ทานบารมี 

วันที่ 24 มีค. พ.ศ.2567

240367b.01.jpg

 

ทานบารมี 
กฐิน ๒๕๓๓
พระธรรมเทศนาเพื่อการปฏิบัติธรรม
 โดย... พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (หลวงพ่อธัมมชโย)


                ต่อจากนี้เราจะได้หลับตาเจริญสมาธิภาวนากัน ขอให้ทุกท่านนั่งขัดสมาธิ ขอให้ทุกท่านนั่งเอาขาขวาทับขาซ้าย มือขวาทับมือซ้าย โดยให้นิ้วชี้ของมือขวาจรดนิ้วหัวแม่มือของมือข้างซ้าย วางไว้บนหน้าตักพอสบายๆ หลับตาของเราเบา ๆ อย่าไปบีบหัวตา อย่ากดลูกนัยน์ตา หลับพอสบาย ๆ คล้าย ๆ กับเรานอนหลับ ขยับเนื้อขยับตัวของเราให้ดี กะคะเนว่าเลือดลมในตัวของเราเดินได้สะดวก เราจะได้ไม่ปวดไม่เมื่อย เพราะว่าเราจะใช้เวลาต่อไปจากนี้ไป ๑ ชั่วโมงเต็ม สำหรับการปฏิบัติธรรม ดังนั้นท่านั่งมีความจำเป็นที่เราจะต้องปรับให้ถูกส่วน ให้เลือดลมในตัวเดินได้สะดวก ทำให้เราไม่ปวดไม่เมื่อย แล้วก็ทำใจของเราให้เบิกบาน ให้แช่มชื่น ให้สะอาด ให้บริสุทธิ์ ให้ผ่องใส ให้ใจของเราไร้กังวล ไม่ว่าจะเป็นภารกิจเรื่องอะไรก็ตาม เรื่องการศึกษาเล่าเรียนเรื่องครอบครัว เรื่องธุรกิจการงาน และเรื่องอะไรที่นอกเหนือจากนี้ ให้ปลด ให้ปล่อย ให้วาง ทำจิตใจของเราให้แช่มชื่น ทุก ๆ ท่าน นะจ๊ะ

 

 

                เพราะว่าวันนี้เป็นวันสำคัญ เป็นวันบุญใหญ่ ปีหนึ่งก็มีเพียงครั้งเดียวเป็นกาลทาน เป็นงานทอดกฐินสามัคคีซึ่งมีคุณยายอุบาสิกาจันทร์ ขนนกยูง ท่านเป็นประธานใหญ่ พร้อมกับพวกเราทั้งหลายที่เดินทางมาจากทั่วประเทศ เพื่อจะมาร่วมงานบุญใหญ่วันนี้ เราทุกท่านจะต้องตั้งใจตักตวงบุญกุศลให้เต็มที่ให้สมกับที่เราได้ตั้งใจมานาน ที่จะมาร่วมบุญใหญ่วันนี้ โดยเฉพาะในช่วงนี้มีหลาย ๆ สิ่งหลาย ๆ อย่างที่บังเกิดขึ้น ขัดขวางหนทางแห่งการสร้างบุญบารมีของเราเช่น ดินฟ้าอากาศต่าง ๆ ฝนตกน้ำท่วมหนทางขาด บางบ้านก็อยู่ในสภาพที่แช่ลงไปอยู่ในน้ำเป็นเวลาเป็นเดือนเลยทีเดียว 

 

 

                แต่ทุก ๆ ท่านที่ได้มาในวันนี้ไม่ได้หวาดหวั่นต่อสิ่งเหล่านี้เลย สมกับเป็นนักสร้างบารมีจริง ๆ โดยไม่คิดว่าสิ่งอะไรทั้งสิ้นจะเป็นอุปสรรค ไม่ว่าการเจ็บไข้ได้ป่วย การเดินทาง ดินฟ้าอากาศ หรือเรื่องอะไรที่นอกเหนือจากนี้ พวกเราทุกท่านไม่ได้คิดว่าสิ่งเหล่านี้เป็นอุปสรรคต่อการสร้างบารมีเช่นเดียวกับพระพุทธเจ้าของเรา สมัยที่ท่านเสวยพระชาติเป็นพระบรมโพธิสัตว์ กำลังสร้างบารมีอยู่ ก็มิได้หวาดหวั่นต่ออุปสรรคทั้งหลายทั้งมวล ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น จะเสียทรัพย์ เสียอวัยวะหรือแม้กระทั่งชีวิต แต่ก็มิได้หวาดหวั่น เกิดมาภพหนึ่งชาติหนึ่ง ท่านก็จะตั้งใจ สะสมบารมีให้เต็มเปี่ยม เพื่อบรรลุพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พวกเราทั้งหลายก็เช่นเดียวกัน ได้ดำเนินรอยตามพระบรมศาสดาของเรา คือ ไม่หวาดหวั่นต่ออุปสรรคทั้งหลายทั้งมวล

 

 

                เพราะฉะนั้นการที่เรามาบำเพ็ญบุญกันในวันนี้จึงเป็นสิ่งที่ทำได้ยากอย่างยิ่ง ถ้าไม่ใช่หัวใจของนักสร้างบารมีแล้วคงทำอย่างนี้ไม่ได้ เมื่อเป็นอย่างนี้ทุกท่านจะต้องตั้งใจตักตวงบุญกุศลของเราให้เต็มที่ อย่าให้หกอย่าให้หล่นไปเลยแม้แต่นิดเดียว วิธีการที่เราจะตักตวงบุญกุศลให้เต็มที่นั้นก็คือเราจะต้องทำใจของเราให้สะอาด ให้บริสุทธิ์ ให้ผ่องใส ปราศจากความโลภ ความโกรธ ความหลง ความวิตกกังวลอะไรต่าง ๆ ใจไม่ต้องแล่น ใจต้องอย่าแล่นไปในกามฉันทะ ในความพยาบาท ความสงสัยลังเลในพระรัตนตรัย ความเคลิบเคลิ้ม ง่วงเหงาหาวนอน ท้อแท้ใจหดหู่ใจ หรือความฟุ้งซ่านรำคาญใจ ต้องอย่าให้เกิดขึ้น ใจเราจะต้องใส ต้องสะอาด ต้องบริสุทธิ์ แล้วก็ต้องเลื่อมใสในพระรัตนตรัย 

 

 

