ดอกไม้พญามาร
ด้วยเหตุที่ รูป (สี) เสียง กลิ่นรส สัมผัสทางกายเป็นของที่ทําให้ผู้คนหลงใหลง่ายในโลกมนุษย์ เราจึงพบว่า ผู้ที่มีอาชีพในการผลิตสินค้า เมื่อต้องการให้ตนเองร่ำรวยมากและรวดเร็ว จึงใช้สิ่งเหล่านี้เป็นเครื่องล่อให้คนซื้อเกิดความพึงพอใจแล้วซื้อหา ผู้ผลิตก็พยายามพลิกแพลงเปลี่ยนแปลงล่อหลอกด้วยของชิ้นใหม่ ผู้คนก็หลงใหลซื้อหาต่อไปเรื่อยๆ
การบริโภคใช้สอยเฉพาะแค่ความจําเป็นของชีวิต ไม่สิ้นเปลืองอะไรมาก มีเสื้อผ้า ๓-๔ ชุด มีบ้านพักอาศัยพอคุ้มแดดคุ้มฝน มีอาหาร มียารักษาโรค ถ้าผู้คนต้องการเท่าที่ “จําเป็น” เขาก็จะมีเวลาเหลือเป็นอิสระแก่ตน ใช้สร้างสมบารมีติดตัว แต่ที่ต้องยากลําบากเหน็ดเหนื่อยกันอย่างไม่รู้จบทุกวันนี้ เพราะแสวงหาส่วนที่ไม่จําเป็น แสวงหาสิ่งฟุ่มเฟือยอย่างไม่รู้จบ จึงตกอยู่ในความเป็นทาส เป็นทาสสินค้า ผู้ซื้อเป็นทาสผู้ผลิต ผู้ผลิตสินค้าอย่างหนึ่งก็ไปเป็นทาสของสินค้าของคนอื่นๆ โยงใยกันต่อไปไม่สิ้นสุด
ข้าพเจ้าจะขอยกตัวอย่างที่เห็นกันง่ายๆ ซึ่งพวกเราพบกันอยู่เป็นประจํา เช่น เรื่องการรับประทานอาหาร ถ้าคิดตามความจําเป็นบริโภคเพื่อสุขภาพ เราทํากินเองที่บ้าน สิ้นเปลืองไม่เท่าไร แต่เมื่อนึกถึงว่าจะกินให้อร่อยเพราะติดในรส ก็ต้องนึกถึงอาหารตามภัตตาคาร
เอาแค่ติดในรส จะใช้วิธีไปซื้อจากภัตตาคารมารับประทานกันที่บ้านก็ได้ แต่เมื่อคิดจะติดเรื่องอื่นต่อ ก็จําเป็นต้องเดินทางไปที่ภัตตาคารด้วยตนเอง
ก่อนไปก็ต้องติดในรูป จะต้องแต่งกายให้สวยงาม เพราะเป็นสถานที่โอ่โถง มีผู้คนมาก การแต่งกายให้สวยงามนับเป็นการติดรูปอันดับแรก
อันดับที่สอง ยานพาหนะที่ใช้ในการเดินทาง ถ้าจะไปให้ถึงจริงๆ ไปด้วยรถประจําทางอย่างใดอย่างหนึ่งก็ถึง แต่เมื่อคํานึงถึงความโก้เก๋ ต้องการโอ้อวด ก็ต้องมีรถส่วนตัวใช้ รถส่วนตัวก็ต้องมีการแข่งขัน เรื่องยี่ห้อ เรื่องรุ่น และความสวยงามอื่นๆ
ไปถึงร้านอาหาร ในกระเป๋าต้องมีเงินจํานวนมากพอสมควร ร้านใหญ่ก็ต้องใช้เงินมากขึ้นตามส่วน เพราะที่แห่งนั้นพรั่งพร้อมด้วยกามคุณหลายประการ คือ
