พระอัคคิทัต

วันที่ 07 พค. พ.ศ.2567

070567b01.jpg
 

พระอัคคิทัต
๕ มีนาคม ๒๕๓๘
พระธรรมเทศนาเพื่อการปฏิบัติธรรม วัดพระธรรมกาย
โดย... พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (หลวงพ่อธัมมชโย)

 

                ต่อจากนี้ไปให้ทุกคนตั้งใจหลับตาเจริญสมาธิภาวนากันนะจ๊ะ ให้นั่งขัดสมาธิโดยเอาขาขวาทับขาซ้ายมือขวาทับมือซ้าย ให้นิ้วชี้ของมือข้างขวาจรดนิ้วหัวแม่มือข้างซ้าย วางไว้บนหน้าตักพอสบาย ๆ หลับตาของเราเบา ๆ หลับพอสบายคล้ายกับเรานอนหลับ ทำใจของเราให้เบิกบานให้แช่มชื่น ให้สะอาด ให้บริสุทธิ์ ให้ผ่องใสให้ปลอดกังวลจากเรื่องราวต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม จะเรื่องครอบครัว เรื่องธุรกิจการงาน เรื่องการศึกษาเล่าเรียน หรือเรื่องอะไรที่นอกเหนือจากนี้ ให้ปลด ให้ปล่อย ให้วาง ให้ลืมไปชั่วขณะที่เราจะทำใจให้หยุดให้นิ่ง ที่จะเจริญภาวนานะจ๊ะ 

 


                ให้ปลอดกังวล ให้ทำเหมือนกับเราอยู่คนเดียวในโลก ไม่เคยพบปะในสิ่งเหล่านั้นมาก่อน ทำเป็นเหมือนไม่เคยเจอสิ่งเหล่านั้น ใจของเราจะได้ปลอดโปร่ง ว่างเปล่าจากภารกิจทั้งหลาย และก็ทำอารมณ์ให้มันสบาย ๆ ให้แช่มชื่นให้เบิกบาน ให้เลื่อมใสในคุณของพระรัตนตรัยว่า ๓ อย่างนี้เท่านั้นที่จะเป็นที่พึ่งที่ระลึกอย่างแท้จริงของเรา สิ่งอื่นที่จะเป็นที่พึ่งที่ระลึกเสมอเหมือนหรือยิ่งกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว และมันไม่มีจริง ๆ

 


                พระพุทธเจ้าของเราน่ะได้เข้าถึงสรณะภายใน ได้พบได้เห็นได้พิสูจน์แล้วว่าที่พึ่งที่ระลึกที่แท้จริงนั้นมีอยู่ ๓ อย่างแค่นี้เท่านั้น ผู้รู้ได้ยืนยันอย่างนี้ เพราะฉะนั้นเราก็ควรจะเชื่อฟังท่าน ยึดพระรัตนตรัย ๓ อย่างนี้เป็นที่พึ่งเป็นที่ระลึก เป็นที่ยึดที่เกาะของใจเรา แล้วเราจะพ้นจากความทุกข์ทรมาน เข้าถึงความสุขที่แท้จริงได้ ชาวโลกทั้งหลายที่ยังไม่เคยได้ยินได้ฟังคำสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้า ก็มักจะไม่รู้จักสรณะที่แท้จริงว่าคืออะไร อยู่ที่ตรงไหน จะเข้าถึงได้ด้วยวิธีการใด เมื่อไม่ได้ยินได้ฟังก็มักจะไปยึดสิ่งที่ตัวได้พบได้เห็นได้ยินได้ฟังมาว่าสิ่งนั้นสิ่งนี้น่ะ เป็นที่พึ่งที่ระลึก 

 


                อย่าว่าแต่ในสมัยนี้เลย แม้แต่ในสมัยพุทธกาลนะ พระพุทธเจ้าบังเกิดขึ้นแล้วในโลก ท่านได้ตรัสถึงที่พึ่งที่ระลึกว่ามีอยู่ ๓ อย่างแค่นี้ แก่ผู้มีบุญผู้ประพฤติตามปฏิบัติตาม ก็ได้บรรลุธรรมาภิสมัยเข้าถึงพระรัตนตรัยกันทั้งนั้น แต่ แม้ในยุคนั้นน่ะ บางพวกแม้เกิดร่วมสมัยกันก็ไม่ได้ยินได้ฟังว่าอะไรเป็นสรณะที่แท้จริง อย่างเช่นตัวอย่างของปุโรหิตอัคคิทัต ซึ่งต่อมาภายหลังบวชในพระพุทธศาสนาชื่อพระอัคคีทัตปุโรหิต

 


                อัคคิทัตเป็นผู้ที่มีปัญญาเป็นพหูสูต ท่านเป็นที่ปรึกษาของพระเจ้าแผ่นดินถึง ๒ พระองค์ทีเดียวคือพระเจ้ามหาโกศลกับพระเจ้าปเสนทิโกศล ต่อมาภายหลังเมื่อชราภาพลงแล้วก็อยากจะแสวงหาในที่สงัด ได้กราบบังคมทูลลาพระเจ้าปเสนทิโกศลออกบำเพ็ญสมณธรรม บวชเป็นฤษีอยู่ที่ริมฝั่งแม่น้ำ พระเจ้าปเสนทิโกศลท่านก็ทรงอนุญาต มีผู้ที่เลื่อมใสปุโรหิตอัคคิทัตจำนวนถึงหมื่นคนทีเดียว 

 


