เรื่องใช่ผีรึปล่าว?
เมื่อข้าพเจ้าอายุราวๆ ๗-๘ ขวบนั้น เป็นเวลาที่มีชีวิตอบอุ่นมาก เพราะอยู่กับพ่อแม่ พอ ๘ ขวบไปแล้วต้องออกจากบ้าน ต้องระหกระเหินไปอาศัยบ้านคนอื่นๆ อยู่เพื่อเรียนหนังสือ ตอนนั้น ข้าพเจ้าเริ่มมีร่างกายเติบโต เรียกกันว่าเป็นคนเจ้าเนื้อ น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นมาก พ่อเคยอุ้มได้ สบายเวลาไปนอนหลับผิดที่อยู่ตรงไหนก็เริ่มอุ้มไม่ไหว ท่านจึงมักไล่ให้ข้าพเจ้าไปนอนในเรือน ก่อนท่านทุกคืน
ส่วนพ่อกับแม่ก็จะนั่งคุยกันเองบ้าง คุยกับชาวบ้านที่เขามีธุระมาปรึกษาบ้าง กว่าท่านจะเข้านอนกันก็เป็นเวลาดึกมาก คำว่าในเรือน คือห้องใหญ่ๆ เรียกว่าเรือนทั้งหลังแต่อยู่หลังในและมีฝามีประตู บ้านของข้าพเจ้าเป็นเรือนไทย ๒ หลังแฝด (ขณะนี้อยู่ในเขตสังฆาวาสของวัดพระธรรมกาย พ่อกับแม่ได้เต็มใจถวายตั้งแต่เริ่มสร้างวัด)
เมื่อต้องถูกไล่ให้ไปนอนคนเดียวโดยไม่มีเพื่อนและก็ยังไม่ง่วงนอน มองออกไปทางไหนก็มีแต่ความมืด สมัยนั้นในชนบทแถวบ้านข้าพเจ้าไม่มียุง จึงนอนกันโดยไม่ต้องกางมุ้ง ทำให้มองเห็นความมืดในห้องกว้างออก ไปอย่างไม่มีขอบเขต นอนคนเดียวนึกไปนึกมาไม่รู้จะนึกถึงอะไร เห็นแต่ ความมืดก็นึกได้แต่เรื่องกลัวผี กลัวมากเข้าก็เอาผ้าห่มคลุมโปงเสียพอได้หายกลัว แต่คืนไหนอากาศร้อนจัด การนอนคลุมโปงก็ทารุณมาก เหงื่อไหลออกจากตัวนองเป็นน้ำ เวลาร้อนจัดชาวชนบทชอบนอนที่พื้นกระดาน
เมื่อนอนคลุมโปงไม่ไหวก็ต้องเอาผ้าห่มออกเอามือปิดตานอน ปิดตานาน เข้าก็เมื่อย ผลที่สุดเหลืออดเหลือทนจริงๆ ข้าพเจ้าจึงลืมตาขึ้น กลัวมากเข้าก็กลายเป็นความกล้า ลืมตาโพลง ในใจก็นึกขึ้นมาว่า "ผีก็ผีเถอะ ทรมานนักลองดูกันซักที อยากหลอกก็มาหลอกเลย หน้าตาเป็นอย่างไรจะได้เห็นกัน ฉันไม่กลัวแกแล้ว"
คิดกล้าหาญดุเดือดขึ้นมาดังนี้แล้ว ข้าพเจ้าก็ลืมตานอนจ้องเพดานตาเป๋งทีเดียว นอนมองนิ่งอยู่เป็นครู่ใหญ่ ไม่รู้ว่าเวลาหมดไปนานเพียงใด มีความรู้สึกว่าเห็นอะไรบางอย่างบนหลังคา "ผีมารึไง แสดงตัวให้เห็นชัดๆ ซี ฉันไม่กลัวแล้วนะ" ส่งเสียงร้องท้าอยู่ในใจ จ้องอยู่อย่างนั้นนิ่งไปอีกครู่ใหญ่
ความมืดของหลังคาไม่รู้หายไปไหน ก็ไม่ใช่เห็นแสงสว่าง แต่กลับเห็นของใสๆเต็มไปหมด หลังคาหายไปไหนไม่รู้ ของใสๆ นั้นเป็นก้อนกลมๆ เล็กบ้าง ใหญ่บ้าง บางลูกก็ลอยมาเดี่ยวๆ บางลูกก็ลอยติดกันมาเป็นแพ บางทีก็ลอยกันเป็นพวงเป็นกลุ่ม มากมายนับไม่ไหว ลอยผ่านไปผ่านมา ไม่มีที่สิ้นสุด