เริ่มด้วยเจ้าหน้าที่ต้อนรับ คอยโค้งคํานับเชิญชวน ลูกค้าเห็นแล้วก็พอใจในกิริยาอ่อนโยนนั้น ลืมคิดไปว่านั่นเป็นมารยาททางการค้า ถ้าเราไม่มีเงินจ่ายค่าอาหารเพียงพอ คนโค้งคํานับนั่นเองจะเป็นคนจับเราส่ง ตํารวจ หรือเป็นคนทําร้ายขู่เข็ญ เขาคํานับเราเพราะได้รับค่าจ้างจากทางร้าน ค่าตัวคือเงินเดือนของเขา ทางร้านก็บวกอยู่ในค่าอาหารที่เรารับประทาน
เข้าไปในร้านซึ่งตกแต่งประดับประดาให้สวยงามน่าดูน่าชม มีอาหารอร่อยปากกินแล้วยังไม่พอ ยังมีเสียงเพลงระรื่นหู มีคนเลิร์ฟสวยๆ หน้าตาดีๆ ในร้านก็อบอวลไปด้วยกลิ่นหอม มีเครื่องปรับอากาศเย็นสบาย มีที่นั่งอ่อนนุ่ม บางแห่งมีการแสดงบนเวทีที่ชวนให้เพลิดเพลินสนุกสนานอีก
ดูเอาเถอะ เพียงเข้าไปในสถานที่แห่งเดียว ได้กามคุณครบทุกอย่างทั้ง รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส หลายแห่งยังมีเรื่องเพศเข้ามาเกี่ยวข้อง เช่น มีที่เต้นรํา มีคู่เต้นให้เลือก ออกจากที่นั่นยังชวนคู่เต้นไปเช่าโรงแรม เสพรสทางเพศกันต่ออีกก็ได้
นี่เพียงเริ่มต้นแค่ต้องการรับประทานอาหาร ลงท้ายกลายเป็นทาสสินค้าไปได้หลายเรื่อง กระทั่งต้องซื้อสินค้าทางเพศไปในตัว ถ้าเป็นเช่นนี้คนไม่มีปัญญารู้เท่าทันตามความจริงก็ย่อมต้องเหน็ดเหนื่อยเป็นทาสต่อไปไม่รู้จบ
ขึ้นชื่อว่ากาม แม้กามที่เป็นทิพย์ก็พาทุกข์มาให้เจ้าของเช่นเดียวกัน เพียงแต่เป็นทุกข์ที่ไม่รุนแรงร้ายกาจเท่าในภพมนุษย์หรือในสัตว์เดรัจฉานซึ่งมีสติปัญญาน้อยกว่า การยื้อแย่งกาม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอาหารการกิน เรื่องที่อยู่ เรื่องคู่ครอง สัตว์จึงมักแย่งกันจนถึงชีวิต
สําหรับกามที่เป็นทิพย์ ที่เรารู้กันว่าเป็นถิ่นที่มีความสมบูรณ์ในกามพรั่งพร้อมที่สุด นั่นคือ สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ซึ่งมีพระอินทร์เป็นผู้ปกครองใหญ่ ตามตําหรับตํารากล่าวถึงความสุขในสวรรค์ชั้นนี้ไว้มากแต่ในที่นี้ข้าพเจ้าจะเล่าจากผู้ที่ไปเห็นความสุขในภพนี้ด้วยอํานาจทางสมาธิจิต และข้าพเจ้าก็เชื่อคําพูดของผู้เล่า เพราะได้เคยเห็นมาแล้วเป็นบางเรื่อง เพียงแต่พลังสมาธิจิตของข้าพเจ้ามีอํานาจไม่เท่าของผู้เล่า การพบเห็นของข้าพเจ้าจึงไม่ละเอียดถี่ถ้วนเท่าที่ควร
ต่อไปนี้ข้าพเจ้าจะใช้คําแทนตัวว่า “ผู้ถาม” และแทนตัวอีกฝ่ายว่า “ผู้เล่า”