                ในพุทธรัตนะ ในธรรมรัตนะ ในสังฆรัตนะ ต้องมีความเลื่อมใสทั้ง ๓ อย่างนี้อย่างเต็มเปี่ยม นี่แหละเป็นสภาพใจที่เหมาะสมที่จะเป็นภาชนะบุญกุศลที่จะเกิดขึ้นในวันนี้อย่างเต็มที่ เพราะฉะนั้นเราทุกท่านจะต้องพยายามทำกายวาจาใจของเราให้สะอาด ให้บริสุทธิ์ ให้ผ่องใส วิธีทางลัดที่สุด ที่จะเข้าถึงความบริสุทธิ์กาย วาจา ใจ ก็คือการทำใจให้หยุด ให้นิ่ง ใจจะต้องหยุด ใจจะต้องนิ่ง ให้ถูกส่วน และก็ถูกที่ตั้งของพุทธรัตนะ ธรรมรัตนะ สังฆรัตนะ จึงจะได้ชื่อว่าเลื่อมใส ในรัตนะทั้ง ๓ ทำได้อย่างนี้ ถึงจะเป็นภาชนะที่จะรองรับมหากุศลที่จะเกิดขึ้นในวันนี้ ท่านที่มาเป็นประจำก็คงจะทราบดีว่ารัตนะทั้ง ๓ นั้นน่ะ ท่านตั้งอยู่ที่ไหน แต่ท่านที่มาใหม่บางท่านยังไม่ทราบก็จะต้องทำความเข้าใจให้ดี

 

 

                พุทธรัตนะคือเนมิกตนามที่เกิดขึ้น คือเป็นนามหรือเป็นชื่อ ที่เกิดขึ้นพร้อมกับการบังเกิดขึ้นของพุทธรัตนะ พุทธรัตนะก็แปลว่าพระแก้ว รัตนะแปลว่าแก้ว พุทธะคือผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานแล้ว หรือพระพุทธเจ้านั่นเองใสบริสุทธิ์ เป็นแก้วใสบริสุทธิ์ที่อยู่กลางกายของเรา ลักษณะมหาบุรุษสวยงามไม่มีที่ติ ใสเป็นแก้ว เกตุดอกบัวตูม นั่งขัดสมาธิอยู่ในกลางกายของเรา นั่นเรียกว่าพุทธรัตนะธรรมรัตนะก็คือดวงธรรมที่อยู่ในกลางกายของพุทธรัตนะเป็นที่บังเกิดขึ้นของความรู้ รู้แจ้งเห็นแจ้งแทงตลอดของพุทธรัตนะ และก็ทรงรักษาพุทธรัตนะเอาไว้

 

 

                สังฆรัตนะก็ได้แก่ธรรมกายละเอียดคือ พุทธรัตนะที่ละเอียดอยู่ในกลางธรรมรัตนะนั่นเอง รัตนะทั้ง ๓ นี้อยู่ในกลางกายของเรา ถ้าเราขึงเส้นเชือกจากสะดือทะลุไปด้านหลังเส้นหนึ่ง ขึงจากด้านขวาทะลุไปด้านซ้ายอีกเส้นหนึ่ง ให้เส้นเชือกทั้ง ๒ ตัดกันเป็นกากบาท จุดตัดเล็กเท่ากับปลายเข็ม เหนือจุดตัดนี้ขึ้นมา ๒ นิ้วมือ นั่นแหละ คือที่สิงสถิตของรัตนะทั้ง ๓ คือพุทธรัตนะ ธรรมรัตนะ สังฆรัตนะ เราจะต้องเอาใจของเรา คือความเห็นความจำ ความคิด ความรู้ 4 อย่าง รวมหยุดเป็นจุดเดียวที่ศูนย์กลางกายตรงนั้น ที่เรียกว่าฐานที่ ๗ อยู่ในกลางกายตรงที่สิงสถิตของพุทธรัตนะ ธรรมรัตนะ สังฆรัตนะ 

 

 

                เมื่อใจหยุดอย่างนี้อย่างถูกส่วน คือไม่แวบไปแวบมา หยุดให้ถูกส่วน พอถูกส่วนเราก็จะเข้าถึงรัตนะทั้ง ๓ ได้ เข้าถึงแล้วเป็นอย่างไร เมื่อเข้าถึงแล้วเราจะเห็นใสแจ่มบริสุทธิ์ทีเดียว คล้าย ๆ กับเราลืมตาเห็นวัตถุภายนอก แต่ว่าเห็นได้ชัดเจนกว่า ใสบริสุทธิ์บังเกิดขึ้น เป็นพระแก้วที่ใสบริสุทธิ์อยู่ในกลางกายของเรา นั่นแหละพุทธรัตนะ พอเข้ากลางพุทธรัตนะไปก็จะเห็นดวงธรรมกลมรอบตัว ใสบริสุทธิ์อยู่ในกลางกาย กลมเหมือนดวงแก้ว นั้นแหละธรรมรัตนะ ในกลางธรรมรัตนะนั้นก็เห็นธรรมกายละเอียดที่ซ้อนกันอยู่ นั่นแหละสังฆรัตนะ ซ้อนกันเป็นอันหนึ่งอันเดียวทีเดียว ถ้าทำได้ถูกส่วนแล้วจะเห็นอย่างนี้ ถ้าทำได้อย่างนี้ ได้ชื่อว่าเลื่อมใสในรัตนะทั้ง ๓ 

 

 

                เมื่อเลื่อมใสอย่างนี้ ก็จะทำให้ใจของเราแปรสภาพเป็นประดุจภาชนะที่ใสสะอาดบริสุทธิ์ ที่จะรองรับบุญกุศลซึ่งจะเกิดจากการทอดกฐินสามัคคีนี้ ในวันนี้อย่างดีที่สุด และผลที่ได้คือจะได้บุญกุศลบังเกิดขึ้นอย่างจะนับจะประมาณมิได้ คือเกินที่เราจะคาดหมายหรือคำนวณว่าเราจะได้บุญสักเท่าไหร่ เป็นบุญกุศลที่จะเกิดขึ้นติดอยู่ที่ในศูนย์กลางกายของเราทีเดียว กระแสแห่งบุญที่ติดอยู่ในกลางกายของเรานั้นจะใส จะสะอาด จะบริสุทธิ์ จะสว่างอยู่ในกลางกาย และจะเป็นต้นเหตุแห่งความสุขและความสำเร็จในชีวิตของเรา ทั้งในปัจจุบันนี้จนกระทั่งในอนาคต ทุกภพทุกชาติกระทั่งเข้าสู่พระนิพพาน 

