ชีวิตโสเภณี

วันที่ 07 กพ. พ.ศ.2560

 
 
ชีวิตโสเภณี
 
ชีวิตโสเภณี,ที่นี่มีคำตอบ ฉบับมินิ เล่ม 4 รักนี้สีอะไร,บทความประจำวัน
 
 
                  สิบปีเศษมาแล้ว เมื่อพ่อข้าพเจ้ายังมีชีวิตอยู่ และข้าพเจ้าลาออกจากงานราชการไปดูแลท่านที่บ้านที่จังหวัดราชบุรี ในตอนบ่ายของปลายเดือนมีนาคมวันหนึ่ง มีสตรีสาวสวยมากคนหนึ่งลงจากรถสองแถวรับจ้าง เดินตามทางผ่านมาใกล้ที่ข้าพเจ้ากําลังยืนเอาตะกร้อสอยมะม่วงต้นที่ขึ้นอยู่หน้าบ้าน พอเธอเห็นข้าพเจ้าเธอก็ยิ้มแย้มอย่างดีใจ ยกมือไหว้พูดว่า “พี่ใหญ่ สวัสดีค่ะ”

              ข้าพเจ้าวางตะกร้อไม้สอยมะม่วงลง พนมมือรับไหว้แล้วยืนงงเพราะกําลังนึกสงสัยว่า เธอเป็นใคร คําว่า พี่ใหญ่นี่ นอกจากน้องทั้งสองของข้าพเจ้าแล้ว ก็มีแต่ลูกๆ ของบ้านติดกันเรียก เด็กสาวคนนี้เป็นใครกัน จึงมาเรียกด้วยสรรพนามคุ้นเคยอย่างนี้

             ฝ่ายทักทายคงจะเดาอาการแปลกใจของข้าพเจ้าออก เธอปล่อยเสียงหัวเราะกิ๊กออกมา ท่าทางหัวเราะรวมทั้งน้ำเสียงและลูกคอ ทำให้ข้าพเจ้าจําได้ จึงร้องอุทานว่า

                   “อ้าว ไอ้ลี...หรอกเรอะเนี้ย”

           “ใช่หนูเองค่ะ ทําไมพี่ใหญ่ทําหน้าเหมือนถูกผีหลอกยังงั้น” แล้วเธอก็หัวเราะร่วนขำต่อไป เธอคือลูกสาวคนที่ ๔ ของบ้านข้างบ้านนั่นเอง มีอาชีพเป็นผู้หญิงชั้นสูง อยู่ในกรุงเทพฯ ทุกเดือนเธอมักจะนําเงินค่าเลี้ยงดูมามอบให้มารดาเป็นประจํา แต่หลายเดือนมานี้เธอมิได้มาเอง ใช้วิธีส่งธนาณัติ พอครั้งนี้เจ้าตัวมาเอง ข้าพเจ้ากลับจําไม่ได้เอาเสียเลย

               “จะไม่ให้พี่งงได้ยังไง ก็หน้าตาของหนูไม่เหมือนเดิมเลยนี่เอาหน้ากากอะไรใส่มาฮึ”

               พูดแล้วข้าพเจ้าก็รีบเดินเข้าไปใกล้ เอามือจับที่ใบหน้าแถวๆ คาง อีกฝ่ายยิ่งหัวเราะพูดว่า

           “ไม่ใช่หน้ากาก นี่หน้าของหนูจริงๆ มันแปลกไปยังไงหรือคะพี่ ลองวิจารณ์ให้หนูฟังหน่อย” ข้าพเจ้าฟังเธอถามแล้ว ตั้งใจพิจารณาดู พูดตามความคิดเห็นของตนเอง

         “มันไม่มีหน้าเดิมของหนูเหลืออยู่เลย หนูไปทํามาได้ยังไงมันสวยมากเหลือเกิน” ดวงตาใหญ่ยาวรี ขนคิ้วโก่งเรียวงาม ประกอบกับตาดําโตอยู่แล้ว ยิ่งมีประกายหัวเราะขบขันก็ยิ่งหวานซึ้ง เปลือกตาทาสีเข้มมองดูโฉบเฉี่ยว จมูกโด่งงามเป็นสัน ตอนปลายงอนเชิดขึ้นเล็กน้อย ริมฝีปากเดิมงามอยู่แล้วเมื่อแต้มแต่งด้วยสีแดงสดใส ก็สวยเหมือนดอกไม้สีสด ฟันก็ขาวเงางามเป็นระเบียบ ที่อัศจรรย์พูดไม่ถูก คือ พวงแก้มที่เต่งตึง ขาวนวลใย ทําไมแก้มจึงอิ่มเอิบราวสาวแรกรุ่นอายุเพียง ๑๖-๑๗ ปี ไม่ใช่อายุเกือบ ๓๐ ปี ตามความเป็นจริงผิวพรรณดูนวลเนียนไปหมดทั้งตัว

          อีกฝ่ายแย้มยิ้มอย่างพึงพอใจในคําชมเชยของข้าพเจ้า ตอบว่า

     “หนูทํามันหมดแทบทั้งหน้าเลยค่ะพี่ ปลูกคิ้ว ทําตา ๒ ชั้น แล้วตาก็โตขึ้นด้วย ทําจมูก ฉีดแก้ม ใครๆ ก็จําหนูไม่ได้ทั้งนั้น หนูไปทําที่ร้านศัลยกรรมตกแต่งแห่งเดียวกับ...(ออกชื่อนางเอกภาพยนตร์ไทยคนหนึ่ง) เค้านั่นแหละ พี่ว่าฝีมือหมอเค้าเยี่ยมมั้ยคะ”

    “เยี่ยมจริงๆ จ้ะ เปลี่ยนโฉมของหนูเหมือนสาวยิปซีแสนสวยทีเดียว”  ข้าพเจ้าตอบตามความจริง และด้วยความคุ้นเคยกันมาตั้งแต่เยาว์ ข้าพเจ้าไม่จําเป็นต้องเกรงใจ จึงถามราคาค่าใช้จ่ายในการทำศัลยกรรมตกแต่งทั้งหมด เธอก็จาระไนให้ฟังอย่างละเอียด รวมไปถึงการขัดสีผิวหนังให้ดูเป็นนวลใยทั่วตัว การตกแต่งฟัน ทรวงอกและอวัยวะเพศ อย่างละหมื่นสองหมื่นบางอย่างก็ถึงสามหมื่น รวมๆ ทุกอย่างแล้วก็ตกค่อนแสน

    “เสียดายเงินจังนะ” ข้าพเจ้าเปรยขึ้น เพราะรู้สึกอย่างนั้น

     “มันจําเป็นน่ะพี่ อาชีพของหนูยังงี้ หนูก็ต้องตามใจแขกเค้า ใครมาจ้างเรา เรื่องแรกเค้าก็ต้องดูหุ่นก่อนแหละพี่ว่าสวยถูกใจเค้ารึเปล่า ไหนๆ ต้องเสียเงินแล้ว มันก็ต้องอยากได้ไอ้ที่รูปร่างหน้าตาดีๆ ด้วยกันทั้งนั้น แล้วเดี๋ยวนี้ผู้หญิงหากินอย่างหนูมันก็มีมาก รุ่นเอ๊าะๆ ก็แยะ เราจะปล่อยให้โทรมไม่ได้หรอก เดี๋ยวหาแขกไม่ได้ พอเค้าจ้างเราไปนอนกับเค้าแล้ว ก็ต้องให้เค้าพออกพอใจทุกอย่างของเรา หนูเลยต้องยอมเสียเงินก้อนใหญ่ มันก็เหมือนยอมลงทุนค้าขายน่ะแหละค่ะ