เมื่อข้าพเจ้าถามว่า ในบรรดาสวรรค์ทั้ง ๖ ชั้น ที่ผู้เล่าไปเที่ยวดูมาแล้วทุกแห่งนั้น เห็นว่าสวรรค์ชั้นไหนที่มีความพรั่งพร้อมด้วยกามคุณ ๕ มากที่สุด น่าอยู่ที่สุดสำหรับคนที่ชอบเรื่องนี้
ผู้เล่า “ก็ชั้นสองซิคุณ... ชั้นนี้นะเพียบเลย จะเล่าให้ฟังอยากรู้เรื่องอะไรบ้างล่ะ”
ผู้ถาม “เอาเรื่องสวนกับเรื่องวิมานเป็นเรื่องแรกก็ได้”
ผู้เล่า “ฉันเห็นมามากเลยนะในโลกมนุษย์เนี่ย ไม่ว่าสวนสวยๆ ในเมืองไทย หรือสวนเมืองนอก ตอนที่ไปถ่ายหนังไง ไม่มีสวนไหนสวยเทียบสวนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เลย พูดถึงดอกไม้ก่อนมันขึ้นอยู่เป็นระเบียบงามจริงๆ ชนิดของดอกไม้ก็เหมือนกับเมืองเรานี่แหละ มีดอกบัว ดอกกุหลาบ ดอกมะลิ ที่รู้จักกัน แต่ดอกมันงาม แล้วก็โตๆ ทั้งนั้น สวยทุกดอก ไม่มีดอกขี้เหร่เลยแม้แต่ดอกเดียว สีสันของดอกมันเป็นสีมีชีวิตนะ เห็นแล้วชุ่มชื่นใจ กลีบแต่ละกลีบอ่อนละมุน ข้อสําคัญกลิ่น กลิ่นหอมบอกไม่ถูก หอมอย่างผู้ดีๆ น่ะ” คนเล่าเปรียบเทียบไปโน่น เพราะไม่มีภาษาจะพูด
ผู้ถาม “กลิ่นผู้ดีมันเป็นยังไง ต่างกับกลิ่นขี้ข้ายังไง” คนถามก็พาออกนอกเรื่องไปพอกัน
ผู้เล่า “อ้าวก็อย่างกลิ่นน้ำหอมที่ผู้ดีเขาใช้น่ะ น้ำหอมราคาแพงๆ กลิ่นโชยมาอ่อนๆ ชื่นใจ ถ้าเป็นน้ำหอมของคนจนๆ ใช้ ราคามันก็ถูก กลิ่นมันก็หอมฟุ้งพรวดพราดแทบทนไม่ได้”
ผู้ถาม “อ๋อ เขาเรียกว่า มันฉุน”
ผู้เล่า “เออ นั่นแหละๆ แล้วกลิ่นหอมที่โน่นนะ ดมนานแค่ไหนก็ชื่นใจอยู่ตลอด ไม่ต้องดมก็หอมเองได้ นึกอยากได้กลิ่นดอกไม้ชนิดไหน
ผู้ถาม “ที่เล่านี้ดอกไม้สวนไหนกันเนี่ย”
ผู้เล่า “สวนไหนมันก็เหมือนกันทั้งนั้นแหละ สวนใครสวนมัน วิมานใครวิมานมัน แต่ก็มีสวนสาธารณะใหญ่ๆ อยู่ ๔ แห่งนะ ทิศละแห่ง ที่นั่นใครๆ ก็ไปเที่ยวได้ เป็นสวนสวยพิเศษยอดเยี่ยม พูดให้คุณฟังอยู่นี่ ยังนึกภาพติดตาอยู่เลย สวยจนบรรยายไม่ถูกเพราะไม่รู้จะเปรียบกับอะไรได้ แต่มองไปทางไหนมันชื่นใจดูดดื่มไปหมดแหละ” พูดแล้วผู้เล่าก็หยุด มองไปข้างหน้าเหมือนนึกภาพครั้งนั้นขึ้นมาในใจ แล้วมองตาม
ผู้ถาม “เปรียบเทียบไม่ถูก ก็เล่าเรื่องอื่นแล้วกัน เอาเรื่องสระน้ำก็ได้
