สถานที่ตั้งมโนปณิธานบวชตลอดชีวิต คลองลัดบางนางเเท่น
เมื่อวันศุกร์ ที่ 25 ธันวาคม พ.ศ.2558 คณะศิษยานุศิษย์ได้พร้อมใจกันประกอบพิธีสถาปนามหาวิหารพระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) อนุสรณ์สถานที่ตั้งมโนปณิธานบวชตลอดชีวิต ณ คลองลัดบางนางแท่น ตำบลหอมเกร็ด อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม ณ บริเวณสถานที่แห่งนี้ คือ สถานที่ซึ่งพระเดชพระคุณหลวงปู่วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ได้ตั้งมโนปณิธานว่า "จะบวชตลอดชีวิต" โดยในขณะนั้น ท่านมีอายุ 19 ปี
"...วันหนึ่งหลังจากค้าข้าวเสร็จ เด็กหนุ่มคนนี้ (หลวงปู่) และลูกน้องนำเรือเปล่ากลับบ้าน ในคืนนั้นล่องเรือไปด้วยความยากลำบากเพราะน้ำในคลองไหลเชี่ยว แต่ก็พยายามถ่อเรือต่อไป จนมาถึงคลองเล็กชื่อว่า คลองบางอีแท่น คลองนี้เป็นคลองเปลี่ยวและมีโจรผู้ร้ายชุกชุม
ในขณะนั้นมีเรือเพียงลำเดียวเท่านั้นที่แล่นเข้าไปในคลอง เมื่อเรือแล่นเข้าไปได้เล็กน้อย ท่านก็กลัวว่าจะโดนโจรปล้นและทำร้าย ถ้าโจรปล้นจริง ๆ ท่านจะโดนทำร้ายก่อนใคร เพราะยืนอยู่ท้ายเรือ จึงเกิดความคิดขึ้นว่า
“อ้ายน้ำก็เชี่ยว อ้ายคลองก็เล็ก อ้ายโจรก็ร้ายท้ายเรือเข้าก็ไล่เลี่ยกับฝั่ง ไม่ต่ำไม่สูงกว่ากันเท่าไรนัก น่าหวาดเสียวอันตราย
เมื่อโจรมา ก็ต้องยิง หรือทำร้าย คนท้ายก่อน ถ้าเขาทำเราเสียได้ก่อน ก็ไม่มีทางที่จะสู้เขา ถ้าเราเอาอาวุธปืน 8 นัด ไว้ทางหัวเรือแล้วเราก็ไปถือเรือ ทางลูกจ้างเสีย เมื่อโจรมาทำร้าย เราก็จะมีทางสู้ได้บ้าง”
เมื่อคิดดังนั้นแล้ว จึงหยิบปืนยาวบรรจุกระสุน 8 นัดไปอยู่หัวเรือ บอกให้ลูกจ้างมาถือท้ายเรือแทน
ขณะถ่อเรือแทนลูกจ้างอยู่นั้น พลันเกิดความคิดขึ้นมาว่า “คนพวกนี้เราจ้างเขา คนหนึ่งเพียง 11-12 บาทเท่านั้น ส่วนตัวเราเป็นเจ้าของทั้งทรัพย์ทั้งเรือ หากจะโยนความตายไปให้ลูกจ้างก่อน ก็ดูจะเอาเปรียบเพื่อนมนุษย์มากเกินไป ทำอย่างนี้ไม่ถูก ไม่สมควร”
เมื่อเกิดจิตเมตตาและนึกตำหนิตัวเองเช่นนี้ ท่านจึงตัดสินใจเด็ดขาดลงไปว่า
“ทรัพย์ก็ของเรา เรือก็ของเรา เราควรตายก่อนดีกว่า ส่วนลูกจ้างนั้น เมื่อมีภัยมาถึง เขาควรจะได้ หนีเอาตัวรอด ไปทำมาหาเลี้ยงบุตรภรรยาของเขาได้อีก”
เมื่อตกลงใจเช่นนั้น จึงเรียกลูกจ้างให้มาถ่อเรือแทน ส่วนตัวเองถือปืนคู่มือกลับมานั่งถือท้ายเรือตามเดิม