                ออกตามไปบวชเป็นฤษี เพราะมีความเชื่อมั่นในความเป็นพหูสูตของปุโรหิตอัคคิทัต ว่าจะสามารถแนะนำสั่งสอนให้รู้จัก ที่พึ่งภายในได้ ที่พึ่งที่แท้จริงได้ตามกันไป เป็นจำนวนถึงหนึ่งหมื่นทีเดียว ไม่น้อยทีเดียว และในที่สุดก็ได้บวชเป็นฤษีอยู่ริมฝั่งแม่น้ำ ต่างก็ตั้งกติกากันเอาไว้ว่า ถ้าเมื่อไหร่เกิดกามวิตกคือเมื่อไหร่ เมื่อบวชเป็นฤษีแล้วเนี่ย เกิดไปนึกถึงเรื่องทรัพย์ก็ดี สตรีก็ดี หรือสตรีกับสตางค์ก็ดีเนี่ย เมื่อนั้นก็ให้ไปขนทรายที่ริมฝั่งน้ำของใครของมันน่ะ ถ้ามีความรู้สึกว่าเป็นนักบวชแล้วยังนึกถึง ๒ เรื่องนี้น่ะ ก็ให้ไปขนเอาทรายมากองเอาไว้ 

 


                นี่ก็เป็นความดีอยู่อย่างหนึ่ง ที่ท่านอัคคิทัตตอนนี้เป็นฤษีแล้วน่ะ สั่งสอนแก่บริษัทบริวารฤษี ๑ หมื่น เลยเกิดความรู้สึกอย่างนี้แล้วก็ให้ไปขนมา แล้วก็ไม่ว่ากัน ไม่อายกัน  แต่ปรากฏว่าทรายที่ริมฝั่งน้ำน่ะ ถูกขนขึ้นมากองเป็นภูเขาเลากาทีเดียว กองโตสวยงามทีเดียว จนกระทั่งมีพญานาคซึ่งเป็นสัตว์ที่มีกายละเอียด แต่สามารถที่จะแปลงเป็นกายหยาบได้ เกิดความยินดีเลื่อมใสในทรายกองที่โต กองโตสวยงามทีเดียว โดยก็ไม่คิดว่าไอ้ทรายกองโตนี้เกิดขึ้นมาจากกามวิตกของฤษีทั้งหลายน่ะ เห็นว่ามันสวยงามก็เลยไปนอนรักษาอยู่บนยอดกองทราย อยู่ตรงนั้นแหละ เพราะว่ากองมันโตดี มันสวยดี 

 


                ต่อมาพระผู้มีพระภาคเจ้าท่านสอดญาณของท่าน ในยามรุ่งอรุณ ท่านมองเห็นอุปนิสัยของดาบสอัคคิทัต และบริวารจะได้บรรลุมรรคผลนิพพาน เพราะบุญบารมีเต็มเปี่ยม แต่ในขณะนี้เนี่ย อินทรีย์กำลังบ่มอยู่ อัคคิทัตดาบสได้สั่งสอนแก่ตัวเองและบริวารไปในทางที่ยังไม่ถูกต้องว่า เมื่อไหร่เกิดความสะดุ้งหวาดเสียวกลัวเกิดความทุกข์ทรมานน่ะ ให้พึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์คืออะไรดูที่มันศักดิ์สิทธิ์ก็ให้พึ่งสิ่งนั้น เช่น พึ่งภูเขาลูกโต ๆ น่ะ ลูกใหญ่ ๆ พึ่งป่าที่ดูแล้วมันวังเวงน่ะ พึ่งต้นไม้ใหญ่ ๆ ที่เข้าใจว่าจะมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือสิ่งที่จะบันดาลความสำเร็จให้บังเกิดขึ้นได้นะอาศัยอยู่  พึ่งอารามศักดิ์สิทธิ์ พึ่งเทวสถานอารามต่าง ๆ ได้สั่งสอนอย่างนี้แก่ตัวเอง และแก่ดาบสบริวาร สั่งสอนผิด ๆ อย่างนี้และก็ยึดถืออย่างนี้เรื่อยมา 

 


                พระผู้มีพระภาคเจ้าสอดพระญาณเห็นว่า ถึงเวลาที่จะเข้าถึงสรณะที่แท้จริง และก็มีอุปนิสัยจะได้บรรลุมรรคผลนิพพาน ในยามเช้าท่านก็ตรัสเรียกพระโมคคัลลานะมาว่า โมคคัลลานะเธอไปโปรดอัคคิทัตดาบสกับบริวารเนี่ยให้เป็นสัมมาทิฏฐิ ให้รู้จักที่พึ่งที่แท้จริงเถอะ พระโมคคัลลาน์กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า อัคคิทัตดาบส มีบริวารมาก มีกำลังมากเหลือเกิน ตามลำพังถ้าข้าพระองค์จะไปโปรดก็คงจะไม่ฟัง เพราะว่าเค้ารวมกันเป็นทีมน่ะ เป็นหมู่เดี๋ยวก็จะแย้งกันก็จะไม่ฟังกัน แต่ถ้าหากว่าพระผู้มีพระภาคเจ้าจะเสด็จไปด้วย ก็คงจะโปรดได้ทั้งหมด พระผู้มีพระภาคเจ้าก็เลยตรัสว่าให้พระโมคคัลลาน์ไปก่อน แล้วเดี๋ยวเราจะตามไปภายหลัง 

 