"ผีหรือนี่ รูปร่างไม่เห็นมีอะไร แขนขาหน้าตาไม่มีซักอย่าง อย่างนี้ก็หลอกเราไม่ได้น่ะซี จะแลบลิ้นแหกอกหลอกอย่างที่พวกผู้ใหญ่ เขาเล่ากันก็ไม่ได้ซี" ข้าพเจ้านึกต่อว่าอย่างนั้น ขณะเดียวกันก็ชอบมองสิ่งที่ลอยผ่านไปบนหลังคา รู้สึกว่า ขณะที่กำลังมองดูนั้น จิตใจเป็นสุขอย่างประหลาด เหมือนได้พบเห็นของเล่นที่รักมากและหายจากกันไปนานเพิ่งหาพบ
มองเบื่อเข้าก็คิดจะเล่นด้วย จึงพูดกับสิ่งนั้นเพราะเข้าใจว่าเป็นผี "เอ้านี่ ลอยลงมาหาใกล้ๆ หน่อยซี อยากดูให้เห็นชัดๆ น่ะ" พอพูดสั่งเบาๆ ของเหล่านั้นก็ลอยต่ำๆ ขณะที่สิ่งนี้กำลังเลื่อนตัวลงมาใกล้นั้น ครั้งแรกข้าพเจ้ารู้สึกกลัวขึ้นมา ที่เห็นของนั้นทำตามที่ตนเองสั่ง เกรงว่าถ้าเขาเกิดพากันหล่นโครมลงมาบนตัว ข้าพเจ้าคงจะ
หนักแย่เพราะมีจำนวนมากมายไม่จบสิ้น เราคงอึดอัดหายใจไม่ออกแน่..
นึกถึงเวลาไปวิ่งเล่นกับเพื่อนแล้วถูกกองทรายถล่มทับ มันมีน้ำหนักมากทำให้เจ็บตัว แต่แล้วกลับเป็นเรื่องตรงข้าม ของสิ่งนั้นยิ่งลอยต่ำลงมาเท่าไร หัวใจของข้าพเจ้ายิ่งดูเหมือนของฟูได้ มันพองโตขึ้นอย่างประหลาด ร่างกายที่นอนหงายยาวเหยียดอยู่ก็กลับค่อยเบาขึ้นๆ เหมือนตนเองไม่มีน้ำหนัก เมื่อของพวกนั้นลอยต่ำแทบถึงตัว ข้าพเจ้าก็หมดความกลัวรู้สึกรักและพอใจมาก จึงบอกเขาว่า
"เอ้าลอยระไปตามตัวฉันเลย อาบตัวไปเลย" ที่ข้าพเจ้าพูดว่าอาบตัว เพราะเมื่อสิ่งนั้นมาใกล้ ข้าพเจ้ามี
ความรู้สึกว่าเป็นของใสโปร่งบางเบา นิ่มนวลสามารถละลายหายไปในตัวข้าพเจ้าได้ อ่อนเบาเสียยิ่งกว่าฟอง บู่เสียอีก ใจก็สบายเบิกบาน เมื่อสิ่งนั้นลอยอาบร่างของข้าพเจ้าไปจำนวนแล้วจำนวนเล่า ประมาณไม่ได้ว่ามากมายเพียงใด ข้าพเจ้าก็รู้สึกว่าตนเองเบาขึ้นทุกทีๆ
จนลอยขึ้นไปกับสิ่งนั้นได้ ข้าพเจ้าจึงขอเล่นด้วย โดยนึกลอยตามขึ้นไปลอยขึ้นลอยลงเหมือนเราเป็นของอย่างเดียวกัน เล่นเพลินอยู่ดังนี้ ไม่มีความง่วงใดๆ เหลืออยู่ คิดในใจว่าให้เล่นกับสิ่งเหล่านี้ไม่ต้องนอนเลยทั้ง
คืนก็ทำได้ เพราะดูเหมือนร่างกายมีกำลังมากเหลือเกิน ในเวลานั้นให้คิดจะยกภูเขาทั้งลูกก็คิดว่าทำได้
ครั้นเวลาล่วงไป รู้ว่าใกล้ถึงเวลาที่พ่อแม่จะเข้านอน เพราะแขกออกปากลากลับแล้ว ถ้าท่านทั้งสองมาเห็นยังไม่หลับ ท่านจะดุและตนเองก็ไม่อยากเล่าเรื่องผีที่เห็นให้ท่านฟัง เดี๋ยวจะโดนหมอผีเอาหวายมาตีเหมือนคนใกล้บ้านที่เขาเชื่อกันว่าผีสิงอยู่ในตัว ถูกตีเสียเป็นแนวไปหมด ข้าพเจ้ากลัวจึงบอกว่า