 

 

                เราจะสมบูรณ์ด้วยรูปสมบัติ ทรัพย์สมบัติ คุณสมบัติ ลาภยศ สรรเสริญ สุข มรรคผลนิพพาน เราจะปรารถนาเป็นพระอรหันต์สาวกก็ได้ เป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าก็ได้ หรือเป็นพระสัพพัญญูพุทธเจ้าก็ได้ ก็อาศัยกระแสธารแห่งบุญที่ได้บังเกิดขึ้นในกลางกายของเรานี้ เป็นเครื่องส่องทางชีวิตของเราให้สร้างบารมียิ่ง ๆ ขึ้นไปจนถึงที่สุดแห่งความปรารถนาของเรา เพราะฉะนั้นบุญนี้เป็นเรื่องใหญ่ เป็นเรื่องที่สำคัญ เป็นบ่อเกิดแห่งความสุขและความสำเร็จทั้งมวลอุปสรรคต่าง ๆ นานา ที่จะบังเกิดขึ้นจะสลายหายไปด้วยกระแสธารแห่งบุญที่เราได้สร้างเอาไว้ เหมือนอย่างพระบรมโพธิสัตว์ของเรา 

 

 

                พระสิทธัตถะราชกุมาร วันที่ท่านจะตรัสรู้เป็นพระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านได้ผจญมาร มีมารทั้งหลายมาบังเกิดขึ้นมาขัดขวาง ในยามนั้นท่านอยู่องค์เดียวอย่างโดดเดี่ยว ไม่มีพวกพ้องบริวารเลยไม่มีพระปัญจวัคคีย์ ไม่มีพวกพ้องบริวาร อยู่องค์เดียวจริง ๆ พญามารก็มากมายมหาศาลล้อมรอบพระองค์หมด ทั้งขู่ เคี่ยวเข็ญต่าง ๆ นานา ขู่ขวัญท่าน แต่ท่านไม่ได้ตกอกตกใจเลย ทำใจของท่านให้หยุดอยู่ภายในกลางตัว พอถูกส่วนเข้าท่านก็เรียกบุญ นึกถึงทานบารมี ศีลบารมี เนกขัมมะ ปัญญา วิริยะ ขันติ สัจจะ อธิษฐาน เมตตา อุเบกขาบารมีของท่าน พอใจของท่านแล่นไปในกลางนั้น กระแสธารแห่งบารมีคือความดีที่ได้สร้างเอาไว้ ก็ไหลผ่านเข้าศูนย์กลางกาย ติดอยู่ที่ศูนย์กลางกายท่าน ขจัดฝูงพญามารทั้งหลายให้หมดสิ้นไปได้ 

 

 

                เพราะฉะนั้นบุญเป็นเรื่องที่สำคัญเป็นบ่อเกิดแห่งความสุขและความสำเร็จในชีวิต ขจัดอุปสรรคต่าง ๆ นานาได้ ดังนั้นที่ท่านทั้งหลายได้ตั้งใจมาในวันนี้ที่จะมาบำเพ็ญการบุญการกุศล และปรารถนาที่จะให้ได้บุญเต็มเปี่ยมนั้น เป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว ได้ดำเนินรอยตามพระบรมศาสดาของเรา เพราะฉะนั้นต่อจากนี้ไปเราจะได้ตั้งใจชำระกาย วาจา ใจของเราให้สะอาด ให้บริสุทธิ์ ให้ผ่องใส จะได้เหมาะสมที่จะเป็นภาชนะรองรับบุญกุศล ที่จะเกิดขึ้นจากการทอดกฐินสามัคคีในวันนี้นะจ๊ะ

 

 

                จะได้แนะนำวิธีทำใจให้ผ่องใส ให้บริสุทธิ์ สำหรับท่านที่มาใหม่ขอให้ท่านที่มาใหม่นึกน้อมใจไปนะจ๊ะ ตรงตำแหน่งที่เราขึงเส้นเชือกจากสะดือทะลุหลัง ขวาทะลุซ้าย ให้เส้นเชือกทั้ง ๒ ตัดกันเป็นกากบาท จุดตัดที่เล็กเท่ากับปลายเข็มเราเรียกว่า กลางกั๊ก หรือฐานที่ ๖ ยกถอยหลังขึ้นมา ๒ นิ้วมือ โดยสมมติเอานิ้วชี้กับนิ้วกลางวางซ้อนกันแล้วนำไปทาบตรงจุดตัดของเส้นเชือกทั้ง ๒ สูงขึ้นมา ๒ นิ้วมือเรียกว่าฐานที่ ๗ ตรงนี้แหละที่เป็นที่สิงสถิตของพุทธรัตนะ ธรรมรัตนะ สังฆรัตนะ เราจะต้องเอาใจของเรามาหยุดนิ่งอยู่ที่ตรงนี้ เมื่อเราจะปฏิบัติครั้งต่อไปจะต้องเอาใจของเรามาหยุดอยู่ที่ตรงนี้ หยุดอยู่ที่กลางฐานที่ ๗ ให้ใจเราหยุดในหยุดอยู่ที่ตรงนี้ 

 

 

                โดยกำหนดบริกรรมนิมิตขึ้นมาในใจ คือกำหนดเครื่องหมายขึ้นมาในใจตรงฐานที่ ๗ นั้นมีเครื่องหมาย กำหนดเครื่องหมายเพื่อให้ใจของเรานั้นจะได้ยึดเกาะอยู่ที่ตรงนี้ให้ใสสะอาดบริสุทธิ์ ประดุจเพชรลูกที่เจียระไนแล้ว ไม่มีขนแมว โตเท่ากับแก้วตาของเรา กำหนด เครื่องหมายนะจ๊ะ หรือกำหนดบริกรรมนิมิตร โดยสร้างมโนภาพว่าตรงฐานที่ ๗ นี้ มีเครื่องหมายที่ใสสะอาดบริสุทธิ์ประดุจเพชรลูกที่เจียระไนแล้วไม่มีขนแมว ไม่มีขีด ไม่มีส่วนไม่มีรอยตำหนิคล้ายขนแมว โตเท่ากับแก้วตาของเรา กำหนดเครื่องหมายให้ใสสะอาดบริสุทธิ์ ประดุจเพชรลูกที่เจียระไนแล้วไม่มีขนแมวโตเท่ากับแก้วตา ให้นึกถึงเครื่องหมายนี้อย่างง่าย ๆ ง่าย ๆ คล้ายกับเรานึกถึงภาพดอกบัวหรือดอกกุหลาบ หรือภาพของหยดน้ำที่อยู่บนปลายยอดหญ้า หรือน้ำที่กลิ้งอยู่บนใบบัว ให้นึกให้ง่าย ๆ อย่างนั้น 