เรือยังคงแล่นต่อไปเรื่อย ๆ แต่ไม่เกิดเหตุการณ์ร้ายแรงอย่างที่คิด เมื่อเรือแล่นมาใกล้จะออกจากคลอง จนเห็นปากทางออก ก็รู้ได้ว่าปลอดภัยแล้ว แต่ในใจของท่านยังคิดถึงความตายอยู่ตลอดเวลา และทันใดนั้น ธรรมสังเวชก็เกิดขึ้นในใจของท่านว่า
“การหาเงินหาทองนี้ลำบากจริง ๆ เจียวหนา บิดาของเราก็หามาดังนี้ เราก็หาซ้ำรอยบิดา ตามบิดาบ้าง เงินแลทองที่หากัน ทั้งหมดด้วยกันนี้ ต่างคนก็ต่างหา ไม่มีเวลาหยุดด้วยกันทั้งนั้น ถ้าใครไม่เร่งรีบหาให้มั่งมี ก็เป็นคนต่ำและเลว ไม่มีใครนับถือแลคบหา เข้าหมู่เขาก็อายเขา เพราะเป็นคนจนกว่าเขา ไม่เทียมหน้าเทียมบ่าเทียมไหล่กับเขา ปุรพชนต้นสกุลของเรา ก็ทำมาดังนี้เหมือน ๆ กัน จนถึงบิดาของเรา แลตัวของเรา ก็บัดนี้ปุรพชนแลบิดาของเรา ไปทางไหนหมด ก็ปรากฏแก่ใจว่า ตายหมดแล้ว แล้วตัวของเราเล่า ก็ต้องตายเหมือนกัน”
เมื่อคิดถึงความตายขึ้นมาอย่างนี้ก็เริ่มกลัว และนึกถึงความตายที่จะมาถึงตัวเองต่อไปอีกว่า
“เราต้องตายแน่ๆ บิดาเราก็มาล่องข้าว ขึ้นจากเรือข้าว ก็เจ็บมาจากตามทางแล้ว ขึ้นจากเรือข้าวไม่ได้กี่วัน ก็ถึงแก่กรรม เมื่อถึงแก่กรรมแล้ว เราที่ช่วยพยาบาลอยู่ ไม่ได้เห็นเลยที่จะเอาอะไรติดตัวไป ผ้าที่นุ่ง แลร่างกายของแก เราก็ดูแลอยู่ ไม่เห็นมีอะไรหายไป ทั้งตัวเราแลพี่น้องของเรา ที่เนื่องด้วยแก ตลอดถึงมารดาของเรา ก็อยู่ ไม่เห็นมีอะไรเลย ที่ไปด้วยแก แกไปผู้เดียวแท้ๆ ก็ตัวเราเล่า ต้องเป็นดังนี้ เคลื่อนความเป็นอย่างนี้ไป ไม่ได้แน่”
เมื่อท่านคิดอย่างนี้แล้ว ท่านก็นอนแผ่ลงไปที่ท้ายเรือ แกล้งทำเป็นตาย ลองดูว่าถ้าตายแล้วจะเป็นอย่างไร ท่านก็นอนคิดว่าตัวเองตายอย่างนั้น จนเผลอสติไปสักครู่หนึ่ง เมื่อได้สติรู้สึกตัวก็รีบลุกขึ้น จุดธูปอธิษฐานจิตว่า
“ขออย่าให้เราตายเสียก่อน ขอให้ได้บวชเสียก่อนเถิด ถ้าบวชแล้วไม่สึกตลอดชีวิต”
จากเหตุการณ์ในวันนั้นของหลวงปู่ ทำให้หลวงปู่ท่านคิดออกบวชตลอดชีวิตเพราะประสบต่อมรณภัย แม้คนจำนวนมากในโลกก็ต่างต้องประสบมรณภัยทั้งสิ้นทุกคน แต่จะมีสักกี่คนที่คิดออกบวช เเละออกบวชตลอดชีวิต ..."
ขอเชิญทุกท่านร่วมงานบุญโครงการธรรมยาตรา ปีที่ 8 ดังนี้..
อาทิตย์ 5 ม.ค. 2563 16.00 น. พิธีต้อนรับพระธรรมยาตรา 1,136 รูป
จันทร์ 6-8 ม.ค. 2563 6.00น. ถวายภัตตาหาร/ 12.30น.ทอดผ้าป่า/ 14.10น.บำรุงศาสนสถาน
เสาร์ 11 ม.ค. 2563 17.00 น. พิธีจุดประทีปบูชาธรรมเเละลอยกระทงธรรม
อาทิตย์ 12 ม.ค. 2563 7.00 น. พิธีตักบาตร
อนุโมนาบุญร่วมกันครับ / ค่ะ