"ผี ผี กลับไปก่อนนะ วันนี้จะนอนแล้ว ขอหลับก่อน พรุ่งนี้ค่อย มาเล่นกันใหม่" พร้อมกันนั้นข้าพเจ้าก็หลับตาลง ภาพผีพวกนั้นก็หายไป ข้าพเจ้าหลับเป็นสุขไปตลอดรุ่ง กลางวันไปโรงเรียน อดถามเพื่อนไม่ได้ ถามคนโน้นคนนี้ว่า "นี่เธอ เวลากลางคืนเคยเข้านอนคนเดียวมั่งรึเปล่า ตอนพ่อแม่ ยังไม่นอนน่ะ"
คนโน้นคนนี้ก็ตอบรับ ล้วนแต่นอนคนเดียวเหมือนกันทั้งนั้น ข้าพเจ้าค่อยกระซิบถามเบาๆ ว่า "เคยมองบนหลังคา เห็นอะไรมั่งมั้ย" ทุกคนตอบว่า "มองทำไมเดี๋ยวก็เห็นผีน่ะซี เราก็รีบหลับตาปี๋ ประเดี๋ยวก็เลยหลับไปเลย ไม่เห็นมีอะไร" ข้าพเจ้าฟังแล้วก็ไม่กล้าเล่าเรื่องผีที่ตนพบให้เพื่อนฟังกลัวเพื่อน กลัวด้วย กลัวเพื่อนไปบอกพ่อแม่ของข้าพเจ้าด้วย ประเดี๋ยวจะถูกหมอผีตีด้วยหวาย จึงได้อุบเงียบไว้ไม่บอกเล่าให้ผู้ใดรู้ นึกในใจว่า
"ผีก็ผีเถอะ น่ารักน่าเล่นยังงี้ เอาไว้เล่นด้วยกันทุกคืนก็แล้วกัน"
จากนั้นข้าพเจ้าก็เล่นกับผีที่ว่านี้ทุกคืนนับเวลาเป็นปี จนกระทั่งต้องเดินทางออกจากบ้านไปเรียนชั้นมัธยมต่อที่ในตัวเมือง ไปอาศัยบ้านญาติอยู่ กลางคืนต้องนอนในมุ้งเดียวกับลูกสาวเจ้าของบ้าน ถูกชวนคุยด้วยเรื่องสัพเพเหระทุกคืนๆ จนหลับไป จึงไม่เห็นผีที่รักอีก ประกอบกับข้าพเจ้าคิดว่า ผีนั้นคงจะอยู่ที่บ้านข้าพเจ้า คงมิได้ตามมา จึงลืมเขาไปเสีย
จากนั้นจนเติบโตเรื่อยมา ข้าพเจ้ามิได้เห็นผีชนิดนี้อีก เห็นแต่ชนิดอื่นๆ ฟังจากใครๆ ที่ถูกผีหลอก ก็ไม่มีใครเห็นอย่างที่เล่าไว้ ปิดเทอม ครั้งใดได้กลับไปพักที่บ้านก็ไม่เคยเห็นอีก อย่างไรก็ตาม ไม่เคยลืมความสุขใจที่ดูเหมือนหัวใจพองโต ตัวเบายิ่งกว่าปุยเมฆ และลอยเล่นกับผีได้ในครั้งนั้นเลย
จนกระทั่งล่วงเข้าวัยกลางคน มีเหตุการณ์ต่างๆ บีบบังคับให้หันมาสนใจลงมือปฏิบัติธรรม เมื่อปฏิบัติถึงขั้นที่เรียกว่า ปฏิภาคนิมิต จึงได้พบความใสสว่าง โปร่งเบาของนิมิตดังกล่าว เป็นสิ่งเดียวกันจริงๆ เพียงแต่นิมิตในการเจริญภาวนานี้เป็นของไม่มีขอบเขตมีปริมาณที่คำนวณไม่ได้ นึกให้กว้างใหญ่ไพศาลเท่าใดก็ได้ นึกให้ย่อส่วนเล็กลงก็ได้ มิใช่เป็นก้อนเล็กบ้างใหญ่บ้างดังที่เห็นในครั้งกระโน้น เหมือนเราเห็นขนมถ้วยกับขนมตะโก้ในถาด แท้ที่จริงเนื้อขนมก็เป็นอย่างเดียวกันต่างกันแต่รูปร่างสิ่งที่ข้าพเจ้าเคยเห็นในวัยเด็ก กับที่เห็นในวัยกลางคนนี้เป็นของอย่างเดียวกันมิผิดเพี้ยน