                ในที่สุดพระโมคคัลลาน์ท่านก็ไป ไปยืนอยู่หน้าบรรณศาลาของอัคคีทัตดาบส และท่านก็เรียกอัคคิทัตดาบสด้วยชื่อว่า อัคคิทัตเราจะขออาศัยอยู่ที่นี่เนี่ย ขอให้ท่านชี้สถานที่ ที่เราจะอาศัยด้วยอัคคิทัตดาบสนะเป็นผู้ชราแล้ว มากด้วยมานะทิฏฐิ มีความคิดว่าเราเป็นถึงอดีตเป็นปุโรหิตของพระเจ้าแผ่นดินถึง ๒ พระองค์ ใคร ๆ ก็ฟังเราทั้งนั้น ไม่มีใครที่จะกล้ามาเรียกชื่อของเราแบบคนคุ้นเคย ก็เกิดมานะทิฏฐิ และก็บอกกับพระโมคคัลลาน์ว่าไม่มี ที่ตรงนี้น่ะไม่มีสำหรับท่าน ที่จะให้อาศัยอยู่ พระโมคคัลลาน์ท่านก็บอกกับอัคคีทัตดาบสว่า ปกติมนุษย์ก็เข้าอยู่ในฝูงมนุษย์ โคก็เข้าอยู่ในฝูงโค นักบวชก็ต้องอยู่ในหมู่ของนักบวช 

 


                เพราะฉะนั้นให้ท่านน่ะ ชี้ว่าที่ที่เราควรจะอยู่น่ะอยู่ที่ไหน อัคคิทัตดาบสก็ให้ ก็ไม่ยอมบอกว่าอยู่ที่ตรงไหนน่ะ บอกว่าไม่มีอย่างเดียว แต่พระโมคคัลลาน์ก็ยังยืนยันว่าจะขออาศัยอยู่ที่ตรงนี้เนี่ย ในที่สุดก็เลยชี้ไปส่งเดชนะ บอกมีอยู่ที่นั่งน่ะคือที่กองทรายที่ตรงนั้นน่ะมีอยู่ที่เดียว ในบรรณศาลานี้อยู่กันไม่ได้หรอก เค้าก็อยู่กันหลังละองค์เท่านั้น มีที่ว่างอยู่ที่หนึ่งถ้าท่านอยากอยู่ก็ตามใจท่าน เป็นกองทรายรื่นรมย์ทีเดียว อยู่ชายน้ำโน่นแน่ะ พระโมคคัลลาน์ท่านก็ไปที่กองทราย ท่านก็พบพญานาค และในที่สุดก็ลองฤทธิ์กัน 

 


                พญานาคซึ่งหวงแหนที่อยู่ และโกรธที่อยู่ ๆ ก็มีนักบวชจะมาแย่งที่พักอาศัย พอโกรธก็ด้วยอานุภาพแห่งพญานาค บันดาลให้เกิดเปลวเพลิงก็เรียกว่า บังหวนควันน่ะ เป็นควันเป็นเปลวเพลิงที่มีฤทธิ์ร้อนแรงมาก พระโมคคัลลาน์ท่านก็เข้าเตโชสมาบัติ เข้าไปกสิณเตโชสมาบัติไปในไฟที่ร้อนแรงกว่านั้นอีก และในที่สุดพญานาคก็แพ้นะ ยอมแพ้ก็ขอตัวให้ แผ่พังพานบังแดดบังฝน ให้พระโมคคัลลาน์ท่านนั่งอยู่บนกองทราย ส่วนอัคคิทัตดาบสก็สั่งให้บริวาร ฤษีบริวารน่ะตามไปดูว่าป่านนี้นี่นักบวชท่านนั้นน่ะ คงละลายไปแล้วด้วยอานุภาพแห่งพญานาค ในที่สุดก็ชวนกันไปดู ปรากฏว่าเห็นพระโมคคัลลาน์น่ะนั่งอยู่บนกองทราย โดยมีพญานาคขดเป็นวงกลมแผ่พังพานคอยปกป้องความร้อนความเย็นอยู่ ก็เกิดความเลื่อมใส และในขณะนั้นน่ะ 

 


                พระผู้มีพระภาคเจ้าท่านก็เสด็จมา เสด็จมาในตอนนั้น ตอนที่ทิฏฐิมานะของดาบสทั้งหลายน่ะ ลดลงแล้ว เมื่อท่านประทับในที่อันควร พระโมคคัลลาน์ก็เข้ามากราบพระผู้มีพระภาคเจ้า ดาบสทั้งหลายเห็นดังนั้น เข้าก็เลยเข้ามากราบ เพราะเห็นว่าพระผู้มีพระภาคเจ้าเนี่ย จะต้องมีอานุภาพกว่าพระโมคคัลลาน์ เพราะขนาดพระโมคคัลลาน์ยังปราบพญานาคได้ และในที่สุดเมื่อทิฏฐิมานะลดลง พระผู้มีพระภาคเจ้าท่านก็ทรงแสดงธรรมให้อัคคิทัตดาบสและบริวาร ได้ทราบถึงสรณะที่แท้จริง ว่าสรณะที่แท้จริงนั้นน่ะ มีอยู่ภายในเท่านั้นคือพุทธรัตนะ ธรรมรัตนะ สังฆรัตนะ เป็นที่พึ่งอันเกษม เป็นที่พึ่งที่แท้จริงที่จะช่วยให้พ้นจากความทุกข์ทั้งหลายได้ ส่วนภูเขาก็ดี ป่าก็ดี ต้นไม้ใหญ่ก็ดี อารามศักดิ์สิทธิ์ก็ดี สิ่งนั้นไม่ใช่เป็นที่พึ่งอันเกษม นี่ก็เป็นเครื่องยืนยันนะจ๊ะว่า พระรัตนตรัยภายในเท่านั้นน่ะ จึงจะเป็นที่พึ่งที่ระลึกได้อย่างแท้จริง 

 