 

 

                เครื่องหมายที่ใสสะอาดบริสุทธิ์ นึกให้ใสที่สุดเท่าที่จะใสได้ ให้ใจตรึกนึกถึงแต่ดวงใส หยุดอยู่ในกลางความใสบริสุทธิ์ พร้อมกับภาวนาในใจ "สัมมา อะระหัง" ๆ ๆ ให้ภาวนาสัมมา อะระหัง อย่างนี้ไปเรื่อย ๆ จะกี่สิบ ที่ร้อย กี่พัน กี่หมื่นครั้งก็ภาวนาไปเรื่อย ๆ โดยให้เสียงคำภาวนาดังออกมาจากจุดกึ่งกลางของเครื่องหมายที่ใสสะอาด บริสุทธิ์นั้น โดยให้เครื่องหมายที่ใส สะอาด บริสุทธิ์นั้นเป็นจุดเริ่มต้นของเสียงภาวนาในใจ สัมมาอะระหัง ๆ ๆ ให้ภาวนาสัมมาอะระหังอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ โดยให้เสียงคำภาวนาดังออกมาจากจุดกึ่งกลางของดวงแก้วที่ใสสะอาดบริสุทธิ์ ประดุจเพชรลูกที่เจียระไนแล้ว ไม่มีขนแมว โตเท่ากับแก้วตา ให้ภาวนาอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ จนกว่าใจจะหยุดนิ่ง 

 

 

                พอใจหยุดนิ่งถูกส่วนก็จะเห็นดวงใสบริสุทธิ์เกิดขึ้นที่กลางหยุดนิ่งนั้น เมื่อเราเห็นดวงแก้วใสบริสุทธิ์ชัดเจน เราก็หยุดคำภาวนา หยุดคำภาวนา สัมมาอะระหัง ให้รักษาดวงใสบริสุทธิ์นั้นให้เห็นอยู่ตลอดเวลา ทั้งหลับตาทั้งลืมตา ทั้งนั่งทั้งนอน ทั้งยืนทั้งเดินทุกอริยาบถ ให้ตรึกนึกถึงดวงใส ใจหยุดที่กลางความใสบริสุทธิ์ของดวงแก้วเรื่อยไป เมื่อใจหยุดถูกส่วนเข้า ไม่ช้าดวงใสนั้นก็จะใสหนักยิ่งขึ้น สะอาดยิ่งขึ้น บริสุทธิ์ยิ่งขึ้น พอถูกส่วน ดวงใสนั้นก็ขยายกว้างออกไป ขยายโตขึ้นจากจุดเล็ก ๆ ก็โตขึ้น โตขึ้น ขนาดดวงจันทร์หรือดวงอาทิตย์ตอนเที่ยงแล้วก็โตขึ้นไปเรื่อย ๆ 

 

 

                พอถูกส่วนก็จะเข้าถึงอีกดวงหนึ่ง จะเห็นดวงธรรมอีกดวงหนึ่งเกิดขึ้น อยู่ในกลางดวงแรกเกิดขึ้นในทำนองอย่างนี้แหละไปเรื่อย ๆ เกิดขึ้นทีละดวง ถึง ๖ ดวง ซ้อนขึ้นมาทีเดียว ดวงแรกเรียกว่าปฐมมรรคหรือดวงธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน ดวงที่ ๒ เรียกว่าดวงศีล เกิดขึ้นซ้อนขึ้นมาในกลางดวงศีลจะเห็นดวงสมาธิในกลางดวงสมาธิจะเข้าถึงดวงปัญญา ในกลางดวงปัญญาก็จะเข้าถึงดวงวิมุตติ ในกลางดวงวิมุตติจะเข้าถึงดวงวิมุตติญาณทัสสนะ ๖ ดวงนี้อยู่ในกลางกายของเรา ในกลางดวงวิมุตติญาณทัสสนะ พอเข้าถึงถูกส่วน ดวงวิมุตติญาณทัสสนะจะขยายส่วนกว้างออกไป 

 

 

                เราก็จะพบกายภายในของเราเรียกว่ากายมนุษย์ละเอียด ที่มีลักษณะเหมือนกับตัวของเรา ตัวของเรา ท่านหญิงเหมือนท่านหญิง ท่านชายก็เหมือนท่านชาย เหมือนตัวของเราทีเดียวคล้าย ๆ กับเราส่องกระจกอย่างนั้นแหละ นั่งขัดสมาธิอยู่ในกลางกายเรา พอถูกส่วนกายนั้นก็จะขยายส่วนกว้างขวางออกไป กระทั่งเท่าตัวของเราแล้วก็ใหญ่ขึ้น ขยายหายไป เราก็จะเข้าถึงอีกดวงหนึ่งในทำนองเดียวกันอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ ทีละ ๖ ดวง ซึ่งซ้อนอยู่ในกลางกายต่าง ๆ ก็จะเข้าถึงกายมนุษย์ละเอียด กายทิพย์ กายพรหม กายอรูปพรหม พอสุดกลางกายอรูปพรหม เราจะเข้าถึงกายธรรม กายธรรมที่ลักษณะสวยงามมาก งามไม่มีที่ติ เกตุดอกบัวตูมคล้ายพระพุทธรูปอย่างนี้แหละแต่สวยงามกว่า นั่งขัดสมาธิหันหน้าออกไปทางเดียวกันกับเรานั่นแหละ

 

 