หลงเข้าใจว่าเป็นเรื่องผีไปได้ ที่แท้เป็นผลจากการที่ใจหยุด นึกคิดจากเรื่องต่างๆ สงบอยู่ในอารมณ์เดียว นิมิตในสมาธิจึงเกิดขึ้น เวลานั้นเมื่อใจรู้สึกกลัวผี ใจจะหวั่นไหวไม่สงบ จึงมองไม่เห็นสิ่งใด ครั้น
ใจเลิกกลัว ใจก็เป็นอุเบกขา เป็นอารมณ์ของการเจริญภาวนาได้อย่างดี จึงเกิดปรากฏการณ์ดังที่เล่ามา
แต่เนื่องจากเรื่องอย่างนี้ไม่ใคร่เกิดกับคนโดยทั่วไป ข้าพเจ้า จึงนำมาคิดใคร่ครวญว่า เด็ก ๗ ขวบที่จะสามารถเห็นได้เอง คงจะมิใช่เพิ่งทำได้ในชาตินี้เท่านั้น คงจะต้องเคยมีปุพเพกตปุญญตา หรือบุญเก่า แต่
ปางก่อนเคยอบรมไว้กระมัง ข้าพเจ้าเชื่อเช่นนั้น
การจะฟังธรรมก็ตาม ลงมือปฏิบัติธรรมก็ตาม มิใช่เรื่องที่จะทำกันขึ้นมาได้ง่ายๆ ต้องเคยมีบุญสะสมมาก่อนจริงๆ มีอยู่ครั้งหนึ่งได้อ่านพบในพระไตรปิฎกเล่าไว้ว่า ครั้งนั้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรายังทรงดำรงพระชนม์ชีพอยู่ ทรงแสดงพระธรรมเทศนาแก่อุบาสก ๕ คน
คนหนึ่งนอนหลับ
คนที่สองนั่งเขย่าต้นไม้
คนที่สามเอานิ้วมือขีดเขียนแผ่นดิน
คนที่สี่แหงนหน้ามองดูแต่ดวงดาวนักษัตรในอากาศ
คนที่ห้าตั้งใจ ดับพระธรรมเทศนา
เมื่อทรงแสดงธรรมจบลงแล้ว มีผู้ฟังรู้เรื่องและสามารถบรรลุเป็นพระโสดาบันเพียงคนเดียวคือคนสุดท้าย พระอานนท์แสดงความสงสัย พระพุทธองค์จึงทรงชี้แจงว่า การฟังธรรมนั้น มิใช่ทำได้ง่ายต้องเคยสร้างอุปนิสัย
วาสนาบารมีไว้ในชาติปางก่อนมิใช่น้อย จึงจะสามารถเข้าใจและบรรลุได้ คนฟังธรรมครั้งนั้น
คนที่หนึ่งเคยเกิดเป็นงูเหลือมมาแล้วถึง ๕๐๐ ชาติ คุ้นเคยต่อการกินแล้วก็นอนหลับไปนานๆ เป็นประจำ
ชาตินี้แม้เกิดเป็นคนก็ยังมีนิสัยเก่าที่คุ้นเคยติดมา
คนที่สองเคยเกิดเป็นลิง
คนที่สามเคยเกิดเป็นไส้เดือนคุ้นต่อการมุดแผ่นดิน
คนที่สี่เคยเกิดเป็นหมอดู คุ้นอยู่กับการดูฤกษ์จากดวงดาว
ส่วนคนที่ห้าเคยเกิดเป็นพราหมณ์ ชำนาญการสาธยายมนต์
เวลาฟังธรรมจึงคิดเปรียบเทียบ คำตรัสอนนั้นกับเนื้อความในมนต์ของตนจึงสามารถทำความเข้าใจได้
แจ่มแจ้งจนบรรลุเป็นพระอริยบุคคล ผีเรื่องนี้ที่เอามาเล่า ต้องการเล่าถึง ปุพเพกตปุญญตา คือ บุญที่เราได้เคยสะสมอบรมไว้ในชาติปางก่อน
ว่าเป็นสิ่งที่เป็นมิตรเป็น เพื่อนที่ดีคือเป็นกัลยาณมิตร มีอุปการะในการสร้างบารมีของเรามาก แม้ชาตินี้เรายังมิได้สำเร็จคุณธรรมเบื้องสูงอย่างใด ก็น่าจะบำเพ็ญทานรักษาศีล เจริญภาวนาไว้เผื่อใช้ชาติหน้ากันบ้าง ท่านเห็นด้วยกับข้าพเจ้าหรือเปล่า
จากหนังสือ จากความทรงจำเล่ม1
อุบาสิกาถวิล วัติรางกูล
*ชื่อเรื่องเดิม ผีบนหลังคา