                พระรัตนตรัย ๓ อย่างที่ทรงแสดงให้กับอัคคิทัตดาบส ซึ่งต่อมาได้บรรลุมรรคผลนิพพานกันทั้งหมด พระพุทธเจ้าท่านประทานเอหิภิกขุอุปสัมปทาให้เป็นนักบวชบรรลุพระอรหันต์ ท่านทรงแสดงเกี่ยวกับรัตนะทั้ง ๓ ว่าอยู่ภายในตัวน่ะ ในกึ่งกลางกายของทุก ๆ คนเป็นที่พึ่งภายในน่ะ แต่กว่าจะเข้าถึงตรงนั้นได้ต้องทำใจให้หยุดให้นิ่งอยู่ภายในน่ะ หยุด อยู่ในกลางนั้นไปเรื่อย ๆ หยุดอยู่ในกลางกายน่ะ พอถูกส่วนเข้าก็เข้าถึงดวง  ดวงธรรมเบื้องต้นเรียกว่า ดวงธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน บังเกิดขึ้นที่กลางกาย อย่างเล็กก็ขนาดดวงดาวในอากาศ อย่างกลางก็ขนาดพระจันทร์ในคืนวันเพ็ญ อย่างใหญ่ก็ขนาดพระอาทิตย์ตอนเที่ยงวัน เป็นดวงสว่างทีเดียวอยู่ในกลางกาย นั่นคือเบื้องต้นที่จะเข้าถึงรัตนะทั้ง ๓ ที่เป็นที่พึ่งที่ระลึกภายใน ท่านให้เอาใจหยุดอยู่ที่ตรงนั้นต่อไปอีก

 


                 พอถูกส่วนเข้าจะเข้าถึงดวงธรรมต่าง ๆ เป็นชุด ๆ ทีเดียว บังเกิดขึ้นอยู่ในกลางนั้นน่ะ เข้าถึงดวงศีล เข้าถึงดวงสมาธิ เข้าถึงดวงปัญญา เข้าถึงดวงวิมุตติ เข้าถึงดวงวิมุตติญาณทัสสนะ และในที่สุดก็เข้าถึงกายมนุษย์ละเอียด ที่มีหน้าตาเหมือนกับตัวของเราเอง นั่งขัดสมาธิหันหน้าออกไปทางเดียวกับตัวของเรา อยู่ในกลางดวงวิมุตติญาณทัสสนะ ให้เอาใจหยุดต่อไปอีกในกลางนั้น พอถูกส่วนก็เข้าถึงดวงธรรมอีกชุดหนึ่ง ชุดหนึ่งก็มี ๖ ดวง ดวงธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐานดวงศีล ดวงสมาธิ ดวงปัญญา ดวงวิมุตติ ดวงวิมุตติญาณทัสสนะ เป็นชุดที่ ๒ และในที่สุดก็เข้าถึงกายทิพย์ที่อยู่ภายใน ทําไปอย่างนี้เรื่อย ๆ จนกระทั่งเข้าถึงกายรูปพรหม ถึงกายอรูปพรหมและก็เข้าถึงกายธรรม 

 


                กายธรรมนั่นแหละคือพุทธรัตนะ ในกลางกายธรรมมีดวงธรรมรัตนะอยู่ กลางธรรมรัตนะนั้น ก็มีกายธรรมละเอียดเรียกว่าสังฆรัตนะ ซ้อนกันอยู่ภายในอย่างนี้เข้าไปเรื่อย ๆ ๓ อย่างนี้แหละเป็นสรณะที่พึ่งที่ระลึกอย่างแท้จริง เพราะฉะนั้นท่านที่มาใหม่นะจ๊ะ เมื่อเราได้ตั้งใจมาในวันนี้แล้ว ต้องนับว่าเป็นบุญลาภของเรา ที่เราจะได้มีโอกาสมาศึกษากิจในทางพระพุทธศาสนา ซึ่งเป็นเรื่องราวที่สำคัญเกี่ยวกับชีวิตของเราทีเดียว ถ้าหากเรายังไม่รู้จักว่าสรณะนั้นเป็นอย่างไร อยู่ที่ตรงไหน จะเข้าถึงด้วยวิธีการใดแล้ว ชีวิตเราก็จะมีแต่ความทุกข์ทรมานน่ะ แต่ถ้าหากว่าเรารู้จักรู้วิธีแล้ว ไม่ช้าเราก็จะเข้าถึงความสุขที่แท้จริงภายใน วิธีที่จะเข้าถึงต้องหยุดนิ่งอย่างเดียวนะจ๊ะ 

 


                สำหรับท่านที่มาใหม่น่ะ ใจที่แวบไปแวบมาน่ะ คิดไปในเรื่องราวต่าง ๆ ฝึกให้มาหยุดนิ่งอยู่ในกลางกาย ตรงกึ่งกลางกายตรงฐานที่ ๗ เหนือสะดือขึ้นมา ๒ นิ้วมือ โดยการสมมติว่าเราหยิบเส้นด้ายขึ้นมา ๒ เส้น เส้นหนึ่งขึงให้ตึงจากสะดือทะลุหลัง อีกเส้นหนึ่งขึงจากด้านขวาทะลุด้านซ้าย ให้เส้นด้ายทั้ง ๒ ตัดกันเป็นกากบาท จุดตัดเล็กเท่ากับปลายเข็ม ตรงนี้เรียกว่าศูนย์กลางกายฐานที่ ๖ ให้สมมติเอานิ้วชี้กับนิ้วกลางวางซ้อนกัน แล้วนำไปทาบตรงจุดตัดของเส้นด้ายทั้ง ๒ สูงขึ้นมา ๒ นิ้วมือเรียกว่าศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ตรงนี้แหละเป็นที่สิงสถิตของรัตนะทั้ง ๓ เมื่อเรามีความปรารถนาที่จะให้เข้าถึงรัตนะทั้ง ๓ จะต้องเอาใจมาหยุดอยู่ที่ตรงฐานที่ ๗ ตรงนี้นะจ๊ะ 

