นิวรณ์ ๕
เรียนใดฤาจักสู้ | วิชชา |
เรียนอื่นของมารา | เขานั้น |
เรียนหยุดพุทธศาสนา | พาหลุด |
พ้นจากมารบีบคั้น | กลั่นแกล้งอนันต์กาล |
ตะวันธรรม
เมื่อเราบูชาพระรัตนตรัยกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว ต่อจากนี้ไป ตั้งใจให้แน่แน่ว มุ่งตรงต่อหนทางพระนิพพานกันทุกๆ คนนะ ให้นั่งขัดสมาธิ โดยเอาขาขวาทับขาซ้าย มือขวาทับมือซ้าย ให้นิ้วชี้ของมือข้างขวาจรดนิ้วหัวแม่มือข้างซ้าย วางไว้บนหน้าตักพอสบายๆ หลับตาของเราเบาๆ ค่อนลูก พอสบายๆ คล้ายๆ กับตอนที่เราใกล้จะหลับ อย่าไปบีบเปลือกตา อย่ากดลูกนัยน์ตา
ทำใจของเราให้เบิกบาน แช่มชื่น ให้สะอาด บริสุทธิ์ ผ่องใส ไร้กังวลในทุกสิ่ง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม ให้ปลด ให้ปล่อย ให้วาง ทำใจให้ว่างๆ
คราวนี้เราก็มาสมมติว่า ภายในร่างกายของเราปราศจาก อวัยวะ ปอด ตับ ม้าม ไต หัวใจ เป็นต้น สมมติเป็นที่โล่งๆ ว่างๆ เป็นปล่อง เป็นช่อง เป็นโพรง กลวงภายใน คล้ายๆ ท่อแก้ว ท่อเพชรใสๆ
วันนี้เป็นวันคล้ายวันเกิดของพระเดชพระคุณหลวงปู่ ผู้ค้นพบวิชชาธรรมกาย ครบ ๑๑๘ ปี ถ้าหากท่านยังมีชีวิตอยู่ ถึงวันนี้ ท่านก็จะอายุ ๑๑๘ ปี ท่านได้ทิ้งข้อวัตรปฏิบัติ ปฏิปทามโนปณิธานของท่าน เป็นต้นบุญต้นแบบให้แก่โลก แล้วก็ยังได้มอบสิ่งที่สำคัญสำหรับชีวิตของ มวลมนุษย์และเทวดาเอาไว้ให้ กับโลกอีก ก็คือธรรมปฏิบัติที่จะทำให้เข้าถึงพระรัตนตรัย ในตัวถึงพุทธรัตนะ ถึงธรรมรัตนะ ถึงสังฆรัตนะ ซึ่งรัตนะทั้งสามนี้ เป็นที่พึ่งที่ระลึกของมวลมนุษยชาติ ของตัวเราทั้งหลาย เป็นผู้ที่จะนำให้เราข้ามพ้นวัฏสงสาร ไปสู่ฝั่งอมตะพระนิพพานได้
การปฏิบัติธรรม ท่านสรุปวิธีการเอาไว้โดยย่อว่า “หยุดเป็นตัวสำเร็จ” ที่จะทำให้เข้าถึงพระรัตนตรัยในตัว เข้าถึงพระอริยบุคคลภายใน ซึ่งเราไม่ต้องเสียเวลาไปแสวงหา พระอริยบุคคลภายนอก เพราะดูยากว่า ท่านใดบุคคลใดจะเป็น พระอริยเจ้า แต่ท่านแนะให้ได้เข้าถึงพระอริยบุคคลภายใน จะเป็นโคตรภูบุคคล พระโสดาบัน พระสกิทาคามี พระอนาคามี หรือ พระอรหันต์ ตลอดจนกระทั่งพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า อยู่ภายในกายยาววา หนาคืบ กว้างศอกของเรานี่แหละ และจะเข้าถึงก็ด้วยหยุดกับนิ่ง