     เธออธิบายเสียละเอียดลออ และไม่สุภาพยิ่งกว่านี้มาก เพราะถือว่าสนิทสนมกับข้าพเจ้า มีทุกข์ร้อนสิ่งใดก็มักจะเล่าให้ฟังจนหมดสิ้น บางทีก็ปรับทุกข์ถึงเหตุการณ์เกี่ยวกับแขกที่เป็นโรคกามวิปริตต่างๆ ข้าพเจ้าเห็นใจและมักจะให้คําปลอบโยนที่ทําให้เธอสบายใจอยู่เสมอ ชมเชยให้กําลังใจที่เธอทํากุศลเลี้ยงดูพ่อแม่และอุปการะน้องๆ ที่กำลังเล่าเรียน

     เห็นใจแค่ไหนก็ยังรู้สึกเสียดายเงินจํานวนมากที่หมดไป เพราะการตกแต่งร่างกายที่ไม่จีรังเหล่านั้น เมื่อนึกถึงหนี้สินที่พ่อแม่ของเธอมีอยู่ ๕ หมื่นบาทในเวลานั้น ต้องเสียดอกร้อยละสองบ้าง สิบสลึงบ้างต่อเดือน อีก ๓-๔ ปีก็คงจะขึ้นเป็นเท่าตัว ถ้าไม่มีเงินใช้หนี้ ไร่อ้อยหลายสิบไร่คงจะถูกเจ้าหนี้ยึดไป

      พบเธอวันนั้นแล้ว เธอก็เงียบไป ไม่กลับไปบ้านอีก พลอยให้เดือดร้อนถึงข้าพเจ้าด้วย เพราะมักจะทนเห็นครอบครัวของเธออดอยาก ขาดแคลนไม่ใคร่ได้ ข้าพเจ้ามาธุระที่กรุงเทพฯ ในเย็นวันหนึ่ง เป็นเวลาที่เธอกําลังแต่งตัวจะออกไปทํางานอยู่พอดี แทบจะไม่มีเวลาพูดกับข้าพเจ้า

   “พี่ใหญ่หนูไม่มีเวลาจริงๆ นะพี่ แขกบางคนมันจองหนูเป็นเดือน บางคนก็จองสิบวัน ต้องพามันไปเที่ยวถึงเชียงใหม่ ภูเก็ต หาดใหญ่ สงขลา อะไรต่อมิอะไร”

     “ไม่ว่างก็ธนาณัติไปก็ได้นิ บ้านหนูไม่มีเงินใช้กันเลยนะ ต้องยืมข้าวสารพี่อยู่เสมอแหละ”

  “เวลาจะไปธนาณัติก็ไม่มีเลยพี่ มันว่างแต่ตอนเย็นวันละ ๒-๓ ชั่วโมง ก็เป็นเวลาที่ไปรษณีย์เค้าปิดซะด้วย” เธอตอบเลี่ยงไป

 “เอายังงี้นะ พี่ต้องเข้ากรุงเทพฯ มารับเงินบํานาญทุกเดือนอยู่แล้ว พี่มารับเงินของหนูไปฝากแม่ด้วยได้มั้ย”ข้าพเจ้าแนะนํา

   “ก็ได้พี่ ถ้าไม่พบหนูยังไงหนูจะฝากอาม้า แม่เจ้าของร้านกาแฟข้างบ้านพักไว้ให้นะ”

   ต่อจากนั้นข้าพเจ้าได้ไปรับเงินจากอาม้าเป็นประจํา ได้รับรายงานจากหญิงชราชาวจีนผู้นั้นว่า

 “อั๊วเห็นอาลีอีไม่ว่างซักวัง รายได้อีมากน่อ...อีใส่ทองเยอะแยะ ลื้อมีธู่ระอาลายรึเป่า นี่อั๊วมีเบอร์โทรอีด้วยน้า...

  ข้าพเจ้าลองโทรศัพท์ไปเล่าอะไรๆ เรื่องทางบ้านให้เธอฟัง เสียงเธอตอบว่า

    “หนูขอบคุณพี่มากจังเลยนะคะที่ช่วยมารับเงินไปให้ทางบ้าน อยากคุยกะพี่อีกนานหน่อยก็คุยไม่ได้ซะแล้ว แขกมันนั่งจ้องหนูตาเขียวเชียว มันหึงน่ะค่ะ นี่มันเช่าหนูแค่สิบวัน มันหวงซะยังกะหนูเป็นเมียมันจริงๆ ยังงั้นแหละ มันว่าหนูสวยมาก มันคลั่งขนาดหนักเลยนะพี่ใหญ่ มันบอกว่าหนูสวยทั้งตัวมันชอบดู มันเก็บเสื้อผ้าของหนูใส่ตู้ใส่กุญแจเลย ไม่ให้นุ่ง จะได้ออกไปไหนไม่ได้”
               

      ข้าพเจ้านึกอนาถใจหลายอย่าง เป็นความสังเวชที่ไม่รู้จะคุยให้ใครฟังเข้าใจ นี่เป็นอาชีพหากินด้วยรูปร่างกายแท้ๆ คนหลงรูปต้องเสียเงินซื้อรูปมาดู มาสัมผัสเชยชม วันหนึ่งๆ เป็นราคาหลายๆ พัน ฝ่ายหนึ่งหลงรูป อีกฝ่ายหลงเงิน ซึ่งก็คือรูปชนิดหนึ่งเหมือนกัน ไม่มีความจริงใจต่อกัน มีแต่อารมณ์ของความใคร่ในกาม ไม่ใช่ความรักที่เห็นอกเห็นใจพร้อมจะเสียสละเพื่อคนที่ตนรัก ดังนั้นเยื่อใยความสัมพันธ์ทางใจจึงไม่มีต่อกัน แม้จะคลุกคลีร่วมเสพกามด้วยกันก็จริง ก็ไม่มีความนับถือให้กันและกัน ทุกคำพูดที่สตรีนั้นใช้แทนตัวแขกของเธอ เธอจึงใช้คำว่า “มัน อยู่ตลอดเวลา มันอย่างโน้น มันอย่างนี้ ใช้คำสรรพนามเหมือนเรียกสัตว์ชนิดหนึ่งเท่านั้น ฝ่ายแขกเล่า ถ้าข้าพเจ้ามีโอกาสสัมภาษณ์ก็คงจะเรียกฝ่ายหญิงว่า “มัน” อีกเหมือนกัน ดีแต่ฝ่ายแขกไม่ว่าจะกี่คนล้วนเป็นชาวต่างประเทศ จึงใช้คำแทนตัวเป็นภาษาอังกฤษ เรียกตนเองว่า “ไอ” เรียกอีกฝ่ายว่า “ยู” ไม่ต่างกันก็จริง แต่ในส่วนลึกของใจพวกเราก็คงไม่สามารถจะยกย่องสตรีประเภทนี้ลงได้ นอกจากเพื่อความสนุกสนานชั่วมื้อชั่วคราวเท่านั้น
               

       จำได้ว่าปีนั้นสตรีผู้งามด้วยศัลยกรรมตกแต่งผู้นี้มีงานต่อเนื่องกันตลอด จนแทบไม่ได้ไปเยี่ยมครอบครัวเลย ส่วนข้าพเจ้าก็มีหน้าที่ไปรับเงินจาก “อาม้า” ไปให้แม่ของเธอเป็นประจำ แล้ววันหนึ่งเธอก็ยืมเงินข้าพเจ้า ๕ หมื่นบาท และให้พ่อของเธอไปยืมเงินน้าสาวโดยเอาโฉนดที่นาแปลงหนึ่งจำนองไว้ ๑ แสน ๕ หมื่นบาท โดยอ้างว่าจะรวมเงินให้ ๑ ล้านบาท เพื่อลงทุนทําธุรกิจค้าเสื้อผ้าสําเร็จรูปร่วมกับ “แฟน” คนหนึ่งของเธอซึ่งเป็นชาวซาอุดิอาระเบีย