ผู้เล่า “มีสระน้ำหลายสระ ตามวิมานเขาก็มีของเขานะ ที่สวนสาธารณะก็มีต่างหาก มันก็สวยอีกน่ะแหละ น้ำที่นั่นมันใสยิ่งกว่าน้ำเมืองเรา แถมยังมีกลิ่นหอมอ่อนๆ ให้ชื่นใจด้วย เมื่อลงไปในน้ำตัวก็ไม่เปียก หายใจในน้ำก็ได้ ไม่สําลักเหมือนน้ำเมืองเราหรอก อาบแล้วก็เย็นชื่นใจ”
คนเล่าท่านนี้มีพลังสมาธิค่อนข้างดีมาก เวลาต้องการดูสถานที่ใด จึงเหมือนถอดกายเนื้อทิ้งใช้กายข้างใน (ส่วนใหญ่ใช้กายธรรม) ไปในที่ต่างๆ อวัยวะที่ใช้ คือ หู ตา จมูก ลิ้น กาย รวมทั้งใจ ก็ใช้ของกายข้างในทั้งหมด ดังนั้นการเห็นจึงเห็นได้ชัดเจนมาก เปรียบเหมือนเอาของใช้ทั้ง ๖ ตามไปใช้ในที่ต่างๆ โดยตลอด
ผู้ถาม “เรื่องสวนพอแล้ว ไหนลองเล่าเรื่องวิมานหน่อย”
ผู้เล่า “วิมานของพวกเทวดานางฟ้าเนี่ย หลังเล็กใหญ่ไม่เท่ากันนะ ขึ้นอยู่กับบุญของแต่ละองค์ที่ทําไว้สมัยเป็นคน ความสวยงามสว่างไสวของวิมานก็ไม่เท่ากัน คุณภาพก็ไม่เหมือนกัน ที่ดาวดึงส์นี่มีแต่วิมานเงิน นาก และทอง ไม่มีวิมานแก้ว ของใช้ในวิมาน เช่น เตียง ตั่ง ที่นั่ง ไม่ต้องมีขา ลอยๆ อยู่ ต้องการใช้ของพวกนี้ก็ลอยมาหา ไม่ต้องการก็หาย
ผู้ถาม “ที่ไหนล่ะคะ มีวิมานแก้ว”
ผู้เล่า “เห็นมีอยู่ที่สวรรค์ชั้น ๔ คือ ชั้นดุสิต แต่ก็ไม่เป็นแก้วหมดทั้งชั้นนะ เป็นบางวิมาน”
ผู้ถาม “ช่วยบอกลักษณะวิมานเท่าที่พอจําได้ ก็แล้วกัน”
ผู้เล่า “ที่เห็นน่ะ รูปทรงวิมาน ไม่เหมือนบ้านเรือนเราในเมืองมนุษย์นี่หรอก มันเป็นทรงของมันอีกแบบหนึ่ง ส่วนใหญ่คล้ายๆ รูปดอกบัว พื้นล่างเป็นดอกบัวตั้งขึ้น หลังคาเป็นเหมือนอีกดอกครอบลงมา แต่ข้างบนล่างกลีบดอกไม้รูปทรงสวยจริงๆ ตัววิมานกับหลังคาไม่ต้องมีเสาค้ำยันกันเลย ลอยอยู่ด้วยกันอย่างนั้นได้ วิมานมีแสงสว่างไสวออกจากตัว สว่างสวยงาม
ผู้ถาม “อ้อ แล้วเมื่อทั้งขนาดและรัศมีของวิมานไม่เท่ากันยังงี้ พวกที่นั่นเค้ารู้สึกอะไรไหม”
ผู้เล่า “นี่แหละๆ ความทุกข์เขาอยู่ตรงนี้ เขาแข่งกันเรื่องนี้แหละ แล้วก็อายกันด้วย ของใครไม่โก้ ก็รู้สึกเป็นทุกข์แล้ว เกิดเป็นคนต้องทุกข์เพราะไม่มี แต่ที่นั่นทุกข์เพราะมีแล้วไม่เท่าผู้อื่น”
ผู้ถาม “มันก็เป็นทุกข์อีกระดับหนึ่งนะคะ ทีนี้เล่าเรื่องหุ่นซีคะ หุ่นเทวดานางฟ้างามแค่ไหน”