หยุดเป็นตัวสำเร็จ คือเอาใจที่แวบไปแวบมาคิดไปในเรื่องราวต่างๆ นำกลับมาหยุดนิ่งอยู่กับเนื้อกับตัวที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ในกลางท้องของเรา ในระดับที่เหนือจากสะดือขึ้นมา ๒ นิ้วมือ โดยให้กำหนดบริกรรมนิมิตเป็นดวงใสๆ กลมรอบตัว เหมือนดวงแก้วกายสิทธิ์ แต่ว่าใสประดุจเพชรลูกที่เจียระไนแล้ว ไม่มีตำหนิเลย โตเท่ากับแก้วตาของเรา คือ ไม่เล็กไม่ใหญ่ ขนาดปลายนิ้วก้อย นิ้วชี้ นิ้วนางของเรา อยู่ในกลางท้อง ให้เอามาหยุดนิ่งอยู่ที่ฐานที่ ๗
พร้อมกับประคองใจด้วยบริกรรมภาวนาว่า สัมมาอะระหัง เรื่อยไปเลย กี่ครั้งก็ได้ จนกว่าใจจะหยุดนิ่ง ซึ่งจะมีอาการอย่างนี้คือเหมือนเราลืมคำภาวนาสัมมาอะระหังไป แต่ใจไม่ฟุ้งไปคิดเรื่องอื่น หรือเกิดความรู้สึกว่าไม่อยากจะภาวนาต่อไป อยากจะหยุดใจนิ่งอย่างนี้อย่างเดียว คือตรึกนึกถึงดวงใส หยุดอยู่ในกลางดวงใส นี่คือคำแนะนำของท่านว่า ต้องหยุดอย่างนี้นะ เพราะใจไม่หยุด ทำให้เราเข้าไม่ถึงสิ่งที่ดี ที่มีอยู่ในตัวของเรา ซึ่งเป็นแผนผังของชีวิต ทำให้เข้าไม่ถึงพระรัตนตรัยในตัว ซึ่งเป็นที่พึ่งที่ระลึกภายใน
นิวรณ์ ๕
ที่ใจเราไม่หยุด เพราะว่ามีนิวรณ์ ๕ มาเป็นเครื่องกั้น
นิวรณ์ แปลว่า เครื่องกั้น กั้นไม่ให้ใจของเรา หรือเห็น จำคิด รู้ เข้าไปถึงดวงธรรมภายใน ไม่ให้ใจของเราตกศูนย์เข้าไป ถึงดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายมนุษย์หยาบ ใส บริสุทธิ์ โตเท่ากับฟองไข่แดงของไก่ แล้วก็ลอยขึ้นมาเป็นดวงปฐมมรรค คือกั้น ไม่ให้เข้าถึงปฐมมรรค เขาเรียกว่า นิวรณ์ ๕ มีตั้งแต่
กามฉันทะ คือ การตรึกถึงเรื่องเพศบ้าง เรื่องทรัพย์สมบัติ บ้าง หรือคน สัตว์ สิ่งของ เป็นต้น
พยาบาท ความขุ่นมัว ขัดเคืองใจ มุ่งร้ายเขา
วิจิกิจฉา ความลังเลสงสัย สงสัยว่า เออ มันมีจริงไหม คนอย่างเราจะเข้าถึงหรือ หรือมีคนอื่นเข้าถึงหรือเปล่า
ถีนมิทธะ ความง่วง ความท้อ เคลิบเคลิ้ม
อุทธัจจกุกกุจจะ ความฟุ้งคิดไปในเรื่องราวต่างๆ