                พุทธรัตนะ ซ้อนอยู่ในกลางกายอรูปพรหมพุทธศาสนาเริ่มต้นจากตรงนี้ ตรงพุทธรัตนะ เมื่อใจเราเข้าถึงพุทธรัตนะอย่างนี้จึงจะได้ชื่อว่าเลื่อมใสในพุทธรัตนะ คือใจจะไม่นึกถึงเรื่องอื่นเลย จะนึกถึงแต่พระพุทธรัตนะอยู่ตลอดเวลา ทั้งหลับตา ทั้งลืมตา ทั้งนั่ง ทั้งนอน ทั้งยืน ทั้งเดิน ตรึกอย่างนี้เรื่อย ๆ จึงจะเรียกว่าเลื่อมใส ในพุทธรัตนะ เรื่องราวอะไรต่าง ๆ จะเป็นคน เป็นสัตว์ เป็นสิ่งของต่าง ๆ ให้วิเศษแค่ไหนก็ตาม จะไม่ดึงให้ใจเราไปนึกคิดในสิ่งเหล่านั้นเลย ใจของเราจะติดอยู่ในกลางพุทธรัตนะ ใส บริสุทธิ์ แจ่มจ้าอยู่ในกลางกาย อย่างนี้เรียกว่าเลื่อมใส คือใจเลื่อมเป็นเงาและใสกระจ่างสว่างอยู่ในกลางพุทธรัตนะ นอกจากจะเลื่อมใสแล้ว ยังได้ชื่อว่าเข้าถึงไตรสรณคมน์ มีพุทธรัตนะเป็นที่พึ่งเป็นที่ระลึก เข้าถึงไตรสรณคมน์ทีเดียว

 


                ดังนั้นขอให้ทุกท่านต่อจากนี้เป็นต้นไป เราจะได้ใช้เวลาที่เหลือนี้ประพฤติปฏิบัติธรรม เอาใจฝึกใจของเราให้หยุดให้นิ่งที่กลางกายของเรา ให้เข้าถึงรัตนะทั้ง ๓ ให้ได้เพื่อที่จะได้สมกับที่เราได้เดินทางไกลออกมาจากบ้านด้วยความยากลำบาก จะได้ตักตวงบุญกุศลของเราให้เต็มที่ ให้ต่างคนต่างตั้งใจทำภาวนากันอย่างเงียบ ๆ นะจ๊ะ อย่าพูดอย่าคุยกันนะ อย่าลืมตา ให้ตรึกนึกถึงดวงใส เอาใจหยุดไปที่จุดกึ่งกลางของความใสบริสุทธิ์ ให้ตรึกนึกถึงดวงใสบริสุทธิ์ประดุจเพชรลูกที่เจียระไนแล้ว ไม่มีขนแมว โตเท่ากับแก้วตาของเรา ให้ตรึกนึกถึงดวงใสให้ใสบริสุทธิ์ อยู่ในกลางกายฐานที่ ๗ พร้อมกับภาวนาในใจว่า "สัมมา อะระหัง" ๆ ๆ ต่างคนต่างทำกันไปเงียบๆ นะจ๊ะ จนกว่าจะถึงเวลาอันควรนะจ๊ะ

 


                ขอเรียนเชิญทุกท่านนั่งหลับตาเจริญสมาธิภาวนากัน ให้นั่งขัดสมาธิเหมือนอย่างที่สอนเอาไว้เมื่อเช้านี้คือ เอาขาขวาทับขาซ้าย มือขวาทับมือซ้าย นิ้วชี้ของมือข้างขวาจรดนิ้วหัวแม่มือข้างซ้าย วางไว้บนหน้าตักพอสบาย ๆ แล้วก็หลับตาของเราเบา ๆ พอสบาย ๆ คล้าย ๆ กับเรานอนหลับ ขยับเนื้อขยับตัวของเราให้ดี กะคาดคะเนให้เลือดลมในตัวของเราเดินได้สะดวก จะได้ไม่ปวดไม่เมื่อย แล้วก็ทำจิตใจให้เบิกบาน ให้แช่มชื่น ให้เยือกเย็น ให้สะอาด บริสุทธิ์ผ่องใส จะได้เหมาะสมที่จะเป็นภาชนะรองรับบุญกุศลซึ่งจะเกิดขึ้นจากการทอดกฐินสามัคคีในครั้งนี้ พร้อมทั้งวางใจของเราเบา ๆ ไปที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ที่อยู่เหนือจากจุดตัดของเส้นเชือกทั้ง      ๒ ซึ่งขึงจากสะดือทะลุหลัง ขวาทะลุซ้าย ขึ้นมา ๒ นิ้วมือ ให้วางใจของเราเบา ๆ ไปที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ นี้ 

 


                พร้อมกำหนดบริกรรมนิมิต คือกำหนดเครื่องหมายให้ใสสะอาด บริสุทธิ์ประดุจเพชรลูกที่เจียระไนแล้ว ไม่มีขนแมว โตเท่ากับแก้วตาของเรา กำหนดเครื่องหมายให้ใสสะอาดบริสุทธิ์ประดุจเพชรลูกที่เจียระไนแล้ว ไม่มีขนแมว โตเท่ากับแก้วของเรา ให้นึกถึงบริกรรมนิมิตนี้อย่างเบา ๆ อย่างสบาย ๆ คล้าย ๆ กับเรานึกถึงสิ่งที่เราคุ้นเคยพร้อมกับให้เสียงของคำภาวนาเกิดขึ้นจากจุดกึ่งกลางของความใสบริสุทธิ์ สัมมา อะระหัง ๆ ๆ สัมมา อะระหังให้ภาวนาสัมมา อะระหัง พร้อมกับนึกถึงดวงใสบริสุทธิ์ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ให้ควบคู่กันไป อย่าให้ใจวอกแวกไปคิดเรื่องโน้นเรื่องนี้ เพราะว่าตอนนี้เป็นตอนที่สำคัญ ก่อนที่เราจะประกอบพิธีทอดกฐินสามัคคีนี้ ใจจะต้องสะอาดบริสุทธิ์ให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ 

 


                จนกระทั่ง ความบริสุทธิ์ปรากฏเกิดขึ้นมาให้เราเห็นได้ชัดเจนด้วยตาทิพย์ของเราเป็นดวงใสบริสุทธิ์ อย่างเล็กก็ขนาดดวงดาวในอากาศ อย่างกลางก็ขนาดพระจันทร์ในคืนวันเพ็ญ อย่างใหญ่ก็ขนาดพระอาทิตย์ตอนเที่ยงวัน ความใสความบริสุทธิ์ที่บังเกิดขึ้นอันนี้แหละเป็นความบริสุทธิ์เบื้องต้น ที่จะทำให้เราเข้าถึงความบริสุทธิ์ที่ยิ่งไปกว่านี้คือ พุทธรัตนะ ธรรมรัตนะ สังฆรัตนะ ซึ่งซ้อนอยู่ภายในกายของเรานี้ ดังที่ได้แนะนำ เอาไว้เมื่อเช้า รัตนะทั้ง ๓ เป็นสรณะอันประเสริฐ เป็นทั้งที่พึ่งและที่ระลึกอันสูงสุด สิ่งอื่นที่จะเสมอเหมือนหรือยิ่งไปกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว เพราะว่าเมื่อเรามีความทุกข์ ใจของเราหยุดเข้าไปถึงท่าน พบพุทธรัตนะใสบริสุทธิ์ งามไม่มีที่ติ เกตุดอกบัวตูมบังเกิดขึ้น ความทุกข์ทั้งหลายที่มีอยู่ก็จะดับไป 