ผู้เล่า “โอ๊ย...ทั้งเมืองเลย... ไม่มีคนแก่ เอ๊ย... เทวดานางฟ้าแก่ๆ สักองค์เดียว มีแต่วัยรุ่นทั้งนั้น นางฟ้าก็ราวๆ ๑๕-๑๖ ปี ไม่ถึง ๒๐ ปีด้วยซ้ำไป ส่วนเทวดาก็ดูแก่กว่านิดหน่อยไม่มาก เรื่องรูปร่างนะ ไม่มีที่อ้วนๆ อย่างคุณ หรือที่เตี้ยๆ อย่างฉันนี่หรอก หุ่นเขากําลังดีเหมือนกันหมดทั้งเมือง ที่สําคัญเรื่องมองเห็นกระดูกโปนๆ ตรงโน้นตรงนี้ตามตัวน่ะ เขาไม่มีกันหรอก เส้นเอ็นก็ไม่มี แขนขาพวกเขาจึงงามกันทั้งนั้น ทุกส่วนในตัวเขาสวยไปหมด ไม่มาก ไม่น้อย ไม่ใหญ่ไป เล็กไปอย่างของพวกเรา ผิวขาวเนียนอมชมพูละมุนละไม เหมือนผิวทารก ผิวละเอียด คล้ายอย่างนั้น แต่ก็ดูดีกว่าเสียอีก แล้วทุกอย่างบนใบหน้า เช่น ตา คิ้ว ปาก แก้มหน้าผาก มีความสมส่วนไปหมด พูดไม่ถูก ตัวก็มีรัศมีสว่าง”
ผู้ถาม “มิน่า สมัยพุทธกาล พระบรมศาสดาของเราทรงใช้ฤทธิ์พาพระนันทะ ภิกษุอนุชาต่างมารดาไปดูนางฟ้าพวกนี้เอง แล้วตรัสถามว่า เทียบกับเจ้าสาวของพระนันทะเมื่อครั้งก่อนบวชเป็นอย่างไร พระนันทะทูลตอบว่า เทียบแล้วเจ้าหญิงคู่อภิเษกนั้นเหมือนนางลิงที่ถูกไฟลวก ขนหลุดกระดํากระด่างทั้งตัว ที่เห็นอยู่ข้างป่าไฟไหม้ตอนขาไปนั่นเอง”
ผู้เล่า “แหม ไม่เทียบอย่างนั้นได้ยังไง ก็มันเทียบกันไม่ได้เลยจริงๆ”
ผู้ถาม “แล้วเขาแต่งตัวกันยังไงคะ”
ผู้เล่า “เสื้อผ้าเครื่องประดับของพวกเขาไม่รู้ทําด้วยอะไร มันมีความสว่างออกมาในตัว แล้วมันก็อ่อนช้อยนิ่มนวล เสื้อผ้ามันเนื้อละเอียดแนบตัวไปเลย แต่ไม่โป๊นะ มันแนบตัวทําให้เห็นสัดส่วนหมดทั้งตัว เครื่องประดับตามเสื้อผ้า และที่สวมใส่กับตัวเป็นของมีแสงในตัวเอง ไม่ต้องเอามาเจียระไน เหมือนของในเมืองมนุษย์ มันมีแสงได้เองเหมือนตัวหิ่งห้อยมีแสงในตัวยังงั้น” พูดเปรียบ
“นี่นะ ที่ชอบดูที่สุดคือตอนที่เค้าฟ้อนรํากันน่ะ เค้าไม่ต้องเดินเลย มันลอยๆ ไป แล้วพอเปลี่ยนเพลงรําทีหนึ่ง เครื่องแต่งตัวของพวกเขาเปลี่ยนได้เองพร้อมกันหมดทุกคนเลย เปลี่ยนกระทั่งทรงผมและเครื่องประดับผม รวมทั้งเครื่องประดับตัวด้วย”
ข้าพเจ้าฟังแล้วนึกถึงหางเครื่องวงดนตรีเมืองมนุษย์ ต้องวิ่งเข้าฉากเปลี่ยนเครื่องแต่งตัวกันวุ่นวาย แต่บนโน้น พอนึกก็สําเร็จด้วยใจ น่าเพลิดเพลินแท้ๆ
ผู้ถาม “เค้าต้องแต่งหน้าทาปากเหมือนเมืองเรารึเปล่าคะ” ข้าพเจ้าแกล้งถาม