       ข้าพเจ้าเห็นแก่ความสนิทสนมที่เรามีต่อกันมาแต่เดิม รวมทั้งความกตัญญูที่เธอเลี้ยงดูครอบครัวและส่งเสียน้องๆ เล่าเรียน ทั้งยังปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะให้เธอเลิกอาชีพที่น่ารังเกียจนี้เสียที จึงเต็มใจให้ยืม พ่อแม่ของเธอก็คิดเช่นเดียวกับข้าพเจ้า เราทั้งสองฝ่ายจึงถูกต้มจนสุกสนิท ความจริงเธอเอาไปร่วมหุ้นเล่นการพนันในแหล่งกาสิโนที่ใหญ่ที่สุดของกรุงเทพฯ ซึ่งในเวลานั้นตั้งอยู่ที่ประตูน้ำ เธอเสียการพนันเป็นล้าน

    เงินจากการทํามาหากินด้วยอาชีพขายตัวเธอสะสมเงินไว้ได้ ๘ แสนบาท ละลายหายสูญไปภายในเวลาสัปดาห์เดียว

      ยังมารวมเอาเงินของข้าพเจ้าและน้าสาวของเธออีก ๒ แสนบาท ข้าพเจ้าไม่ตกใจอะไรมากนัก พอทําใจได้ว่า ถ้าเงินของเราได้มาโดยบริสุทธิ์ผุดผ่องจากน้ำพักน้ำแรงของตนเองแล้ว และไม่มีกรรมเก่าใดๆ มา ทวงหนี้ เงินนั้นก็จะไม่สูญหายไปไหน ถ้าจะมีกรรมอันใดมาเบียดเบียนตัดรอนให้ต้องถึงคราววิบัติ ก็จะตัดใจปลง ถือว่าถึงคราวต้องใช้หนี้และจะเต็มใจคืนให้เจ้าหนี้ไป อีกอย่างหนึ่งข้าพเจ้าเคยทําบุญไว้เป็นเงินบ้างเป็นทรัพย์สินอย่างอื่นบ้างจํานวนมากๆ รวมแล้วเกินกว่า ๕ หมื่นบาท เมื่อถึงคราวจะสูญเสียไปในวงเงินน้อยกว่าที่เคยเสียสละ ใจคอจึงไม่เสียจนคุมสติไม่อยู่ ถือว่าตนเองเคยบริจาคมามากกว่านั้น เรื่องการรู้จักหาอุบายให้ใจคิดในเวลาที่เกิดเรื่องน่าโศกเศร้าเป็นสิ่งจําเป็นในชีวิตของทุกคน ทางธรรมเรียกว่า โยนิโสมนสิการ

   โยนิโสมนสิการ คือ การรู้จักคิดด้วยอุบายอันแยบคายนี้ ไม่ใช่พอมีเรื่องเกิดขึ้นปุบปับแล้วจึงคิด เพราะใจจะไม่ยอมรับ ต้องหัดคิดไว้ล่วงหน้าอยู่เสมอๆ โดยดูตัวอย่างจากกรณีของคนอื่นๆ เมื่อเห็นใครทุกข์โศกด้วยเรื่องใดก็ตาม ต้องหมั่นนํามาสอนตนเองว่า ถ้าเป็นเรื่องอย่างนั้นเกิดขึ้นแก่เราบ้าง เราจะมีอุบายคิดปลอบตนเองอย่างไร

    ในกรณีของ “เธอ” ที่ข้าพเจ้าเล่าเรื่องให้ท่านผู้อ่านฟังอยู่นี้ เธอเองรวมทั้งพ่อแม่ของเธอพากันคุมสติไม่อยู่ แม่ของเธอนอนไม่หลับเป็นคืนๆ กินข้าวไม่ลง เฝ้าเสียดายเงินทองของลูกที่เสียไป ส่วนพ่อก็พูดว่า

    “อีลูกชั่ว มีงอย่ามาให้กูเห็นหน้าเป็นอันขาด กูจะยิงทิ้งเสียทีเดียว”

     ข้าพเจ้าเกิดความรู้สึกอนาถใจเพิ่มขึ้นอีกคือ พ่อของเธอไม่ชอบอาชีพของลูก แต่ก็อยากได้เงินของลูก เขาพูดว่า

   “มันมีเงินร่วมล้าน จะช่วยใช้หนี้ให้เราที่มีอยู่แค่ ๕ หมื่นก็ไม่ได้ ปล่อยให้พ่อแม่ต้องเสียดอกเบี้ยแพงๆ อยู่ทุกเดือนๆ”

   “เอ…เรื่องนี้หนูว่า จะโทษลูกสาวน้าก็ไม่ได้นะคะ เพราะหนี้สินนั้น น้ากู้ให้ลูกสาวอีกคนหนึ่งปลูกบ้าน ไม่ใช่หนี้โดยตรงของน้าเอง จะให้ลีเค้ารับใช้ก็ไม่ยุติธรรม” ข้าพเจ้าท้วง

  “ถึงยังงั้นก็เถอะ มันก็น่าจะเอาเงินมาให้พ่อแม่เก็บไว้ให้ ทำไมมันไม่ไว้ใจพ่อแม่”

    ผู้เป็นพ่อบ่นต่อ ข้าพเจ้าไม่อยากโต้เถียงว่า พ่อแม่อย่างเขาก็ไม่สามารถเก็บเงินลูกได้ เพราะเป็นคนฟุ่มเฟือย และชอบเล่นล็อตเตอรี่เป็นชีวิตจิตใจ ถ้าข้าพเจ้าเป็นลูกก็จะไม่ฝากเงินกับพ่อแม่อย่างนี้ ยิ่งหวนนึกถึงสตรีเจ้าของเรื่อง คงต้องกําลังเสียใจอย่างหนัก หมดที่พึ่งแม้แต่คําปลอบใจจากพ่อแม่ก็สิ้นหวัง ชีวิตเธอคงอยู่ระหว่างเป็นตายเท่ากัน ข้าพเจ้าจึงตัดสินใจเดินทางเข้ากรุงเทพฯ มาพบ

      เป็นความจริงตามที่คาดคะเนไว้ เธอปิดห้องร้องไห้มาตลอด ๓ วัน ๓ คืน ไม่ยอมกิน ไม่ยอมนอน ไม่ยอมให้ใครเข้าไปพบ ข้าพเจ้าเคาะประตูเรียกเธอ เธอจําเสียงไม่ได้ พูดออกมาว่า

       “ใครมา ไปเสียเถอะ ชั้นไม่ต้องการพบใครทั้งนั้น!” แล้วเธอก็ร้องไห้กระซิกๆ ต่อ

       “อั๊วบอกลื้อแล้วง...า...ย อีไม่ยอมให้คายพกอีกเลย ข้าวก็ไม่ยองกีง” เสียงอาม้าบอก

      “ลี พี่เองจ้ะ พี่ใหญ่ของหนูไง พี่มาเยี่ยมนะ” ข้าพเจ้าบอกชื่อซ้ำอีกครั้ง

     เธอเปิดประตูห้องออกมาอย่างรวดเร็ว ให้ข้าพเจ้าเข้าไปข้างใน แล้วรีบปิดประตูใหม่

   ภายในห้องเล็กๆ แห่งนั้น มีเตียงนอนเล็กๆ เครื่องใช้อํานวยความสะดวกบางอย่าง เช่น พัดลม โทรทัศน์ วิทยุเทป และอื่นๆ แต่ที่สะดุดตาข้าพเจ้าคือที่โต๊ะเล็กข้างหัวเตียงมีขวดยาเม็ดสีขาววางอยู่เต็มขวด เหมือนเพิ่งซื้อมาใหม่ๆ ข้าพเจ้าทักขึ้นว่า

 “นี่ ลี หนูคิดจะฆ่าตัวตายทีเดียวรึเนี่ย เตรียมซื้อยามาไว้ใช่มั้ย”