 


                สำหรับท่านที่มาใหม่ เอาใจของเรามาหยุดมานั่งอยู่ที่ตรงนี้เนี่ย อย่างสบาย ๆ ให้ใจหยุด ให้ใจนิ่ง ให้ใจใส ให้ใจสบาย ทำใจให้เบิกบานให้แช่มชื่น หยุดอยู่ที่ตรงนี้เนี่ยอย่างเดียว แต่ถ้าหากว่ามันมีความคิดผ่านเข้ามาในใจ มีเรื่องราวต่าง ๆ ผ่านเข้ามาในใจน่ะ ก็ให้ภาวนา สัมมาอะระหัง ๆ ๆ ภาวนาสัมมาอะระหังอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ โดยให้เสียงคำภาวนาดังออกมาจากจุดกึ่งกลางกายฐานที่ ๗ นะจ๊ะ ให้คำภาวนาสัมมาอะระหังดังออกมาจากจุดกึ่งกลางกายฐานที่ ๗ นี่ถ้าหากว่ามีความคิดฟุ้งนะ มีความคิดอื่นเข้ามาในใจน่ะ ก็ให้ภาวนาอย่างเนี้ยะไปเรื่อย ๆ จะกี่หมื่นกี่แสนครั้งก็ตามเถอะ ก็ภาวนาไปอย่างสบาย ภาวนาไปเรื่อย ๆ จนกว่าใจของเราไม่อยากจะภาวนา อยากจะนิ่งเฉย ๆ ถ้าเกิดความรู้สึกอย่างนี้ เราก็ให้นิ่งเฉย ๆ นิ่งไปเรื่อย ๆ นี่กรณีที่ใจของเรายังฟุ้งนะจ๊ะ 


 

                แต่ถ้าหากว่าภาวนาก็แล้ว ใจก็ยังฟุ้งอีก เราก็จะต้องเพิ่มบริกรรมนิมิตเข้าไปอีกคือระหว่างภาวนาสัมมาอะระหังไปเรื่อย ๆ อย่างสบาย ๆ ให้ใจของเราเนี่ยตรึกนึกถึงดวงใส ๆ ดวงแก้วใส ๆ หยุดไปที่จุดกึ่งกลางของความใสบริสุทธิ์ของดวงแก้ว คือให้นึกถึงภาพดวงแก้วไปด้วย ขนาดใหญ่เล็ก ก็แล้วแต่ใจของเราชอบ เป็นดวงแก้วใส ๆ ที่กลางกาย ตรงตำแหน่งที่เรามีความมั่นใจว่าตรงนี้แหละคือฐานที่ ๗ แล้วก็ภาวนาสัมมาอะระหังเรื่อยไปเลย ภาวนาไปพร้อมกับนึก นึกถึงดวงแก้วใส ๆ บริสุทธิ์คู่กันไปอย่างนี้ จะทำให้เราเอาชนะความฟุ้งหรือความคิดต่าง ๆ ได้ ใจของเราก็จะไม่ไปเผลอคิดไปในเรื่องราวต่าง ๆ จะอยู่กับคำภาวนาสัมมาอะระหัง กับจะอยู่กับบริกรรมนิมิตคือดวงแก้วใส ๆ 

 


                แต่ถ้าใครนึกถึงภาพดวงแก้วไม่ออก เพราะไม่เคยเห็น จะนึกถึงภาพพระพุทธรูปก็ได้นะจ๊ะ ให้นึกเป็นพระแก้วใส ๆ แทนดวงแก้วก็ได้ พระที่เราเคารพกราบไหว้บูชา ถ้าไม่มีพระแก้วจะนึกถึงพระพุทธรูปที่ทำด้วยโลหะหรือด้วยวัสดุอะไรก็ได้ แต่ให้ท่านนั่งขัดสมาธิ หันหน้าออกไปทางเดียวกับตัวของเราอยู่ในกลางกาย ให้ทำอย่างนี้นะจ๊ะ จะช่วยให้เราหายฟุ้ง หายคิดไปในเรื่องราวต่าง ๆ ที่จริงความฟุ้งก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคอะไรหรอก ถ้าเราเข้าใจ แค่เราไม่ไปสนใจมันน่ะ ท่าเฉย ๆ แล้วก็ทําอย่างที่หลวงพ่อแนะอย่างนี้ ไม่ช้าใจของเราก็จะหยุดนิ่งเอง จะหยุดนิ่งอยู่ที่กลางกาย จะนิ่งเฉย พอใจนิ่งแล้วไม่ช้าก็จะเริ่มโล่ง เริ่มโปร่ง เริ่มเบาสบายอย่างแท้จริง เป็นความสบายที่เราไม่เคยเจอมาก่อน เป็นรางวัลสำหรับการที่เราเอาชนะความฟุ้งได้ 

 


                นี่คือความสําเร็จในขั้นหนึ่ง มันจะโล่ง มันจะโปร่ง มันจะเบา มันจะสบายไปเรื่อย ๆ และต่อไปเมื่อเรารักษาอารมณ์นี้อย่างต่อเนื่อง แสงสว่างก็จะค่อย ๆ บังเกิดขึ้นในกลางหยุดนิ่ง ตั้งแต่สว่างน้อย ๆ เหมือนฟ้าสาง ๆ ตอนตีห้าในฤดูร้อนน่ะ แล้วมันก็จะค่อย ๆ สว่างขึ้น ๆ ไปเอง สว่างจนกระทั่งเหมือนดวงอาทิตย์ ผุดขึ้นมาในยามรุ่งอรุณค่อย ๆ สว่างขึ้น ๆ กระทั่งถึงความสว่างขนาดดวงอาทิตย์ตอนเที่ยงวัน สว่างไปเองน่ะ ถ้าเราทำใจให้หยุดให้นิ่ง ให้เฉย ๆ ต่อไปอีกโดยไม่ให้มีความคิดหรือคำถามอะไรน่ะบังเกิดขึ้น ในตอนนี้ดวงธรรมก็จะปรากฏเกิดขึ้นมาเป็นจุดสว่างเล็ก ๆ เหมือนดวงดาวในอากาศ หรือโตใหญ่ขนาดพระจันทร์ในคืนวันเพ็ญ หรือโตใหญ่ขนาดพระอาทิตย์ตอนเที่ยงวัน เป็นดวงธรรมที่ใสบริสุทธิ์บังเกิดขึ้นในกลางใจหยุดนิ่ง 