ผู้เล่า “ปากเขาแดงเอง ไม่ต้องทา หน้าก็ขาวอมชมพู คิ้วงี้มีเส้นเรียงกันไม่ต้องเขียน เล็บมือ เล็บเท้า ก็เป็นสีชมพูไม่ต้องทา เครื่องสําอางไม่ต้องใช้เลยค่ะ ฟันเวลายิ้มเป็นสีขาวสวยเป็นระเบียบ อิริยาบถต่างๆ เวลาเคลื่อนไหว อ่อนช้อยงดงามมาก ไม่กระโดกกระเดกเหมือนคนหรอก”
ผู้ถาม “เอาละ รูปร่างผิวพรรณสวยแล้ว กลิ่นตัวมีไหมคะ คงไม่มีเหมือนมนุษย์นะ”
ผู้เล่า “มีซีคะ แต่ไม่ใช่เหม็นอย่างของคนเรา กลิ่นตัวของพวกเขาหอมอ่อนๆ ระเหยออกมา เป็นเหมือนกันหมดทุกองค์”
ผู้ถาม “ฟังแล้วชื่นใจแท้ๆ นะคะ นอกจากทุกข์เรื่องแข่งขันสมบัติ แข่งรัศมี แล้วก็ไม่มีทุกข์อื่นซีคะ ไม่แก่ ไม่เจ็บป่วยอะไรๆ ก็มีแต่ดีๆ สิ่งแวดล้อมวิเศษทั้งนั้น จะมีทุกข์อะไรกัน ก็คุยกันเพลินทั้งวัน”
ผู้เล่า “อ๋อ ไม่ต้องคุยกันทางปากก็ได้ เขาคุยกันทางใจ แค่คิดอะไรอีกฝ่ายก็รู้แล้ว”
ผู้ถาม “ดีจังนะ รู้ใจกันอย่างนี้ ไม่มีใครกล้าคิดชั่ว เพราะคนอื่นจะรู้หมด”
ผู้เล่า “แต่เขาก็มีทุกข์นะ ทุกข์มากตอนที่รู้ว่าจะต้องตาย ต้องพลัดพรากจากสมบัติอันเป็นทิพย์ทุกอย่างไป เทวดาไม่เหมือนเรา เราไม่ใคร่รู้ตัวว่าจะตายเมื่อไหร่ นอกจากคนเจ็บหนักมากๆ แต่เทวดาเขารู้ตัว ก่อนเป็นเวลานานทีเดียว
วิมานของเขาตอนเขาใกล้จะตาย จะค่อยหรี่แสงลง หรี่ลงทุกที เขารู้ตัวแล้ว รัศมีกายก็มัวหมอง ร่างกายเริ่มสกปรก มีเหงื่อออกจากรักแร้ด้วย ดอกไม้ประจําวิมานเหี่ยวเฉาลง บางองค์จิตใจก็หม่นหมอง เบื่อหน่ายชีวิต แต่ส่วนใหญ่แล้วเสียใจอาลัยรักความสุขในสวรรค์ที่ตนเคยอยู่แทบทั้งสิ้น
เทวดาองค์อื่นๆ ก็ไม่สนใจเทวดาที่หมดบุญ อาจจะมีเทวดาเพื่อน ๆ บางองค์มาเยี่ยม มาให้กําลังใจ อวยพรให้ไปเกิดที่ไหนรู้ไหม”
ผู้ถาม “ตอนนี้ทราบค่ะ เขาอวยพรให้ไปเกิดที่เมืองมนุษย์ จะได้มีโอกาสทําบุญกุศลหรือสร้างบารมีเพิ่ม ตายแล้วจะได้มาอยู่ด้วยกันใหม่ หรือเผื่อสร้างบารมีได้เต็มที่ก็เข้านิพพานไปเลย แปลกนะคะพวกเทวดาจุติแล้วอยากมาเกิดเป็นมนุษย์ แต่พวกมนุษย์กลับบอกทางคนใกล้ตายว่าขอให้ไปเกิดในสวรรค์”