 “ค่ะ หนูทนไม่ไหว ทนไม่ไหวจริงๆ คงต้องใช้ทางออกอย่างนี้”

  ตอบด้วยเสียงปนสะอื้น น้ำตาที่เพิ่งหยุดกลับไหลออกมาอีก ดวงตาทั้งสองข้างแดงก่ำด้วยสายเลือดขอบตาบวมเป่ง ความวาวหวานไม่มีเหลืออยู่เลย กลับเลื่อนลอยราวคนเสียสติ

   ข้าพเจ้าต้องโอบกอดเธอไว้เหมือนตัวเองเป็นพี่สาวแท้ๆ ของเธอ อนาถใจในความเป็นไปของกระแสกรรม ชั่วชีวิตช่างระหกระเหินเหมือนเคราะห์กรรมจงใจเหยียบย่ำซ้ำเติมครั้งแล้วครั้งเล่า พ่อแม่พี่น้องรวมทั้งหมู่ญาติรังเกียจอาชีพของเธอยิ่งนัก แต่ไม่มีผู้ใดรังเกียจเงินทองของเธอเลยสักคนเดียว ใครมีธุระเดือดร้อนสิ่งใด ก็ได้อาศัยเงินทองของเธอจับจ่าย เธอก็มักยินดีให้อยู่เสมอๆ ครั้นถึงยามทุกข์ยากเข้าตาจน ทุกคนกลับซ้ำเติมเคียดแค้น เป็นที่พึ่งทางเงินทองข้าวของไม่ได้ แค่พูดให้กําลังใจบ้างก็ไม่มีใครยอมทํา ในเวลานั้นข้าพเจ้าจึงทําหน้าที่ปลอบประโลมให้กำลังใจตามลําพังผู้เดียว

   “พี่เห็นด้วยจ้ะ ถ้าตายแล้วเราจะไม่มีกายหรือใจอะไรๆ เหลืออยู่ ตายแล้วสูญไปหมด อย่างนี้พี่เห็นด้วย เราทุกข์หนักมากมายแค่ไหน เราก็ฆ่าตัวตายทิ้งเสียหมดเรื่องหมดราวไป เป็นทางออกที่ดีที่สุดเลยจ้ะ แต่ คนเราตายแล้วมันไม่สูญนี่ มันแย่ตรงนี้” ข้าพเจ้าพูดให้อีกฝ่ายสงสัยค้างอยู่จนต้องถาม

    “อ้าว คนเราตายแล้วมันไม่สูญหรอกหรือพี่ ตายแล้วมันเป็นยังไงคะ” ถามปนสะอื้น

    “ตายแล้วมันเกิดใหม่จ้ะ ถ้าเราหมดกิเลส ตายแล้วจึงจะเข้านิพพานเลิกเกิด แต่ถ้ายังมีกิเลส ตายแล้วต้องเกิดอีก ส่วนจะเกิดที่ดีหรือที่เลว แล้วแต่เราทํากรรมอะไรไว้ ถ้าทํากรรมดีไว้มาก ตายแล้วก็เกิดใหม่ในที่ดีๆ เช่นเกิดเป็นคนอีก หรือเกิดเป็นเทวดา แต่ถ้าทำบาป ทํากรรมชั่วเอาไว้ ตายแล้วเกิดใหม่ยิ่งลําบากกว่าเดิม แย่เลยจ้ะ”

   “เกิดไม่ดี เช่นเป็นอะไรบ้างคะ”

    “ถ้าเราเป็นคนโลภมาก ขี้งก คดโกง เอาเปรียบผู้อื่น มักจะเกิดเป็นเปรต หิวอยู่เรื่อย ถ้าเป็นคนขี้โกรธ ตายแล้วมักเกิดเป็นสัตว์นรก ถ้าเป็นคนโง่เขลาหลงใหลงมงาย ตายแล้วมักเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน อย่างหนูนี่นะ ถ้าตายตอนนี้ก็ตายด้วยความเสียใจ เค้าเรียกว่าตายด้วยความโกรธ โกรธเพราะถูกคนโกงเงินเอาไป ตายตอนนี้ต้องตกนรกแน่ๆ เลย” พูดขู่ตามความจริงเสร็จในตัว

      “มันจะตกนรกก็ช่างมันปะไรมันเป็นคนละกายกะกายนี้ไม่ใช่หรือคะ” อีกฝ่ายดื้ออยากตายท่าเดียว ข้าพเจ้าจึงอธิบายเพิ่มเติมว่า

     “จ้ะ มันเป็นคนละกายกันก็จริง แต่พวกสัตว์ที่เกิดในนรกหรือเกิดเป็นเปรตน่ะ มันเกิดชนิดตัวโตเต็มที่เลย ตายปั๊บ เกิดปุ๊บ ก็โตเลย ไม่ต้องเป็นเด็กเล็กค่อยๆ โต เมื่อมันเกิดเป็นตัวโตได้เลยยังงี้ มันก็จําเหตุการณ์ในชีวิตก่อนตายไว้ได้หมดนั่นแหละ ความทุกข์ ความเจ็บช้ำน้ำใจอะไรต่างๆ มันก็ตามไปรู้สึกได้อย่างเดิม และก็จะต้องทุกข์หนักเพิ่มขึ้นอีกมาก เพราะอยู่กันคนละภพภูมิ แก้ไขเหตุการณ์อะไรไม่ได้ เช่น หนูฆ่าตัวตายตอนนี้ หนูก็ไม่มีทางทํามาหากินให้ได้เงินเหมือนในเมืองมนุษย์อีก แต่หนูก็จะเห็นความทุกข์ยากเดือดร้อนของลูกๆ ที่ต้องเลิกเรียนหนังสือเพราะไม่มีคนส่งเสีย ต้องไม่มีอนาคตหนูเห็นแล้วก็ช่วยเหลือพวกเค้าไม่ได้เลย มันยิ่งทุกข์ใจหนักนะ

     ข้าพเจ้ายกตัวอย่างให้ฟังง่ายๆ และก็เอาเรื่องลูกๆ ของเธอมาพูดเปรียบเทียบ เพราะรู้ว่าเธอรักลูกเป็นห่วงลูกมากและลูกก็กําพร้าพ่อ เมื่อฟังคําเตือนสติให้ได้คิด น้ำตาก็หยุดไหล ข้าพเจ้าจึงได้พูดให้เห็นใจพ่อแม่ต่อไปอีก

       “เรื่องพ่อเรื่องแม่ของหนูก็เหมือนกัน ท่านเสียใจแทนหนูมาก เสียดายเงินแทนลูก ทําให้คิดอะไรไม่ออก เลยพาลโกรธส่งไปเลย ท่านไม่เคยเป็นคนมีเงินมากๆ เลยตลอดชั่วชีวิต หาได้เท่าไรก็ต้องใช้เลี้ยงลูกหมด ลูกตั้ง ๘ คนน่ะ สิ้นเปลืองเท่าไหร่ หนูก็คิดดู ดีนะที่พี่ฝาแฝด ๒ คนของหนูตายไปตั้งแต่อายุไม่กี่เดือน ไม่งั้นต้องเลี้ยงกันถึงสิบ พ่อกับแม่หนูเคยจับเงินอย่างมากก็เป็นแค่เงินจํานวนพันเท่านั้น เรื่องเงินแสน เงินล้านอย่าว่าแต่ได้จับ เห็นก็ยังไม่เคยเห็น ท่านก็ต้องเสียใจแทนมากมายไม่น้อยกว่าหนูหรอก แต่หนูอย่าเป็นห่วง อย่าคิดน้อยใจท่าน พี่จะพูดให้ท่านทั้งสองเห็นใจและให้อภัยหนูเอง เดี๋ยวพี่จะพูดขู่ให้ว่า ขืนทําเป็นโกรธหนูดีเถอะ ถ้าหนูเกิดฆ่าตัวตายไปเสียใครจะเลี้ยงครอบครัวล่ะ ดีไม่ดีจะต้องนั่งเลี้ยงหลานฟรีๆ อีก ๒ คน ถูกขู่แค่นี้ก็ขี้คร้านจตกใจได้คิด แล้วก็ต้องพูดดีกับหนูไปเอง