 


                ดวงธรรมต่าง ๆ กายต่าง ๆ พระธรรมกายที่อยู่ภายใน ล้วนแต่เป็นสิ่งที่มีอยู่แล้วดั้งเดิม ไม่ใช่เป็นสิ่งที่เราสมมติหรือสร้างมันขึ้นมา แต่ว่ามีความละเอียดที่แตกต่างกันไป เมื่อใจของเราละเอียดได้ในระดับไหน เราก็เข้าถึงในระดับนั้น พอเข้าถึงตรงไหนเราก็เห็นตรงนั้น เช่นเข้าถึงดวงธรรมใจละเอียดเท่าดวงธรรมเราก็เห็นดวงธรรม กลมใสบริสุทธิ์ ถ้าหากใจละเอียดเท่ากับกายภายในเช่นกายมนุษย์ละเอียด กายทิพย์ พรหม หรือกายอรูปพรหม เมื่อเรามีความละเอียดเท่ากันเราก็เข้าถึงกายเหล่านั้น ถ้าเราละเอียดเท่ากับความละเอียดของพระธรรมกาย เราก็จะเข้าถึงพระธรรมกาย เห็นพระธรรมกายชัดใสแจ่มทีเดียว เป็นองค์พระเกตุดอกบัวตูมใสเป็นแก้ว เพราะฉะนั้นดวงธรรมก็ดี กายต่าง ๆ ก็ดี พระธรรมกายภายในก็ดี ล้วนมีอยู่แล้วทั้งหมด ซ้อนกันอยู่ภายใน ต่างแต่ความหยาบละเอียดกว่ากันเท่านั้น

 


                เพราะฉะนั้นเมื่อใจของเราละเอียด ด้วยวิธีการทำหยุดทำนิ่งอย่างนี้ เราก็จะเข้าถึง เมื่อเข้าถึงยิ่งละเอียดเข้าไปเท่าไหร่ ยิ่งมีความสุขเพิ่มขึ้น ๆ เพิ่มขึ้น ๆ ไปเรื่อย ๆ เลย ความสุขที่เข้าถึงดวงธรรมสุขในระดับหนึ่ง ความสุขที่เข้าถึงกายภายในก็อีกระดับหนึ่ง ที่สุขเพิ่มขึ้น ปริมาณมากขึ้น ปราณีตเพิ่มขึ้น ความสุขที่เข้าถึงกายธรรม ก็อีกระดับหนึ่ง ที่เพิ่มขึ้นในทุก ๆ ด้านทีเดียวน่ะ สุขเพิ่มขึ้น ๆ เพิ่มขึ้นไปเรื่อย ๆ นะจ๊ะ เพราะฉะนั้นท่านที่มาใหม่นี่ ต้องให้เข้าใจให้ดีนะจ๊ะ กลับไปบ้านแล้วก็ไปฝึกใจให้หยุดให้นิ่ง นี่เป็นกิจที่ควรทำสำหรับ การได้เกิดมาเป็นมนุษย์  

 


                เพราะเราเกิดมานี้เป้าหมายของเรา หรือสิ่งที่เราแสวงหานั้นคือสรณะภายในได้แก่ พุทธรัตนะ ธรรมรัตนะ สังฆรัตนะ เมื่อเราเข้าถึงแล้วชีวิตของเราก็จะสมบูรณ์ ถ้าหากว่าเราเข้าไม่ถึงชีวิตของเราก็ไม่ต่างจากนกกาต่าง ๆ ตื่นเช้าก็ร้องกา ออกไปทํามาหากิน กลับมาก็นอนพักผ่อนนอน วนเวียนกันไปอย่างนี้ จนกระทั่งแก่ชรา แล้วตายไปในที่สุด อย่างนี้เรียกว่าเกิดมาแล้วตายฟรี ชีวิตนี้ไม่มีประโยชน์อะไร แต่ชีวิตจะมีประโยชน์นั้นจะต้องเป็นชีวิตที่แสวงหาสิ่งที่เป็นสรณะที่แท้จริง เราจะได้พ้นจากความทุกข์ทั้งหลายเนี่ย เข้าถึงสรณะทั้ง ๓ อย่างนี้ไปเรื่อย ๆ เมื่อเราเข้าถึงสรณะทั้ง ๓ แล้ว ความเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานแล้ว ย่อมบังเกิดขึ้นแก่เรา 

 