นิวรณ์ ๕ นี้เป็นเครื่องกั้นไม่ให้เราเข้าถึงธรรมภายใน อุปมาเหมือนเรามีดวงตาที่สามารถเห็นอะไรก็ได้ แต่ถูกถุงดำมาสวมศีรษะครอบเอาไว้ถึง ๕ ชั้น ทำให้มองอะไรไม่เห็นไปตามความเป็นจริง ถุงดำ ๕ ชั้นก็คล้ายๆ กับนิวรณ์ทั้ง ๕ นี่แหละ เพราะนิวรณ์มันดำมืดเป็นเครื่องกั้นในการเห็น ไม่ให้ใจเราเข้าถึงดวงธรรม ถึงดวงปฐมมรรค แม้มีอยู่ในตัว ก็เข้าไม่ถึง เมื่อเข้าไม่ถึง จึงไม่รู้ว่ามี เราจึงไม่เคยเจอความสุขที่แท้จริง ไม่เคยอบอุ่นใจเลย เพราะเข้าไม่ถึงพระรัตนตรัย
แต่พระเดชพระคุณหลวงปู่ ท่านแนะว่า เอาใจมาหยุดนิ่งตรึกถึงดวงใส หยุดอยู่กลางดวงใสๆ แล้วก็ภาวนาสัมมาอะระหังเรื่อยไป นอกจากดวงแล้วอาจจะตรึกถึงองค์พระ หรือภาพหลวงปู่ภาพคุณยาย หรือสิ่งที่คุ้นเคยก็ได้ เพื่อให้เป็นที่ยึดที่เกาะของใจเรา ใจเราจะได้อยู่กับเนื้อกับตัว อยู่ที่ฐานที่ ๗ พอหยุดนิ่งนานๆ ไม่ช้าก็จะถูกส่วนไปเอง
ดวงภายใน กายภายใน
พอถูกส่วนก็จะตกศูนย์วูบไปที่ฐานที่ ๖ จะไปยกเอาดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายมนุษย์หยาบใสบริสุทธิ์โตเท่ากับฟองไข่แดงของไก่ลอยขึ้นมา อยู่ที่ฐานที่ ๗ ซึ่งท่านเรียกว่าดวงธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน คือธรรมเบื้องต้นหรือดวงปฐมมรรค แปลว่า ต้นทางที่จะไปสู่อายตนนิพพาน
เมื่อธรรมดวงนี้บังเกิดขึ้น เราก็จะเห็นหนทางที่จะ เข้าไปสู่ภายใน ซึ่งเป็นเส้นทางสายกลางของพระอริยเจ้า จะเป็นจุดเล็กๆ ใสๆ ซึ่งพอแตะใจเบาๆ จุดเล็กใสในกลางดวงธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐานก็จะขยายใหญ่ขึ้น ดวงเดิมก็ขยายจนตกขอบไปเลย ดวงใหม่เกิดขึ้น เป็นเครื่องกรองกลั่นใจเราให้บริสุทธิ์ คือ ดวงศีล และในกลางดวงศีลก็จะมีจุดเล็กๆ
จุดศูนย์กลางเล็กๆ นั่นแหละ เป็นช่องทางเดินของใจ เราก็หยุดต่อไป ดวงศีลก็ขยาย พร้อมกับจุดเล็กตรงกลางขยายพร้อมๆ กันมา ดวงถัดมาก็คือ ดวงสมาธิ แล้วก็เข้าถึงดวงปัญญา ดวงวิมุตติ
แต่ตรงกลางดวงวิมุตติญาณทัสสนะนี่แปลก จุดเล็กใสเหมือนกัน เวลาเราดูห่างๆ ปกติน่าจะเป็นดวงเกิดขึ้น แต่กลางดวงวิมุตติญาณทัสสนะ จุดเล็กใสๆ นั้นกลายเป็นกายมนุษย์ละเอียด คือ ขยายออกมาเป็นกายที่นั่งสมาธิ หน้าตาเหมือนกับตัวของเรา ท่านหญิงเหมือนท่านหญิง ท่านชายเหมือนท่านชาย โตเต็มส่วนเลย นั่งสมาธิ หันหน้าออกไปทางเดียวกับตัวของเรา นี่ซิมันแปลก มันอัศจรรย์จริงๆ ว่า พระเดชพระคุณ