      พูดให้เห็นใจพ่อแม่เสียอย่างนี้ ความน้อยใจเสียใจอย่างหนักก็คลายลง ข้าพเจ้าปลอบอยู่นาน พอเธอหยุดร้องไห้ ก็ขอร้องให้คุยอะไรๆ ให้เธอฟัง ข้าพเจ้าจึงคุยปลอบว่า เสียทรัพย์ไปเพียงเท่านี้ ยังไม่ทุกข์ยาก เดือดร้อนเหมือนพวกบ้านแตกเมืองแตก ทําสงครามเข่นฆ่ากัน ตายบ้าง หนีรอดอย่างไม่มีสมบัติติดตัวไปอาศัยในประเทศอื่นบ้าง หรืออย่างพวกไฟไหม้ เรือสินค้าล่ม พายุถล่ม ถูกปล้น ทุกข์มากกว่าเธอทั้งสิ้น เธอฟัง คําพูดของข้าพเจ้า พยายามทําความเข้าใจตาม คนมีความทุกข์มากๆ เป็นนักฟังที่ดี เพราะเป็นเวลาที่ใจไม่มีที่พึ่งที่ไหน ใครพูดอะไรก็เชื่อง่าย เราจึงมักพบกันอยู่เสมอว่าคนที่กลุ้มใจ ทุกข์ใจใครชวนไปดูหมอดูก็ไป ไปดูผีเจ้าเข้าทรงก็ไป ไปแล้วก็เชื่อง่าย บางรายเสียเงินเสียทองถูกผีปลอมหลอกเอาไปเสียมาก บางคนเอาลัทธิความเชื่อผิดๆ มาชักจูง ก็พลอยเชื่อตามไปได้ง่าย หลังจากที่ข้าพเจ้าปลอบโยนเธอในวันนั้น ใช้เวลาตั้งแต่ราวบ่าย ๓ โมงจนถึงหนึ่งทุ่ม เธอก็มีกำลังใจสู้ชีวิตขึ้นมาใหม่ แต่งตัวออกไปทำงานได้เป็นปกติ มีรายได้ดีอย่างเดิม คือได้ประมาณเดือนละ ๔-๕ หมื่นบาท ในขณะที่ข้าราชการชั้นตรีขั้นต้นมีรายได้หนึ่งพันบาทเศษต่อเดือนเท่านั้น

     ท่านผู้อ่านคงไม่นึกตำหนินะว่า ทำไมข้าพเจ้าจึงยุ่งกับผู้หญิงคนนี้นัก อาชีพของเธอน่ารังเกียจถึงเพียงนั้น ข้าพเจ้าขอตอบว่า นอกจากความกรุณาต่อเธอในฐานะเพื่อนบ้านที่เห็นกันมาตั้งแต่เกิด รู้ประวัติความจำเป็นต่างๆ ไม่ใช่เธอเต็มใจกระทํา แต่ข้าพเจ้านึกเป็นห่วงครอบครัวของเธอ ถ้าเธอมีอันเป็นไปอย่างใดแล้ว ครอบครัวจะขาดแคลนยิ่งนัก พ่อแม่แก่มากแล้ว อายุใกล้ ๗๐ ปี ทํามาหากินอะไรไม่ไหว น้องที่กําลังเรียนยังไม่จบบ้าง เรียนจบแล้วยังไม่มีงานทําบ้างอีกหลายคน ยังมีลูกเล็กๆ ของเธออีก ๒ คน ข้าพเจ้าคงไม่สบายใจเอามากๆ ถ้าจะต้องเห็นสภาพอย่างนั้น

   สำหรับเรื่องหนี้สินที่เธอเอาเงินของข้าพเจ้าไป ถ้าเธอตายเสียแล้ว ก็ต้องถือเป็นหนี้สูญเหมือนกัน ข้าพเจ้าเองเวลานั้นก็มีเงินเหลือเก็บไว้ใช้ยามจําเป็นไม่มากนัก เพราะต้องใช้เลี้ยงดูบิดา ด้วยความจําเป็นหลายๆ ประการดังนี้ ข้าพเจ้าจึงให้ความเห็นใจเธอจนถึงที่สุด

   เพียงไม่ถึงปีหนึ่งต่อมา เธอก็สามารถใช้หนี้ข้าพเจ้าและน้าสาวได้หมด ส่งเสียครอบครัวเป็นปกติ มีอยู่บางครั้ง ใบหน้าของเธอฟกช้ำดำเขียว กลับไปพักรักษาตัวที่บ้าน ถามดูก็ได้รับคําตอบว่า

     “พี่ใหญ่ ตั้งแต่หนูทําศัลยกรรมมาเนี่ย แขกของหนูมากจริงๆ บางคนกลับจากหนูไปประเทศของมันแล้ว ยังเขียนจดหมายสั่งจองมาล่วงหน้าอีก ว่าเมื่อนั่นเมื่อนี่จะกลับมาใหม่ ให้หนูจัดเวลาตอนนั้นให้ว่างไว้เพื่ออยู่กับมัน

   ไอ้ที่มีเรื่องกันนี่ ก็พวกแขกที่เคยเป็นของเพื่อนคนอื่นน่ะแหละค่ะ มันกลับมามันไม่เอาเพื่อนของหนูอย่างเดิมซะแล้ว มันมาขอจองหนู ไอ้เพื่อนหนูมันก็ยัวะหนู หาว่าแย่งแขกมันน่ะค่ะ

   “แล้วหนูแย่งของเค้าจริงรึเปล่า” ข้าพเจ้าถาม

    “หนูไม่ได้แย่ง หนูบอกมันแล้วว่าเดี๋ยวลิลลี่เค้าโกรธเอานะ ยูอย่ามายุ่งกะไอ แขกมันบอกว่า มันใช้เงินของมันจ้าง มันจะจ้างใครเป็นความพอใจของมัน ตอนนี้หนูสวยมาก สวยจนมันจําไม่ได้ มันอยากได้หนู
ลิลลี่ไม่มีสิทธิ์ เพราะมันไม่ได้จอง ลิลลี่จะโกรธมันหรือโกรธหนูก็ไม่ถูกทั้งนั้น”

     “แล้วหนูเลยไปกับเค้าเหรอ”

      “ใช่ค่ะ หนูไปภูเก็ตด้วยกัน ๑๐ วัน ได้มาหลายเงิน ส่งแขกที่ดอนเมือง พอกลับมาถึงโรงแรม ลิลลี่มันกรากมาตบหนู ตั้งตัวไม่ติดเลย กว่าเพื่อนๆ จะจับแยกกันได้ ก็เขียวกันทั้งสองฝ่ายแหละค่ะ เรื่องอะไรหนูจะยอมมันข้างเดียว ก็ตบตีกันมั่วไปเลย เขียวปี๋มานี่แหละค่ะ ดีเหมือนกันจะได้พักสัก ๒-๓ วัน”

   ความสวยที่น่าภาคภูมิใจ นําอันตรายมาให้โดยไม่รู้ตัวได้เหมือนกัน แต่หนูลีก็ไม่เข็ด หายดีแล้วก็กลับไปประกอบอาชีพรายได้งามของเธอต่อไปใหม่