                เราจะรู้เรื่องราวเกี่ยวกับชีวิตของตัวของเราทีเดียวว่า เรามาจากไหนน่ะ ก่อนมาเกิดนี้มาจากไหน มาทำไม อะไรคือเป้าหมายของชีวิต เราจะเป็นผู้รู้แจ้ง เมื่อเราเห็นแจ้งด้วยธรรมจักขุของพระธรรมกาย เป็นผู้รู้ เราจะเป็นผู้อื่น สดชื่นเบิกบานอยู่เสมอ ตื่นจากความฝัน ตื่นจากโลกแห่งมายา เราจะเป็นผู้เบิกบานแล้วอยู่ตลอดเวลา และยิ่งถ้าเราทําหยุดทำนิ่งให้ละเอียดต่อไปอีก ละเอียดเข้าไปเรื่อย ๆ เราก็จะยิ่งมีความรู้ได้กว้างขวางออกไปอีก กว้างขวางไปเลย จะรู้เรื่องราวของตัวเราเอง ว่าเราเกิดมาเพื่อแสวงหาที่สุดแห่งธรรม ถ้ายังไปไม่ถึงที่สุดแห่งธรรม ก็ยังเป็นบ่าวเป็นทาสของพญามารเค้า เดี๋ยวเค้าบังคับให้เราโลภมั่ง โกรธมั่ง หลงมั่ง บังคับให้ทำความชั่วมั่ง แล้วก็ให้มีวิบาก ให้มีผลของกรรมวนเวียนกัน อยู่อย่างนั้นเรื่อยไปเลย 

 


                เมื่อเราละเอียดเข้าไปเรื่อย ๆ ถึงในระดับหนึ่ง เราจะรู้เลยว่าเราจะต้องไปให้ถึง ที่สุดแห่งสายธาตุสายธรรมของเราให้ได้ ถ้าไปไม่ถึงเราก็ยังมีที่พึ่งอย่างแท้จริง ที่สมบูรณ์ยังไม่ได้ ยังจะต้องเป็นบ่าวเป็นทาสเค้าต่อไป มันจะละเอียดเข้าไปเรื่อย ๆ อย่างนี้นะจ๊ะ เอาใจของเราให้หยุดนิ่ง ให้หยุดในหยุด ๆ ลงไปที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ อย่างสบาย ๆ ให้หยุดนิ่ง ๆ อย่างสบาย ๆ เอาใจหยุดในหยุด ๆ ๆ หยุดลงไปตรงกลาง ตรงกลางกายนะ ตรงจุดที่เรามีความมั่นใจว่าเป็นฐานที่ ๗ นะจ๊ะ สำหรับท่านที่มาใหม่ ใครเข้าถึงดวงธรรมก็ให้เอาใจหยุดไปที่กลางดวงธรรม ใครเข้าถึงกายมนุษย์ละเอียด ก็ให้เอาใจหยุดไปที่กลางกายมนุษย์ละเอียด ใครเข้าถึงกายทิพย์ก็ให้เอาใจหยุดไปที่กลางกายทิพย์ ใครที่เข้าถึงกายรูปพรหมก็เอาใจหยุด ไปที่กลางกายรูปพรหม ใครที่เข้าถึงกายอรูปพรหมก็เอาใจหยุดไปที่กลางกายอรูปพรหม ใครที่เข้าถึงกายธรรมก็เอาใจหยุดลงไปในกลางกายธรรม 

 


                ให้ใจหยุดในหยุด ๆ ๆ หยุดลงไปตรงกลางนะจ๊ะ อย่างสบาย ๆ น่ะ อย่าไปลุ้น อย่าไปเร่ง อย่าไปเพ่ง อย่าไปจ้อง อย่าไปสะกดจิตบังคับใจหรือตั้งใจมากเกินไป ให้หยุดนิ่งเฉยอย่างสบาย ๆ ใครที่เข้าถึงองค์พระในองค์พระได้ เห็นองค์พระผุดขึ้นมาทีละองค์ ๆ ๆ เราก็ดูไปเรื่อย ๆ อย่างสบาย ๆ บางท่านผุดขึ้นมาทีละเป็นชุด ๆ เลย ทีละหลาย ๆ องค์ เราก็มองดูไปให้ใจหยุดนิ่งไปอย่างเดียว ใครที่องค์พระผุดเกิดขึ้นมาเป็นสาย ไม่ขาดสายเลยอย่างต่อเนื่อง อย่างต่อเนื่องไม่ขาดสายเลยน่ะ ก็เอาใจหยุดนิ่งไปตรงนั้นนะจ๊ะ หยุดอย่างสบาย ๆ น่ะ ทำใจเย็น ๆ มองดูการบังเกิดขึ้น ของพระธรรมกายที่ผุดผ่านมาในกลางกายของเราน่ะ ผุดผ่านมาในกลางท่านมาพร้อมกับความสุข มาพร้อมกับความบริสุทธิ์ มาพร้อมกับความรู้แจ้ง ทั้งอานุภาพต่าง ๆ ทั้งหมด 

 


                เราก็หยุดดูอย่างสบาย ๆ คำว่าหยุดคือดูไปเฉย ๆ ตรงกลางตรงนั้น ไม่ใช่หยุดนิ่งอยู่กับที่ หยุดภายในนี้ต่างจากหยุดภายนอก ยิ่งใจหยุดจะยิ่งเห็นอาการเกิดขึ้นภายใน เคลื่อนเข้าไป ถ้าเปรียบร่างกายเหมือนกับสรีระยนต์ เหมือนเครื่องยนต์เหมือนรถยนต์น่ะ รถยนต์ที่เคลื่อนได้ด้วยการเหยียบคันเร่ง แต่สรีระยนต์ จะเคลื่อนเข้าไปสู่ภายในน่ะ เคลื่อนได้ด้วยการหยุด พอใจหยุดอยู่ตรงกลางสบาย ๆ เดี๋ยวมันก็จะเคลื่อนเข้าไปข้างในธรรมกายก็จะผุดซ้อน ๆ ผ่าน ผุดผ่านมาในกลางนั้นน่ะ ยิ่งหยุดได้สนิทนิ่งแน่น ไม่ง่อนแง่นไม่คลอนแคลน ยิ่งนิ่งแน่นเข้าไปเรื่อย ๆ ก็ยิ่งเร็วแรง คือพระธรรมกายที่ผุดซ้อนขึ้นมาจะยิ่งเร็วขึ้น แรง มี Power มีอานุภาพ แต่เป็นความเร็วแรงที่ต่างจากข้างนอก ข้างนอกรถวิ่งเร็วเรามองเห็นของข้างทาง สิ่งของข้างทางไม่ค่อยชัดเท่าไหร่ ยิ่งเร็วยิ่งหวาดเสียว แต่ภายในยิ่งเร็วยิ่งชัด แปลกตรงนี้ ยิ่งเร็วยิ่งมีความสุข ยิ่งเร็วยิ่งอบอุ่น ยิ่งเร็วยิ่งเบิกบาน ใจของเราจะขยายกว้างออกไป ไปเรื่อย ๆ เลย พระธรรมกายท่านก็โตใหญ่ขึ้นไปเรื่อยเลย องค์ใหม่ผุดแทนที่องค์เก่า ซ้อน ๆ ๆ อยู่ภายในน่ะ 