ผู้เล่า “สวรรค์ชั้นต่างๆ ยกเว้น ชั้น ๔ (ดุสิต) ได้ไปนั่งกินบุญเก่า แต่ที่ภูมิมนุษย์ เราทําบุญเพิ่มเติมได้ในสวรรค์ที่ทําบุญเพิ่มได้มีแต่ชั้น ๔ ชั้นเดียว ก็ทําได้แต่เรื่องเจริญภาวนาเท่านั้น อย่างอื่นทําไม่ได้ ขนาดเจริญภาวนายังทําได้ไม่ดีเท่าใช้กายมนุษย์ด้วยซ้ำไป เพราะกายเทวดาเป็นกายละเอียด ไม่แข็งแรงเหมือนกายหยาบของมนุษย์ ฉะนั้นเกิดเป็นมนุษย์ดีที่สุด แต่ต้องเป็นมนุษย์ที่รู้ว่าตัวเองควรทําอะไรจึงจะเกิดบุญได้บารมีเป็นนะ ไม่ใช่เป็นมนุษย์โง่ๆ อยู่ไปวันๆ ปล่อยเวลาให้เสียเปล่า แล้วยังทำเรื่องขาดทุน คือทําบาปเพิ่มเข้าไปอีก”
ผู้ถาม “ขอถามอีกเรื่องเดียว เรื่องธรรมสภาที่ดาวดึงส์นั่นน่ะ”
ผู้เล่า “แหม ธรรมสภาที่ดาวดึงส์นี้สวยจนพูดไม่ถูก กว้างขวางใหญ่โต จุผู้ฟังได้มากมายมหาศาล รูปทรงก็เป็นฟอร์มดอกบัวอีกน่ะแหละ แต่กลีบบัวสับหว่างกัน สวยพูดไม่ถูก ไม่รู้จะบรรยายยังไงพื้นศาลาเป็นบัวหงาย หลังคาก็เป็นบัวคว่ำ เสาไม่มีอีกเหมือนกัน มีรัศมีสว่างไสวได้เอง พอถึงวันฟังธรรม พวกเทวดานางฟ้าจะพากันมาเต็มศาลา วันนั้นได้ขึ้นไปเทศน์ ฉันก็เอากายธรรมขึ้นไปนั่งเทศน์สอนเขาในใจ เค้าก็ฟังรู้เรื่อง เพราะเมืองโน้นเขาพูดกันทางใจได้ คุณก็รู้นี่นะว่าฉันสอนอะไรเทวดาเขา”
ผู้ถาม “อ๋อ ทราบค่ะ เพราะเด็กหนุ่มวัยรุ่นที่เห็นธรรมะแล้วคนหนึ่ง ฟังด้วยหูทิพย์แล้วบอกพระเดชพระคุณหลวงพ่อ เด็กบอกว่าพี่สอนธรรมปฏิบัติ สอนให้กําหนดนิมิตที่ศูนย์กลางกาย”
ผู้เล่า “แหม อุตส่าห์จําได้ สอนแล้วฉันก็ดูไปที่ศูนย์กลางกายของเทวดานางฟ้าเหล่านั้นด้วย เห็นพวกเค้ากําหนดนิมิตเป็นดวงใสตรงศูนย์กลางกายได้มากมายหลายองค์ แต่มีเทวดานางฟ้าคู่หนึ่งในใจเขาไม่ยอมกำหนดนิมิตที่ฉันสอน ใจของเทวดาองค์นั้นกลับมีหน้านางฟ้าที่เขาคิดถึง ส่วนนางฟ้านั่นก็ใจตรงกัน คือมีหน้าเทวดาอยู่ในใจแทนดวงแก้วเหมือนกัน ฉันยังฟ้องพระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านเลย”
ว่าที่จริงในการซักถามของข้าพเจ้า เราคุยกันแต่ละครั้งเป็นเวลานานๆ ในเรื่องภพภูมิต่างๆ เหล่านี้ที่ได้ไปเห็นทางสมาธิ
ไม่ว่าภูมิไหนๆ ต่างก็มีความทุกข์ด้วยกันทุกแห่ง เพียงแต่มากน้อยต่างกันไปเท่านั้น ในเทวภูมิยังมีทุกข์เรื่องคู่ครอง ในพรหมภูมิยังมีทุกข์เพราะมีมานะถือตัวถือตน
