.....๓. บุตรขาดความสำนึกรับผิดชอบต่อศีลธรรมทางเศรษฐกิจ
ถ้าพ่อแม่ผู้ปกครองขาดอริยวินัย ไม่ปฏิบัติหน้าที่ของตนให้สมบูรณ์ ผลเสียที่จะเกิดขึ้นประการที่ ๓ คือ บุตรทั้งหลายไม่มีความสำนึกรับผิดชอบต่อศีลธรรมทางเศรษฐกิจ เพราะไปพัวพันกับอบายมุข ซึ่งจะเกิดเป็นลักษณะนิสัยและแสดงพฤติกรรมออกมาให้เห็นได้อย่างน้อย ๓ ประการ คือ
๑) บูชาเงินเป็นพระเจ้า บุตรที่มีมิจฉาทิฏฐิ ย่อมคิดเอาเองว่า อบายมุขเป็นสิ่งที่น่าสนใจและมีประโยชน์อย่างกว้างขวาง นับตั้งแต่นำความสนุกสนานเพลิดเพลินมาให้ ทำให้รู้จักเพื่อนฝูงมากมาย เพิ่มประสบการณ์ชีวิตที่เด็กโดยทั่วไปยากที่จะได้สัมผัส และที่น่าสนใจเป็นพิเศษก็คือ อบายมุขบางประเภททำให้สามารถหาเงินได้ด้วยตนเอง นี่คือรสแห่งอิสรภาพและความเป็นไทจากพ่อแม่ที่เด็กๆ ปรารถนา ทั้งนี้เพราะเมื่อหาเงินได้เอง ย่อมสามารถจับจ่ายใช้สอยได้ตามอำเภอใจ ผิดกับเงินที่พ่อแม่ให้ ซึ่งนอกจากจะให้อย่างจำกัดจำเขี่ยแล้ว ยังจะต้องถูกพ่อแม่ตรวจสอบอย่างเข้มงวดกวดขันอีก
อย่างไรก็ตาม บุตรที่เกี่ยวข้องพัวพันกับอบายมุขย่อมต้องการใช้เงินมาก อีกทั้งไม่มีวินัยในการใช้ทรัพย์ เมื่อได้เงินมาก็ใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือย เมื่อเงินหมดถ้ายังหามาอีกไม่ได้ก็จำเป็นต้องหยิบยืมญาติพี่น้องและเพื่อนฝูง ถ้าหยิบยืมไม่ได้ ก็จะแก้ปัญหาด้วยการลักขโมย
เด็กประเภทนี้ ถ้าไม่ได้รับการอบรมแก้ไขตั้งแต่ยังเยาว์ เมื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่ ก็จะมุ่งหน้าหาเงินเป็นเรื่องสำคัญ โดยไม่สนใจว่าวิธีการหาเงินของตนจะเป็นการกระทำสุจริตหรือทุจริต ขอให้ได้เงินมาเป็นใช้ได้ เพราะเงินคือพระเจ้าในชีวิตของเขา
๒) มีวจีทุจริต เนื่องจากบุตรที่พัวพันกับอบายมุข จะมีปัญหาเงินไม่พอจับจ่ายใช้สอยอยู่เสมอ จึงจำเป็นต้องแก้ร้อนด้วยการกล่าววจีทุจริต เพื่อความอยู่รอดของตนเอง บางครั้งอาจพูดโกหกหลอกลวงเพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้า บางครั้งอาจใช้คำพูดพลิกแพลง ปอกลอก เพื่อเอาเปรียบผู้อื่น และเพื่อหาผลประโยชน์ใส่ตน โดยสรุปก็คือ พูดจาเชื่อถือไม่ได้ มีพฤติกรรมเข้าทำนองตลบนกบนเวหานั่นเอง
๓) ประกอบมิจฉาอาชีวะ เพราะเหตุที่บูชาเงินเป็นพระเจ้า เด็กประเภทนี้ย่อมหวังความมั่งคั่งร่ำรวยทางลัด หรืออย่างน้อยก็เงินใช้อย่างคล่องมือ โดยไม่ต้องขอจากพ่อแม่ อาชีพการงานที่จะทำให้ได้เงินอย่างง่ายๆ โดยไม่ต้องทำงานเหน็ดเหนื่อย ก็คือมิจฉาอาชีวะ หรืออาชีพทุจริตผิดศีลธรรม ผิดกฎหมายนานาชนิด มิจฉาอาชีวะที่กำลังอยู่ในความนิยมของผู้คนมิจฉาทิฏฐิไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ในยุคนี้คือ การค้ายาเสพติด การขายสินค้าปลอม และโสเภณีเด็ก เป็นต้น