     ข้าพเจ้าและพ่อแม่ของเธอหวังกันว่า เธอคงเก็บเงินก้อนใหญ่อีกในไม่ช้า เพราะรูปร่างของเธอรวมทั้งหน้าตา เมื่อหายจากฟกช้ำ หายจากเสียใจเรื่องหนี้สินหรือเรื่องที่ถูกโกงก็สวยสดงดงามไม่มีที่ติต่อไปดังเดิม เป็นประโยชน์ต่องานอาชีพของเธออย่างล้นเหลือ นักเที่ยวรายไหนก็รายนั้นเห็นเข้าก็ชื่นชมหลงใหล ฝรั่งบางคนขอแต่งงานด้วย พาเธอไปเที่ยวประเทศของเขาครั้งละหลายๆ เดือน ท้ายที่สุดเธอไม่ยอมแต่งงาน เธอชอบความเป็นอิสระ ก็ขึ้นเครื่องบินกลับมา ใครเที่ยวกับเธอก็ติดใจในการปรนนิบัติ ทุ่มเทเงินให้ไม่อั้น

     แต่เธอไม่รู้ตัวเลยว่า แก๊งนักต้มที่มันต้มเธอไปแล้ว มันส่งคนติดตามดูรายได้ของเธอตลอดเวลา และวางแผนต้มด้วยอุบายชนิดเปลี่ยนหน้ากันมา กระทั่งเธอพบผู้ชายคนหนึ่งจึงทราบเรื่อง

       ในขณะที่รูปงามหาเงินได้ง่ายก็จริง แต่ถ้าไม่มีบุญเก่ารักษาหล่อเลี้ยง ทั้งอาชีพที่กระทําก็ไม่บริสุทธิ์สะอาด เรียกว่าบุญเก่าไม่เลี้ยงไว้ บุญใหม่ไม่ได้ทําเพิ่ม บาปเก่าเวรเก่าที่มีอยู่ก็สามารถตามทันโดยง่าย รายนี้ก็เข้าทำนองดังกล่าว วันหนึ่งเธอก็พาผู้ชายมาเยี่ยมบ้านของเธอด้วยคนหนึ่ง เธอแนะนําให้เพื่อนชายของเธอไหว้ข้าพเจ้า

            “พี่ใหญ่ นี่เพื่อนของหนูเองค่ะ ชื่อเล่นว่าแบะ”

            ข้าพเจ้าทักทายเขาโดยสุภาพ ส่วนใจกลับคิดหวั่นเกรงไปล่วงหน้ามากมาย

       เอ ก็บอกว่า ไม่คบผู้ชายไทยไงล่ะ เจ้าแบะคนนี้ แม้จะมีลักษณะเป็นคนจีนอยู่มาก แต่ต้องเรียกว่าเป็นผู้ชายไทยนั่นแหละ พูดไทยชัดเจนคล่องเปรี้ยะเลย เมื่อมีโอกาสอยู่ตามลําพัง ข้าพเจ้าก็ถามว่า

         “หนูลี นี่ไปเจอคุณแบะแกที่ไหนล่ะเนี่ย พี่ว่าเค้าดูท่านักเลงๆ อยู่นะ หนูคิดดีแล้วหรือ

     “เจอกันในบ่อนไพ่ตั้งแต่คราวหนูเล่นเสียถูกต้มนั่นแหละค่ะ พี่ตาแหลมจัง เค้าเป็นนักเลงจริงๆ นักเลงคุมบ่อนนั้นแหละพี่ เกิดหลงใหลหนูมาก ตื้อทุกวันจนหนูใจอ่อน” เธอชี้แจง

    “หนูคิดดีแล้วหรือ พี่บอกตรงๆ นะ กลัวเขาไถหนูจ้ะ พี่พูดแล้วอย่าหาว่าดูถูกแฟนหนูล่ะ หนูกลัวเค้าเป็นแมงดามั่งรึเปล่า” ข้าพเจ้าติง เธอหัวเราะคิกคักอย่างขบขับ

       “เค้าเป็นแมงดาชนิดหนูเป็นฝ่ายไถเค้านะคะพี่ใหญ่ ไม่ใช่เค้าไถหนู เค้าบอกว่า นอกจากหลงรักหนูแล้ว ยังสงสารด้วยที่ถูกต้มตุ่นและเตือนหนูว่า พวกที่มันสมคบกันต้มหนูมันจะไม่เลิกรา พอหนูมีเงินขึ้นมา มันจะหาทางรีดไถเอาอีก จะโดยอุบายอะไรมันเอาทั้งนั้น ถ้าต้มไม่ได้ ขู่เข็ญ กรรโชก ทําร้ายร่างกายมันเอาทั้งนั้น ทุกรูปแบบเพราะมันมีพวกคอยติดตามดูพวกผู้หญิงอาชีพอย่างหนูที่โรงแรมที่หนูทํางานอยู่ ทุกคนมันรู้หมดว่าใครมีรายได้ดี ไม่ดีเท่าไหร่ยังไง ตั้งแต่หนูทําศัลยกรรมสวยงามมานี่ มันรู้รายได้ของหนูหมดเลย มันจึงวางอุบายต้มหนูอย่างแยบคาย แบะเค้าสงสารหนูมาก แต่ก็ไม่มีปัญญาสู้รบตบมืออะไรกับพวกแก๊งนี้ แต่ถ้าหนูยอมรับแบะเป็นแฟน พวกมันจะยอมเว้นหนูซักรายหนึ่งเพื่อเห็นแก่แบะ”

    เธอเล่าความจําเป็น สีหน้าเปลี่ยนจากอาการขบขันเป็นเคร่งขรึมกังวล ข้าพเจ้าเข้าใจความจําเป็นของเธอขึ้นมาทันที ถามถึงความเป็นอยู่ต่อไป

   “แบะเค้าห้ามหนูทําอาชีพนี้รึเปล่า”

   “ไม่เชิงห้ามหรอกค่ะ พูดแต่ว่า เค้ารักหนูมาก ก็เลยรู้สึกหวง ไม่อยากให้มีอาชีพแบบนี้ อยากจะมีเงินก้อนใหญ่เปิดร้านให้หนูขายอาหารร่วมกันตั้งตัวซะที แต่อาชีพอย่างเค้า มันไม่มีอะไรแน่นอนคุมบ่อนด้วย เล่นไปด้วย บางคืนร่ำรวยเป็นแสน วันสองวันก็จนเป็นแสนอีกเหมือนกัน

   ฟังเธอพูดแล้ว ข้าพเจ้าต้องถอนหายใจเฮือกใหญ่ หนักใจแทนเสียจริง แม้จะมองเห็นอยู่ชัดๆ ว่าการคบกับนักเลงมีแต่เรื่องเสียหายขาดทุน แต่ถ้าพวกเขามีเวรต้องทวงหนี้ใช้หนี้กันแล้ว อํานาจกรรมนั้นย่อมทําให้เห็นผิดเป็นถูก เห็นชั่วเป็นดี หลงคบหาสมาคมกันจนได้

    คนชื่อแบะ เพราะมีแผลเป็นบนศีรษะ เคยถูกตีจนหัวแบะมา ทวงหนี้สตรีที่ข้าพเจ้าเล่าถึงอยู่ ข้าพเจ้ามองเห็น แต่เธอผู้นั้นมองไม่เห็น กลับเห็นว่าเป็นคนมาค้ำจุน อุปการะช่วยเหลือ แม้นายแบะเองก็ไม่คิดล่อลวง  รีดไถ หลงใหลรักใคร่ด้วยความจริงใจก็ตาม แต่เรื่องราวความจำเป็นของเขาทําให้ต้องเบียดเบียนอีกฝ่ายหนึ่งโดยไม่เจตนาอยู่ร่ำไป

    แต่แล้วเธอผู้นี้ก็ไม่สามารถเก็บเงินเป็นก้อนเป็นกําได้อีก กระทั่งลงทุนเดินทางไปประกอบอาชีพอย่างเดียวกันถึงในประเทศญี่ปุ่นเกือบปี ได้เงินมาเป็นแสนๆ ก็ต้องมาหมดสิ้นลงเพราะเรื่องของคนในครอบครัว มีอุบัติเหตุบ้าง ป่วยบ้าง ถูกนายแบะยืมเพราะเสียการพนันบ้าง