หลวงปู่ไปค้นเจอได้อย่างไร
เข้าไปถึงกายในกาย กายมนุษย์ละเอียด ไปกายทิพย์ กายทิพย์ละเอียด กายรูปพรหมหยาบ กายรูปพรหมละเอียด กายอรูปพรหมหยาบ กายอรูปพรหมละเอียด กายธรรมโคตรภูหยาบ กายธรรมโคตรภูละเอียด กายธรรมพระโสดาบันหยาบ กายธรรมพระโสดาบันละเอียด กายธรรมพระสกิทาคามีหยาบ กายธรรมพระสกิทาคามีละเอียด กายธรรมพระอนาคามีหยาบ กายธรรมพระอนาคามีละเอียด กายธรรมพระอรหัตหยาบ กายธรรมพระอรหัตละเอียด
ทั้งหมด ๑๘ กาย นับจากกายมนุษย์หยาบ ไปถึงกายธรรมอรหัต ระหว่างกายก็จะมีธรรม ๖ ดวง เป็นเครื่องคั่นเพื่อกลั่นใจเชื่อมให้ไปถึงอีกกายหนึ่ง
๑๘ กายนี้เป็นแผนผังที่ติดมาดั้งเดิม ตั้งแต่ปฐมชาติที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ แต่ถึงแม้จะติดมา ถ้าหากไม่มีพระเดชพระคุณหลวงปู่ของเราสละชีวิต ค้นพบ นำมาเปิดเผย เราจะไม่มีวัน รู้เด็ดขาด
ทีนี้ถ้าไม่รู้มันอันตราย เพราะโอกาสที่เราจะดำเนินชีวิตผิดพลาดจะมีมาก เพราะสิ่งแวดล้อม มันอำนวยให้ไปนรกทั้งสิ้น เหมือนชาวประมงที่ออกทะเล คืบก็ทะเล ศอกก็ทะเล เมตรวาก็ทะเล รอบตัวเราคิดพูดทำอะไรนิดหน่อย ก็นรก อันตรายมาก ไม่รู้ไม่ได้ ไม่รู้แล้วก็จะทำผิด กฎแห่งกรรม มีวิบากเป็นผล ทุกข์ทั้งในปัจจุบัน ทุกข์ทั้งในอนาคต ในอบาย ในสังสารวัฏ ซึ่งยาวนานมาก อันตรายมากๆ
พระเดชพระคุณหลวงปู่ท่านค้นพบ มาแนะนำ ทำให้เรา เข้าถึงความสุขที่แท้จริงได้ในปัจจุบัน ได้รู้เรื่องราวความจริงของชีวิต จะพ้นวิบากกรรมได้ต้องเข้าถึงกายธรรม นี่เป็นสิ่งที่เรา ต้องการทราบมากว่าเมื่อไรจะพ้น นอกจากไปเจอพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ก็ต้องค้นคว้าด้วยตัวเองไปถึงกายธรรม ไปเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับกายธรรมจึงจะพ้นได้ ความรู้อย่างนี้เป็นสิ่งที่หาได้ยากยิ่ง ไม่มีใครมาบอกเรา บอกแต่กว้าง ๆ ว่า อย่าไปทำบาป ให้ทำดี ทำใจให้ใส แต่จะพ้นกรรมอย่างไร และเราก็ทำผิดพลาดกันมาก็เยอะ เพราะเวียนว่ายตายเกิดมานับภพ นับชาติไม่ถ้วน แค่นี้ก็เป็นพระคุณที่ล้นเหลือจริงๆ
หลวงพ่อธัมมชโย
วันพฤหัสบดีที่ ๑๐ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๔๕
จากหนังสือ ง่ายเเต่ลึก เล่ม 4
โดยคุณครูไม่ใหญ่