 


                จะเปลี่ยนแปลงมาเป็นความสุขที่ไม่มีขอบเขต เป็นความสุขที่ยิ่งใหญ่ แม้เมื่อเรามีสุขแล้ว เมื่อเข้ากลางภายในตัวของเรากระทั่งพบพุทธรัตนะเข้าถึงพุทธรัตนะ เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับพุทธรัตนะได้แล้ว ความสุขก็จะเพิ่มพูนขึ้นอย่างที่เราไม่เคยเป็นมาก่อนเลยในชีวิตรัตนะทั้ง ๓ นี่แหละเป็นที่พึ่งที่ระลึกอันสูงสุด สิ่งอื่นไม่ใช่ จะเป็นต้นไม้ เป็นภูเขา เป็นอารามอันศักดิ์สิทธิ์ ผีสิงเจ้าทรงอะไรต่าง ๆ เหล่านั้นไม่ใช่ที่พึ่งอันประเสริฐ เพราะบางคนในโลกนี้เมื่อประสบทุกข์ก็ย่อมแสวงหาที่พึ่ง บางคนฟังอารามศักดิ์สิทธิ์ บางคนก็ไปกราบไหว้ต้นไม้จอมปลวก เหล่านี้เป็นต้น นั้นไม่ใช่ที่พึ่งอันประเสริฐ 

 

 

                ที่พึ่งอันประเสริฐคือพระรัตนตรัยทั้ง ๓ ดังที่กล่าวไว้แล้วนี้เอง ซึ่งมีอยู่ภายในตัวของเรา ถ้าเราเข้าถึงเมื่อไหร่เราจะเกิดรู้สึกอบอุ่น มีความรู้สึกปลอดภัย ไม่หวาดหวั่นภัยอะไรทั้งสิ้นที่จะมีในโลกนี้หรือโลกหน้าหรือในวัฏสงสาร ใครเข้าถึงจะซึ้งอย่างที่หลวงพ่อได้พูดเอาไว้ เพราะฉะนั้นรัตนะทั้ง ๓ นี่จึงเป็นสิ่งที่สำคัญ การที่เราได้มาบำเพ็ญทานบารมีในวันนี้เพราะว่าเราได้เห็นคุณค่าของรัตนะทั้ง ๓ นี้ว่าเป็นที่พึ่งอันประเสริฐ สิ่งอื่นที่ยิ่งไปกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว เราจึงได้เดินทางมาโดยไม่กังวลเรื่องภารกิจใด ๆ ทั้งสิ้น ไม่คิดว่ามีสิ่งใดเป็นอุปสรรค ไม่ว่าฝนตก น้ำท่วม หรืออะไรจะบังเกิดขึ้นก็ตาม ไม่คิดว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นอุปสรรคเพราะว่าเห็นคุณค่าของรัตนะทั้ง ๓ นี้ว่าเป็นที่พึ่ง เป็นเนื้อนาบุญของเรา เราจึงได้เดินทางมาแสวงหาบุญในวันนี้ บุญในวันนี้จะเป็นบุญที่ยิ่งใหญ่ไพศาล เพราะว่าถวายทานถูกทักขิไณยบุคคล

 


                ในสมัยพุทธกาลมีพราหมณ์คนหนึ่ง ได้กราบทูลถามผู้มีพระภาคเจ้าว่า จะต้องมาทำบุญเฉพาะที่พระองค์เท่านั้นหรือจึงจะได้บุญ ท่านบอกว่าไม่ใช่อย่างนั้น มีศรัทธาที่ไหน มีความเชื่อความเลื่อมใสที่ไหนก็ให้ไปทำที่นั้น ไม่จำเป็นจะต้องให้มาทำที่เราหรอก พ่อพราหมณ์คนนั้นก็ถามต่อไปอีกว่า แล้วทำอย่างไรหล่ะ ถึงจะได้บุญมาก ท่านบอกว่าต้องทำถูกทักขิไณยบุคคล เปรียบแล้วเหมือนกับเนื้อนาดี มีปุ๋ยดีน้ำดี อุดมสมบูรณ์ทุกอย่าง ปราศจากวัชพืช สิ่งที่เป็นศัตรูต่อพืช ต่อข้าว หว่านเมล็ดข้าวไปเพียง ๑ เม็ด ออกผลิตผลมาเป็นรวงข้าวอย่างมหาศาล แล้วท่านก็ยกตัวอย่างให้ฟังว่าเราให้ข้าว ให้น้ำ กับสัตว์เดรัจฉานยังมีอานิสงส์ไปถึง ๑๐๐ ภพ เกิดมา ๑๐๐ ชาติ เวียนว่ายตายเกิดมาเป็นมนุษย์นี้ไม่อดไม่อยากไป ๑๐๐ ชาติ นี้ขนาดสัตว์เดรัจฉานนะยังได้ถึงขนาดนี้ 

 


                แต่ว่าถ้าทำบุญกับมนุษย์ซึ่งมีภูมิอันสูงกว่าสัตว์เดรัจฉาน ซึ่งมือเปื้อนไปด้วยเลือด คือเป็นคนทุศีล ศีลไม่ครบไม่บริบูรณ์ ยังได้อานิสงส์มากกว่าทำบุญกับสัตว์เดรัจฉาน แต่ถ้าหากอยากจะได้อานิสงส์มากขึ้นไปกว่านี้อีก ก็จะต้องทำกับผู้มีศีล ตั้งแต่ศีล ๕ ศีล ๘ ศีล ๑๐ ศีล ๒๒๗ ถ้าอยากได้อานิสงส์ผลบุญมากกว่านี้ก็ต้องทำกับผู้ที่ได้ฌานสมาบัติ ได้ตั้งแต่ปฐมญาณขึ้นไปเป็นต้น ถ้าอยากจะได้บุญมากกว่านี้ ต้องทำบุญกับทักขิไณยบุคคลคือบุคคลที่เข้าถึงไตรสรณคมน์ ได้เข้าถึงไตรสรณคมน์ ถึงพุทธรัตนะ ธรรมรัตนะ สังฆรัตนะ เป็นที่พึ่งที่ระลึกภายในเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับรัตนะทั้ง ๓ นั้น จึงจะมีอานิสงส์มาก คำนวณอานิสงส์ที่จะได้นั้นนับไม่ไหว

