เรามีเวลาในแต่ละวัน เพื่ออะไร
เวลาของมนุษย์ส่วนมากจะรู้จักเวลาเดียว คือ เวลาในการทำงาน หรือเวลาอาชีพ แต่ความจริงเวลาของมนุษย์มีอยู่ ๔ เวลา พลาดไม่ได้
เวลาอันที่ ๑ คือ เวลาเพื่อกำจัดทุกข์ในสรีระ เช่น กิน นอน ตื่น ขับถ่าย รวมทั้งอาบน้ำอาบท่า เวลาของสรีระ ถ้าไม่ตรงเวลาสุขภาพพังแน่นอน
เวลาอันที่ ๒ เวลาเพื่อให้กับครอบครัว ถ้าพ่อแม่ลูกวันหนึ่งอาหาร ๓ มื้อไม่ได้กินข้าวพร้อมหน้ากันแม้แต่มื้อเดียว ไม่เกิน ๗ วันเดี๋ยวได้มีการกระทบกระทั่งกันในครอบครัวจนได้นั่นแหละ
ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าเป็นตระกูลใหญ่ ไม่มีเวลาให้ครอบครัว ไม่มีเวลาให้หมู่ญาติหรือบริหารเวลาเพื่อสังคมไม่ดีล่ะก็ เวลาเดือดร้อนวิ่งไปหาให้ลุงช่วย วิ่งไปหาให้น้าช่วย วิ่งไปหาให้ครูช่วย วิ่งไปหาพรรคพวกช่วย เขาก็ช่วย
แต่พอเขาช่วยเรียบร้อยแล้ว ไม่เคยไปรายงาน ไม่ไปขอบคุณสักคำ หรือพอเขาเดือดร้อน ไม่เคยโผล่หน้าไปดูไปช่วยเหลือเขา
เพราะฉะนั้น พอครั้งต่อไป ถ้าตัวเองเดือดร้อนแล้ววิ่งไปหาเขาอีก เขาก็คงไม่มาช่วยหรอก เพราะตัวเองล้มเหลวเรื่องเวลาเพื่อครอบครัวหรือเวลาเพื่อสังคม
เวลาอันที่ ๓ คือเวลาเพื่ออาชีพ เพื่อการทำมาหากิน อันนี้ทุกคนรู้จัก
เวลาอันที่ ๔ นี่เป็นเวลาที่ฉกาจฉกรรจ์ และวันนี้กำลังถูกลืม คือ เวลาเพื่อการปราบกิเลสปู่ย่าตายายสอนไว้ว่า ลูกก่อนนอนน่ะสวดมนต์นั่งสมาธินะ ทำไมต้องมาสวดมนต์ ทำไมต้องนั่งสมาธิ
เพราะช่วงนี้ช่วงเวลาปราบกิเลส เพราะได้สวดมนต์แล้ว ได้นั่งสมาธิแล้วถึงแม้สมาธิเราจะอยู่ในขั้นฝึกหัด แต่เมื่อใจเริ่มนิ่งและเป็นกลาง เดี๋ยวจะเห็นว่า
วันนี้ทั้งวันที่ผ่านมาตัวเองทำอะไรผิด ทำอะไรถูก มันจะโผล่ขึ้นมาเองสำหรับคนที่สวดมนต์เป็นประจำ หรือนั่งสมาธิเป็นประจำ แล้วจะได้นำมาปรับปรุแก้ไขในส่วนที่ไม่ดีของตัว หรือเพิ่มพูนสิ่งดี ๆ ของตัวเองให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป
๒ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๗
หลวงพ่อทัตตชีโว