      ในที่สุด นายแบะถูกเจ้านายของตนเองให้ลูกน้องอีกคนหนึ่งมาแทงตายถึงในบ่อน เนื่องจากรู้ความลับต่างๆ ของเจ้านายมากเกินไป และคิดลาออกไปประกอบอาชีพสุจริตอื่นเพื่อเลี้ยงดูเธอ ผู้เป็นภรรยาของเขา เพราะถ้ายังมีอาชีพเดิมทั้งคู่จะไม่สามารถตั้งตัวได้ไปชั่วชีวิต

          หนูลีเศร้าโศกอยู่อีกพักใหญ่ เพราะนายแบะอยู่กับเธอหลายปี ข้าพเจ้าเตือนให้เธอนึกถึงลูกๆ ว่า

    “พี่เห็นใจหนูมากนะ พอเจอคนดีรักหนูจริงขึ้นมา ทั้งยังรักลูกของหนูจริงด้วย ก็มามีอันพลัดพรากจากกัน ความจริงพี่ว่าหนูมีเวรต้องใช้หนี้แบะเค้า อาจจะเคยคดโกงเค้ามาตั้งแต่ชาติก่อนๆ ก็ได้ เค้าจึงมาทวงหนี้หนูโดยไม่ตั้งใจให้เราต้องทํามาหากินช่วยเหลือเค้าตลอดมา พอเค้าเกิดอยากจะช่วยเหลือหนูบ้าง หนี้เวรนั้นก็หมดลงพอดี เลยต้องมีอันเป็นไป  เค้ามาทวงหนี้เท่านั้น อย่าคิดอะไรมากเลยนะ ตั้งใจเลี้ยงลูกให้ดีเถอะ”

    ข้าพเจ้าไม่เห็นเธออีก ๒-๓ ปี เพราะต้องเข้ามาอยู่ในกรุงเทพฯ เพื่อทำงานเกี่ยวกับการเผยแผ่ธรรมะ ทราบข่าวเธอแต่เพียงว่า ยังหลงเรื่องการพนันหวยใต้ดินอยู่ไม่เลิก เห็นกันอีกครั้งก็ต้องตกใจ ใบหน้าที่เคยฉีดสารบางอย่างเข้าไปทําให้ดูเต่งตึงกลับเหี่ยวย่นลงไปกองอยู่บริเวณคางดูน่าเกลียด ข้าพเจ้านึกในใจว่า

    อื้อฮือ ช่างเหมือนคางเจ้าหมาบลูด็อก หรือคางเจ้าบ็อกเซอร์เลย ส่วนปากก็ถามว่า

   “ตอนนี้ หนูอายุเท่าไหร่แล้ว”

   พอเธอตอบว่า สามสิบเศษ (ข้าพเจ้าจําไม่ได้ว่าเศษเท่าไร) ก็เตือนเธอว่า

     “อาชีพของหนูมันเกี่ยวกับอายุด้วยนะจ๊ะ อายุมากรูปร่างหน้าตามันมีแต่เสื่อมลงทุกที ตอนนี้ยังพอหาได้อยู่ ต้องเก็บไว้ใช้ยามที่เราทำมาหากินไม่ได้ด้วย”

    “พี่ใหญ่จะพูดว่าตอนนี้หนูโทรมมากใช่ไหมคะ หนูรู้คะ เพราะตอนนี้หนูหาแขกสู้พวกเอ๊าะๆ มันไม่ได้ เดี๋ยวกลับไปนี่ ต้องไปทําผ่าตัดใหม่ อีกหนแล้วค่ะพี่”

      ลูกชายข้าพเจ้าได้พบเธออีกครั้งในปี ๒๕๓๒ นี่เอง เขาบอกว่า

   “แม่ครับ น้าลีเค้าสวยยังกะสาวรุ่นๆ อีกแล้ว เค้าบอกว่าไปทำหน้ามาใหม่ แก้มไม่เหี่ยวย่นลงไปกองที่คางเหมือนตอนแม่เห็นครั้งสุดท้ายแล้วครับ”

     ข้าพเจ้าตอบลูกไปว่า

     “น้าลีเค้าประมาทในวัยและชีวิตเหลือเกินแล้วลูก คนสติปัญญาอย่างเค้า อาชีพอย่างเค้า แม่พูดความจริงยังไงเค้าก็มองไม่เห็นหรือเห็นเค้าก็ไม่ยอมรับ ต้องแสวงหาวิธีการต่างๆ มากลบเกลื่อนแก้ไข จริงอยู่ ศัลยแพทย์เค้าสามารถกรีดผิวหนังเย็บเก็บใบหน้าย่นๆ เหี่ยวๆ ให้ตึงได้ก็จริง แต่จะทําได้กี่ครั้งกันเชียว เพราะทําแล้วมันก็เหี่ยวอีกทุกครั้งไป มันก็จะมีวันหนึ่งที่ใบหน้าหมดสภาพ ทําอีกไม่ได้แล้วเวลานั้นแหละจะต้องเสียใจเจ็บปวดยิ่งกว่าผู้คนที่เข้าใจความจริงของธรรมชาติแล้วยอมรับมันเสียแต่ต้น คนประเภทนี้แหละจะใช้ชีวิตอย่างไม่ประมาทมาก เหมือนพวกหลงแต่งรูปอย่างน้าลี”

    ตอบลูกแล้วข้าพเจ้าก็นึกไปถึงเหตุการณ์ในสมัยพุทธกาลที่เคยอ่านพบ เวลานั้นพระอานนท์บีบนวดพระวรกายของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วกล่าวปรารภต่อพระองค์ว่า ทําไมจึงเป็นอย่างนี้ พระฉวีไม่ผุดผ่องเหมือนเมื่อก่อน  พระสรีระหย่อนย่นเป็นเกลียว  พระกายค้อมไปข้างหน้า พระจักษุ พระโสตะ พระฆานะ พระชิวหา พระกายปรากฏว่าแปรปรวนไปหมด

      พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า ดูก่อนอานนท์ที่เธอกล่าวนั้นถูกต้องแล้ว ความชราก็มีอยู่ในความเป็นหนุ่มสาวนั่นแหละ ความเจ็บไข้ก็มีอยู่ในความแข็งแรง ความตายก็มีอยู่ในความมีชีวิต ถึงแม้ท่านจะติเตียนความแก่ที่เลวทราม ที่ทําให้ผิวพรรณทรามไป ความแก่ก็ยังคงย่ำยีรูปที่น่าพึงใจอยู่นั่นเอง แม้จะมีชีวิตอยู่กันได้ถึงร้อยปีก็ต้องพบความตายในที่สุด ความตายไม่ยอมละเว้นอะไรๆ ย่ำยีทุกอย่างหมดทีเดียว

      ข้าพเจ้านําเรื่องตอนนี้มาเล่าไว้ เพื่อยืนยันว่าแม้เป็นถึงสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระวรกายยังต้องตกอยู่ในความแก่ ความตาย ก็คนธรรมดามีแต่บาปอย่างพวกเรา จะแก้ไขความแก่ ความตายสําเร็จได้อย่างไร ปกปิดได้บ้างก็เพียงชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น ทําตลอดไปไม่ได้

      ต่อจากนั้นข้าพเจ้ายังพูดสอนเตือนสติลูก เรื่องการประกอบอาชีพ ไม่ควรทําอาชีพที่เป็นบาป เช่น ทําทุจริตทางกาย ๓ อย่าง ทางวาจา ๔ อย่าง (ฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม พูดปด พูดส่อเสียด พูดคำหยาบคาย พูดเพ้อเจ้อ)