 


                ทักขิไณยบุคคลก็ตั้งแต่ผู้ที่เข้าถึงรัตนะทั้ง ๓ เป็นเบื้องต้นเรียกว่าธรรมกายโคตรภู หรือโคตรภูบุคคลคือ บุคคลที่พ้นภาวะจากการเป็นปุถุชน เข้าสู่กระแสของพระอริยเจ้าแต่ยังไม่เป็นพระอริยเจ้า อยู่ระหว่างกึ่งกลางระหว่างโลกียะกับโลกุตตระ พระโสดาบันก็เป็นทักขิไณยบุคคลที่สูงขึ้นไปอีก พระสกิทาคามีสูงไปกว่าพระโสดาบัน พระอนาคามีสูงกว่าพระสกิทาคามี พระอรหันต์สูงกว่าพระอนาคามี พระปัจเจกพุทธเจ้าสูงกว่าพระอรหันต์ พระสัพพัญญูพุทธเจ้าสูงกว่าพระปัจเจกพุทธเจ้า ตั้งแต่โคตรภูบุคคลที่เข้าถึงรัตนะทั้ง ๓ เป็นสรณะเป็นที่พึ่งอันประเสริฐนั้น จนกระทั่งถึงพระสัพพัญญูพระพุทธเจ้า ล้วนเป็นทักขิไณยบุคคล หากว่าถวายทานขาดจากใจไม่ติดใจในวัตถุทานนั้น จะเป็นข้าวเป็นน้ำ เป็นผ้าผ่อนท่อนสไบ ยวดยานพาหนะ ประทีปโคมไฟ หรืออะไรที่นอกเหนือจากนี้ก็ตาม

 


                 ถวายทานขาดจากใจ ไม่เสียดาย เมื่อวัตถุทานนั้นตกไปถึงมือของทักขิไณยบุคคลหรือปฏิคาหกนั้นย่อมมีอานิสงส์ยิ่งใหญ่ไพศาล เพราะฉะนั้นท่านทั้งหลายที่ได้ตั้งใจมาในวันนี้ จะต้องตั้งใจให้ดี เพื่อที่จะได้รับอานิสงส์อันยิ่งใหญ่ไพศาลนี้ ตั้งใจให้ดีนั้นจะต้องเอาใจมาตั้งไว้ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ พยายามตรึกนึกถึงดวงใส ให้ใจหยุดไปที่กลางความใส แล้วก็ทำความเลื่อมใส ในทานบารมีที่เราจะได้ทำในวันนี้ว่าเป็นสิ่งที่ดีจะช่วยต่ออายุพระพุทธศาสนา จะขยายงานของพระศาสนาให้กว้างไกล ให้เป็นที่พึ่งต่อชาวโลกได้ ชาวโลกทั้งหลายที่เกิดมาในโลกนี้ ถ้าหากว่าขาดกัลยาณมิตรนำความรู้อันบริสุทธิ์ของพระพุทธเจ้าไปแนะนำแล้ว เขาก็ย่อมที่จะดำเนินชีวิตได้อย่างไม่สมบูรณ์ ไปสู่เป้าหมายชีวิตได้ไม่ถูกต้อง

 


                 เพราะฉะนั้นจำเป็นจะต้องอาศัยกัลยาณมิตรนำความรู้คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าไปแนะนำต่อ และพระสงฆ์นี้แหละเป็นกัลยาณมิตรที่ศึกษาฝึกฝนอบรมตัว พร้อมที่จะทำหน้าที่ทางนี้อย่างเต็มที่ ที่จะขยายคำสั่งสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้าให้ไปเป็นที่พึ่งต่อชาวโลกทั้งหลาย ท่านทั้งหลายก็จะได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่สนับสนุนเฉลี่ยแจกจ่ายความสุขไปยังชาวโลกทั้งหลายด้วย ให้อะไรจะประเสริฐเลิศเท่ากับให้หนทางแห่งความสุขที่แท้จริงแก่ชาวโลกนั้นไม่มี การให้อย่างนี้ถือว่าเป็นเลิศ ให้เขาเข้าถึงความสุขในปัจจุบันนี้ จนกระทั่งถึงความสุขอันยิ่งใหญ่คือการเข้าถึงอายตนนิพพาน 

 


                ภิกษุทำหน้าที่ระดมธรรม ท่านทั้งหลายทำหน้าที่ระดมทุน สองฝ่ายต่างเกื้อกูลเกื้อหนุนซึ่งกันและกัน สันติสุขย่อมบังเกิดขึ้นแก่โลกได้ ทรัพย์ของท่านทั้งหลายที่ได้เสียสละสร้างทานบารมีในวันนี้ เป็นทรัพย์ที่มีประโยชน์ต่อชาวโลกอย่างแท้จริงเหมือนแม่น้ำไม่ดื่มกินน้ำของตัวเองแต่เป็นประโยชน์ต่อชาวโลก ให้ได้อาบ ได้ดื่ม ได้กิน ต้นไม้ที่มีผลไม้ตก ไม่กินผลไม้ของตัวเองแต่มีไว้เพื่อแจกจ่าย ทรัพย์ของท่านทั้งหลายจึงเป็นประโยชน์อย่างยิ่งแก่ตัวท่านและชาวโลกทั้งหลาย ต่างจากผู้ที่ขาดกัลยาณมิตร ไม่พบแสงสว่างแห่งชีวิตมีความตระหนี่ในทรัพย์ทั้งหลาย มีทรัพย์ก็หวงแหน มีทรัพย์ก็ใช้จ่ายสนุกสนานเพลิดเพลิน ใช้ชีวิตให้หมดไปวันหนึ่งคืนหนึ่งเท่านั้น ทรัพย์ชนิดนั้นเรียกว่าทรัพย์ทุพพลภาพ มีอยู่ก็เหมือนกับไม่มี ไม่มีประโยชน์ต่อตนเองและผู้อื่น 