ในดาวดึงส์ ที่ข้าพเจ้าเล่าให้ฟังเป็นตัวอย่างนั้น เรายังเห็นพวกเทพบุตรเทพธิดาทุกข์เพราะรักเป็นจํานวนมาก คือรักผู้ที่เขาไม่รักตอบ และยังไปรักคนอื่นต่อเสียอีก ผู้ที่อกหักก็เสียใจ บางทีพวกเทพบุตรก็แย่งนางฟ้าที่ไปเกิดชนิดไม่มีวิมานอยู่เอง ตกลงกันไม่ได้ต้องให้พระอินทร์เป็นผู้ตัดสินกัน พระอินทร์ก็ต้องยึดหลักต่างๆ พิจารณาให้ เช่น เกิดในเขตวิมานของเทพบุตรองค์ใดก็เป็นสิทธิ์ของเทพบุตรองค์นั้น ถ้าเกิดระหว่างวิมาน ก็ให้ถือว่าใกล้วิมานของใคร ถ้าอยู่ตรงกึ่งกลางทางพอดีก็ให้ถือว่า นางฟ้าที่เกิดใหม่นั่นหันหน้าไปทางวิมานของใครก็มอบให้องค์นั้น ถ้าไม่เข้าข่ายอะไรๆ เลย พระอินทร์ก็ตัดสินริบเข้าเป็นสิทธิ์ของพระองค์เอง เรียกกันว่า “ถูกริบเข้ากองกลาง”
ถ้าเราไปเยี่ยมวิมานของพระอินทร์บ่อยๆ เราก็จะเห็นว่างานหนัก ที่พระอินทร์ต้องทําเป็นประจําและทําบ่อยที่สุด คือ เรื่องตัดสินคดีแย่งนางฟ้า
เรื่องของเมืองพระอินทร์ยังมีสิ่งสําคัญที่น่ารู้อีกหลายอย่าง เช่น เรื่องวงดนตรี เรื่องช้างทรงเอราวัณของพระอินทร์ ต้นปาริฉัตร วิมานไพชยนต์ สวนนันทวัน แท่นบัณฑกัมพล ฯลฯ
ไม่ว่าในสวรรค์จะมีทิพยสมบัติวิเศษเลิศเลอแค่ไหน สวรรค์บางชั้น เช่น ชั้นที่ห้า อยากได้กามคุณที่ประณีตวิเศษเพียงใด แม้แต่เรื่องคู่ครองก็ใช้วิธีเนรมิตเอาเองตามใจชอบ ไม่มีการอกหัก ส่วนสวรรค์ชั้นสูงสุดก็คือชั้นที่ ๖ สบายหนักยิ่งขึ้น แม้การเนรมิตก็ไม่ต้องทํา จะมีเทวดารับใช้รู้ใจเนรมิตให้เองอย่างเรียบร้อย
ดังนั้น กามในสวรรค์จึงเป็นกามที่เป็นทิพย์ วิเศษ ประณีต น่าหลงไหลไม่รู้สิ้น แต่มีข้อเสียหายร้ายแรงอยู่เรื่องหนึ่งคือ ไม่สามารถเสพสุขอย่างนั้นอยู่ตลอดกาลได้ ต้องมีวันหมดบุญ ต้องตายจากทิพยสมบัติ เหล่านั้นทุกๆ องค์ ที่นั่นจึงไม่ใช่ความสุขที่แท้จริงแต่อย่างใด
กามอันเป็นทิพย์ของชาวสวรรค์ยังต้องแปรปรวนไม่คงที่นับประสาอันใดกับกามของมนุษย์ จะไม่วิบัติแปรผันยิ่งกว่า
กามคุณห้า จึงไม่ใช่ของมีสาระแก่นสารแท้จริงที่ควรแสวงหา
เพราะที่จริงแล้ว กาม ไม่ว่าจะเป็นของมนุษย์หรือของทิพย์ก็ล้วนแต่เป็นเหยื่อของมารที่เขานํามาเกี่ยวเบ็ดแห่งการเกิดแก่เจ็บตาย เพื่อให้เราต้องเวียนว่ายตายเกิด อยู่ในบังคับบัญชา เหมือนเป็นดังของเล่นอย่างหนึ่งของฝ่ายมารเท่านั้นเอง
รู้ดังนี้แล้ว เราทุกคนก็ควรต้องเตรียมถอนตนให้พ้นจากหล่มกามพ้นจากความเป็นทาสของมาร จึงจะสมควร
ชื่อเรื่องเดิม กามอันเป็นทิพย์
Cr. อุบาสิกาถวิล(บุญทรง) วัติรางกูล
จากความทรงจำ เล่ม3