติรางกูล
จากความทรงจำ เล่ม1