 


                เพราะฉะนั้นอานิสงส์แห่งทานบารมี ที่ท่านทั้งหลายได้ทำกันในวันนี้จึงเป็นสิ่งที่มีคุณค่าอย่างยิ่ง และมีอานิสงส์อันยิ่งใหญ่ นอกจากจะให้ผลในปัจจุบันนี้แล้ว ภพต่อไปในอนาคต ท่านทั้งหลายจะสมบูรณ์ไปด้วยรูปสมบัติ ทรัพย์สมบัติ คุณสมบัติ ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข มรรคผลนิพพาน เราทั้งหลายเป็นชาวพุทธ เรามีความเชื่ออยู่ว่าตราบใดกิเลสอาสวะยังไม่หมดสิ้นจากใจของเราแล้ว เราจะต้องเวียนว่ายตายเกิดอีกนับภพนับชาติไม่ถ้วน หนทางที่จะไปสู่อายตนนิพพานนั้นจะต้องขจัดกิเลสอาสวะนั้นให้หมดสิ้นไป

 


                 หนทางที่จะไปนั้น เหมือนกับคนที่เดินทางไกล เพราะการไปสู่นิพพานไม่ใช่ว่าจะไปภพเดียวชาติเดียวได้ เนื่องจากชีวิตนั้นมีเวลาจำกัด เดี๋ยวเราก็หมดเวลาแล้ว เพราะฉะนั้นจึงต้องอาศัยการเดินทางไปหลายภพหลายชาติทีเดียว การเดินทางจึงจำเป็นจะต้องมีเสบียงติดตัว หล่อเลี้ยงชีวิตของเราให้เราได้อาศัยชีวิตที่มีอยู่นั้น ศึกษาค้นคว้าหนทางพระนิพพานให้ได้เต็มที่ ทานบารมีที่ท่านได้ทำในวันนี้นี่แหละ จะเป็นเสบียงที่จะติดตัวท่านไปทุกภพทุกชาติ กระทั่งเข้าสู่พระนิพพานให้ท่านได้สร้างบารมีได้อย่างเต็มที่โดยไม่มีอุปสรรคอันใดเกิดขึ้น

 


                เหมือนอย่างพระบรมโพธิสัตว์ของเราพระองค์นี้ เมื่อท่านตั้งความปรารถนาที่จะเป็นพระสัพพัญญูพระพุทธเจ้า ตรัสรู้ด้วยพระองค์เองแล้วก็จะสั่งสอนผู้อื่นให้เข้าถึงธรรมเช่นเดียวกับพระองค์ เมื่อตั้งความปรารถนาที่จะเป็นสัพพัญญูของพระพุทธเจ้า ท่านก็ตรวจตราดูว่าจะสร้างบารมีชนิดไหนก่อนเป็นเบื้องต้น ซึ่งจะส่งผลให้เป็นรากฐานในการสร้างบารมีอย่างอื่นได้สะดวกสบายยิ่งขึ้น เมื่อท่านตรวจตราแล้วจึงพบว่าทานบารมีนี้ควรจะเป็นเบื้องต้น ที่จะทำให้การสร้างบารมีในด้านอื่นนั้น สะดวกสบาย เพราะถ้าขาดทานบารมีแล้ว ภพชาติต่อไปก็ต้องเป็นคนอดอยากยากจน จะเป็นคนที่ขัดสนจะสร้างบารมีก็ไม่สะดวก เพราะว่าห่วงเรื่องการทำมาหากิน 

 


                เมื่อการทำมาหากินฝืดเคืองก็จะต้องประกอบมิจฉาอาชีวะ ลักเขามั่ง ขโมยเขามั่ง ปล้นบ้าง จี้บ้าง ในที่สุดชีวิตก็จะตกต่ำทั้งในภพนั้นแล้วก็ในอบายภูมิอีกด้วย แต่ถ้าหากชีวิตนั้นสมบูรณ์ไปด้วยโภคทรัพย์สมบัติ จะให้ทานต่อก็สะดวก จะรักษาศีลก็สบาย เจริญภาวนาก็ไม่ขัดข้อง ทั้งทาน ทั้งศีล ทั้งภาวนาก็จะสะดวกสบายทุกอย่าง แล้วบารมีอย่างอื่นอย่างเช่น เนกขัมมบารมีก็ดี ปัญญา วิริยะ ขันติ สัจจะ อธิษฐาน เมตตา อุเบกขาบารมีก็ดี ก็จะสร้างได้อย่างสะดวกสบาย เพราะว่าไม่ต้องทำมาหากินให้ลำบาก เนื่องจากว่าอานิสงส์แห่งทานบารมีนี้มีอานุภาพดลบันดาลให้เราสมบูรณ์ด้วยโภคทรัพย์ การสร้างบารมีอย่างอื่นจึงง่ายและสะดวกกว่าที่เราไม่มีโภคทรัพย์ 

 


                เพราะฉะนั้นสิ่งนี้ก็จะไปเป็นเสบียงเครื่องสนับสนุนให้ท่านทั้งหลายได้สร้างบารมีอย่างสะดวกสบาย เพราะฉะนั้นก่อนที่จะถวายกฐินทานนี้ ให้ท่านทั้งหลายได้ตั้งใจไว้ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ทำใจให้เลื่อมใสในรัตนตรัยให้ดี อย่าส่งใจไปที่อื่น แล้วก็ทำภาวนา สัมมาอะระหัง ๆ ๆ สัมมาอะระหัง ภาวนาไปอย่างสบาย ๆ ทำใจเย็น ๆ อย่าไปห่วงอย่าไปกังวลกับอะไรทั้งสิ้น อากาศจะอบอ้าวก็ช่างมัน ที่นั่งไม่นุ่มนวลก็ช่างมัน อย่าให้อารมณ์เราเสีย อย่าให้เราฟุ้งซ่าน ส่งใจไปคิดเรื่องอื่น ให้ใจจรดจดจ่อกับกฐินทานที่เราจะได้ทำในวันนี้ ให้ตั้งใจกันให้ดีทุกท่านนะจ๊ะ ให้ใจตรึกนึกถึงดวงใส หยุดเข้าไปที่จุดกึ่งกลางของความใส บริสุทธิ์ พร้อมกับภาวนาในใจ สัมมาอะระหังสัมมาอะระหัง ๆ ๆ ไปเรื่อย ๆ

 

 

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล Total Execution Time: 0.013839582602183 Mins