๔. บุตรขาดความสำนึกรับผิดชอบต่อทิศ ๖ และต่อสิ่งแวดล้อมตามธรรมชาติ
ถ้าพ่อแม่ผู้ปกครองขาดอริยวินัย ไม่ปฏิบัติหน้าที่ของตนให้สมบูรณ์ ผลเสียที่จะเกิดขึ้นประการที่ ๔ คือ บุตรทั้งหลายจะไม่มีความสำนึกรับผิดชอบต่อทิศ ๖ และต่อสิ่งแวดล้อมตามธรรมชาติ
ก. บุตรขาดความสำนึกรับผิดชอบต่อทิศ ๖ คือ ขาดปฏิสัมพันธ์อันดีกับทิศ ๖ ซึ่งจะมีลักษณะนิสัย และแสดงพฤติกรรมออกมาให้เห็น อย่างน้อย ๓ ประการ คือ
๑) ขาดความกตัญญูกตเวที บุตรที่ขาดความกตัญญูกตเวที คือไม่รู้จักบุญคุณของผู้มีพระคุณ แม้แต่บุญคุณของพ่อแม่ก็ไม่รู้จัก จัดเป็นมิจฉาทิฏฐิอย่างหนึ่ง ซึ่งมีผลร้ายต่อการอยู่ร่วมกันในครอบครัว และในสังคม
บุตรบางคนนอกจากมองไม่เห็นพระคุณของพ่อแม่แล้ว ยังมีความคิดแบบมิจฉาทิฏฐิว่า การเลี้ยงดูลูกให้เจริญเติบโต มีความสุข ให้ได้รับการศึกษาอย่างดีตลอดจนมอบมรดกให้ลูก เป็นหน้าที่และความรับผิดชอบอย่างแท้จริงของพ่อแม่ ในฐานะที่เป็นผู้ก่อกำเนิดชีวิตของลูก ส่วนลูกจะตอบแทนบุญคุณของพ่อแม่หรือไม่ เป็นเรื่องความพอใจของแต่ละบุคคล ความคิดเช่นนี้คือความคิดมิจฉาทิฏฐิโดยแท้
ในทางที่ถูกต้อง บุตรความได้รับการอบรมสั่งสอนให้รู้ว่า พระคุณอันยิ่งใหญ่และสูงสุดของพ่อแม่ที่มีต่อลูก คือ การให้รูปแบบที่เป็นคนแก่ลูก การที่ลูกได้รูปแบบที่เป็นคน ย่อมเอื้อประโยชน์อย่างยิ่งต่อการสร้างคุณความดีหรือสร้างบุญบารมี สัตว์โลกใดๆ ก็ตาม ถ้าเกิดมามีรูปแบบร่างกายเป็นดิรัจฉานเสียแล้ว ย่อมหมดโอกาสในการสร้างบุญบารมี จะสร้างได้ก็แต่บาปเท่านั้น ประตูสวรรค์และนิพพานสำหรับพวกเขาถูกปิดหมดเหลือแต่ประตูไปสู่ทุคติเท่านั้นที่เปิดคอยต้อนรับพวกเขาอยู่ตลอด
๒) มีนิสัยชอบว่าร้าย บุตรที่ไม่รู้จักบุญคุณคน ก็เพราะมองไม่เห็นคุณความดีของผู้อื่น ตรงกันข้ามเขามองไม่เห็นคุณความดีของผู้อื่น ตรงกันข้ามเขามองเห็นแต่ข้อเสียของผู้อื่น ไม่เคยรู้สึกพอใจในการพูดการทำของผู้อื่น ตั้งหน้าแต่จะจับผิดผู้อื่น ยิ่งกว่านั้นยังคิดว่าตนเองดีวิเศษเหนือกว่าใครๆ ในโลกนี้ ดังนั้นจึงคอยวิพากษ์วิจารณ์ตำหนิติเตียน ขัดคอผู้อื่นบ้าง นินทาหรือว่าร้ายทุกๆ คนที่มีความคิดเห็นไม่เหมือนกับตน หรือไม่เอื้อประโยชน์ให้ตนบ้าง บุตรประเภทนี้จึงเป็นคนน่าเบื่อ น่ารำคาญ ไม่น่าคบค้าสมาคมด้วย นอกจากนี้บางคนยังเป็นต้นเหตุแห่งความร้าวฉาน และแตกสามัคคีในครอบครัวและหมู่ญาติอีกด้วย