     “อย่างน้าลีนี่นะลูก เค้ามีอาชีพทําผิดทางกาม ยังต้องผสมด้วยเรื่องพูดโกหก เพราะต้องพูดจาหลอกลวงให้แขกหลงใหล ไม่รักบอกว่ารัก ออดอ้อนต่างๆ อันเป็นเรื่องพูดเพ้อเจ้อ แถมท้ายด้วยยั่วยวนให้ผู้ชายหลงใหลในกามคุณ เป็นอาชีพที่เป็นบาป ได้เงินมา เงินนั้นก็มีกระแสบาปแฝงอยู่ ทําให้เกิดความวิบัติได้ง่ายๆ ได้เงินมาก แต่ต้องพบความวิบัติ  สู้อาชีพสุจริตที่มีรายได้น้อยแต่อยู่ยั่งยืนดีกว่านะลูก

      “ผมเห็นเค้าเคารพและเชื่อฟังแม่ดีออกนะครับ แม่พูดให้เลิกอาชีพนี้ไม่ได้เลยรึครับ” ลูกชายถามข้าพเจ้า

      “คงยากจ้ะลูก อาชีพของเค้าทําให้ไม่มีเวลาสร้างปัญญาเลย เย็นเข้าไปโรงแรมตั้งหน้าแต่หาแขก ได้แล้วก็ไปเสพกามด้วยกัน ใช้เวลาตอนกลางคืนให้หมดไปด้วยเรื่องเพศจนเต็มที่ กลับที่พักในตอนเช้า เหน็ด-หนื่อยอ่อนเพลียสิ้นเรี่ยวแรง ก็นอนไปทั้งวัน ตื่นตอนเย็นรีบเข้าร้านเสริมสวย แต่งหน้า แต่งผม แต่งผิว หิวเงิน หากามวนเวียนกันไปไม่จบสิ้น ใจของเค้าแช่อิ่มอยู่แต่เรื่องเหล่านี้ ไม่เปิดรับความคิดและสติปัญญาที่ถูกที่ควรอย่างอื่นหรอก อีกอย่างนะลูก ภาพของธนบัตรเป็นปึกๆ สีม่วง สีแดง ยั่วย้อมใจให้หลงใหลไม่จบสิ้น วันนี้ได้สีม่วง ๔ ใบ วันต่อๆ ไป หวังว่าจะได้มากขึ้นเป็น ๖ ใบ ๑๐ ใบ เรื่อยไป ในสมองเค้าจึงมีแต่เรื่องกลมายาต่างๆ ที่จะใช้หว่านล้อมขอความเห็นใจจากแขกที่มาเที่ยว เรื่องโกหกเพ้อเจ้อจึงกลายเป็นงานประจําคู่กันกับงานค้ากาม” ข้าพเจ้าตอบลูกตามเหตุการณ์ที่เคยได้รับคําบอกเล่า

     วันหนึ่ง ข้าพเจ้าไปพบลี

   “เอ้อ ลีนี่มีนาฬิกาผู้ชายด้วย หัวเข็มขัดผู้ชายที่เป็นทองคำ แหวนผู้ชายด้วย ราคาแพงลิ่วเลยเนี่ย โอ้โฮ นาฬิกานี่พี่ว่ามันเป็นหมื่นเลยนะยี่ห้อนี้น่ะ” ข้าพเจ้าทักขึ้นเมื่อเห็นเธอรื้อกระเป๋าถือครั้งหนึ่งเมื่อกลับไปเยี่ยมบ้าน

   “หนูไปซื้อของพวกนี้มาทําไมกัน จะให้ใครใช้”

    อีกฝ่ายหัวเราะร่วน ลงลูกคอคิกคักอย่างชอบใจในคำถามเชยๆ ของข้าพเจ้า

   “ม่าย ช่าย ค่า เธอตอบยานคาง

          “หนูทําบทโศก ออดอ้อนเจ้าซาอุขาประจําคนที่พี่เคยเห็นที่ประตูน้ำจําได้มั้ยคะ มันเคยมาเที่ยวบ้านเราด้วยไง เคยเห็นพ่อแม่แล้วก็ลูกสองคนของหนูด้วย หนูก็ว่าแม่ไม่สบายมาก ลูกไม่มีค่าเล่าเรียนร้องห่มร้องไห้ไปตามเรื่อง ตอนคืนสุดท้ายที่มันจะกลับประเทศมันน่ะค่ะ มันสงสารหนู แต่เงินก็หมดเพราะมาคราวนี้เราพากันเที่ยวทั่วเมืองไทยเลย ไปเชียงใหม่ สงขลา ภูเก็ต เงินสดหมดตัว ก่อนขึ้นเครื่องบินมันจึงถอดของพวกนี้ให้หนู ยังบอกอีกว่ากลับถึงบ้านมันแล้วจะส่งมาให้อีก พี่ใหญ่เห็นมั้ย น้ำตาหนูราคาแพงนะคะเนี่ย

    ข้าพเจ้าอึ้ง พูดตอบอะไรไม่ออก เธอกลายเป็นนักแสดงที่ตีบทแตกชนิดไม่น้อยหน้าดาราภาพยนตร์ ในใจก็ได้แต่คิดต่อไปว่าก็เงินที่ได้มามันไม่บริสุทธิ์ยังงี้นี่ มุสาวาทหลอกเอาของเค้ามา สมบัติมันก็เลยกลายเป็นวิบัติได้ง่ายๆ

    นับเวลาที่ข้าพเจ้าสนใจหลักธรรมของศาสนามาจนขณะนี้ ๓๐ ปีเต็ม น้อยกว่าอายุของลีเพียงไม่กี่ปี ตลอดเวลาเหล่านี้ข้าพเจ้าพบเห็นเธอมาตลอด เพราะบ้านของเธออยู่ติดบ้านบิดาของข้าพเจ้าในชนบท แต่ข้าพเจ้าไม่สามารถใช้ข้อธรรมใดๆ สอนใจเธอได้เลย พิจารณาแล้ว ใคร่ครวญถี่ถ้วนแล้ว บางทีบางโอกาสก็พูดสอนไปแล้ว แต่เธอก็รับฟัง ไม่รู้เรื่องจริงๆ เหมือนพูดกันคนละภาษา และเมื่อสังเกตดูให้ดี เหล่าหญิงชายหมกมุ่นในเรื่องทางเพศเหล่านี้จะเป็นเหมือนกันหมด คือ ไม่มีสติปัญญาพอในการรับฟังข้อคิดทางธรรมแต่อย่างใด เว้นแต่บางคนที่พอมีบุญเก่าบ้างจึงจะได้ผล

     ตัวอย่างที่ข้าพเจ้าได้พบที่เล่าให้ท่านฟังอยู่นี้ ทําให้ข้าพเจ้าพลอยเข้าใจถึงคําสอนในศาสนาของเราที่ว่า คนที่เป็นกะเทย หรือมีความรู้สึกลักเพศ คือเพศจริงเป็นอย่างหนึ่ง แต่ความรู้สึกอยากเป็นอีกเพศหนึ่งเป็น อาภัพพสัตว์ ศึกษาปฏิบัติธรรมไม่เป็นผล เพราะจิตใจเขาย่อมเป็นกังวลอยู่แต่เรื่องกาม เรื่องเพศยุ่งอยู่อย่างนี้ จะมีปัญญาคิดถึงเรื่องธรรมะได้อย่างไร เขาย่อมหมดเวลาไปกับเรื่องตกแต่งร่างกายให้เป็นอย่างเพศที่เขาต้องการ

     คนใดหลงรูป ทั้งรูปร่างกาย และรูปที่เป็นวัตถุสมบัติ ก็ต้องจากธรรมไปโดยปริยายดังนี้เอง


 
 
 
 
 
Cr. อุบาสิกาถวิล(บุญทรง) วัติรางกูล
จากความทรงจำ เล่ม 3
 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล Total Execution Time: 0.03247633377711 Mins