 


                หลวงพ่ออยากให้ลูกทุกคนเข้าถึงตรงนี้กันจังเลย พยายามที่จะแนะนำหาวิธีการว่าทางไหน เป็นทางลัดที่จะเข้าถึง เพราะอยากให้มีความสุข อยากให้มีความบริสุทธิ์ อยากให้รู้แจ้งเห็นแจ้งเกี่ยวกับเรื่องตัวของเรา และสรรพสิ่งทั้งหลาย รวมทั้งเป้าหมายของชีวิตด้วย มีความอยากจังเลยเนี่ย อยากให้เข้าถึง แต่ลูก ๆ ทั้งหลายมักจะไม่ค่อยร่วมมือ คือมักจะเกียจคร้านน่ะ จะมีข้ออ้างข้อแม้และเงื่อนไขผัดผ่อนกันไปเรื่อย ๆ หรือทำก็ไม่ได้จริง ๆ จัง ๆ อะไรเนี่ย ทำก็ทำไปอย่างนั้น ไม่ได้มีความปรารถนาที่จะเข้าถึงตรงนี้ ทั้ง ๆ ที่เป็นเรื่องเกี่ยวกับตัวของเรา เป็นความสำคัญของชีวิตทีเดียวทั้งในโลกนี้และหลังจากที่ละโลกไปแล้ว เราต้องตายกันหมดนะจ๊ะ ที่อยู่ในที่นี้เนี่ย หมดทุกคนเลย ไม่มีเหลือหรอก ควรจะหาที่พึ่งเอาไว้นะ เกิดมาทั้งที มันต้องเข้าถึงที่พึ่ง ต้องรู้เรื่องราวของตัวเราเอง ว่าเรามาจากไหน มาทำไม อะไรคือเป้าหมายที่แท้จริง ต้องให้ไปรู้ไปเห็นให้ได้  เมื่อรู้เห็นแล้วเราก็ต้องมุ่งเอาชีวิตเป็นเดิมพันทีเดียว มุ่งไปให้ถึงที่สุด อย่าไปมันเพลินกับทางโลกน่ะมากเกินไป มันมีแต่สิ่งที่จะทำให้เราเพลิน 

 


                พระพุทธเจ้าท่านใช้คำว่าสิ่งที่ทำให้เนิ่นช้าน่ะ มันมีอยู่ เพลินไปเรื่อย ๆ ที่จริงควรจะมีเป้าหมายประกอบสัมมาอาชีวะ ให้เป็นมหาเศรษฐีผู้ใจบุญ รวบรวมสมบัติของโลกให้ได้ แล้วเอามาใช้สร้างบารมีน่ะ ช่วยกันสนับสนุนขยายงานพระศาสนาวิชชาธรรมกายให้ไปทั่วโลก ให้ชาวโลกเค้าได้เข้าถึงและส่วนตัวเองก็ต้องพยายามฝึกฝนขวนขวายเอาจริงเอาจังกันให้เข้าไปถึงภายในให้ได้ ไม่ใช่ว่าปากหรือใจเราอยากจะเข้าถึงความสุขที่แท้จริง แต่ได้แต่บ่นเพ้อร่ำเพ้อพิไรรำพันกันไปอย่างนั้น ไม่ค่อยเอาจริงกัน เพราะฉะนั้นวันนี้เป็นต้นไปนะจ๊ะ ให้วันนี้เป็นวันเริ่มต้นที่เราจะเอาจริงเอาจังกันซะทีนึง นี่ให้เข้าใจกันอย่างนี้นะจ๊ะ หลวงพ่อเสียดายเวลาของลูกๆ ทุกคนเลย 

 


                เพราะฉะนั้นเมื่อเข้าใจอย่างนี้แล้ว ตอนนี้เราก็เอาใจหยุดนิ่งให้ดีตรงกลาง ใส พวกเราก็อธิษฐานจิตตามใจชอบนะจ๊ะ ในขณะที่กระแสธารแห่งบุญได้บังเกิดขึ้นมาในกลางของกลางนี้นะ อธิษฐานจิตของเราให้ดีว่าให้เรานี่มีพลังบุญพลังบารมี สร้างธรรมกายเจดีย์นี่ให้สำเร็จให้ได้ โดยลำพังนี่น่ะพวกลูก ๆ ทุก ๆ คนมีกำลังบุญน่ะ มากอยู่แล้ว แต่ว่าความเกรงใจน่ะมันมาขวาง มันมาบดบังอยู่ หรือความไม่สู้มันมาบดบังอยู่มันก็เลย ทำให้เราสร้างบารมีไม่สะดวก อย่างวันนี้เนี่ยมาประชุมพร้อมกันเป็นหมื่นคน ถ้าแต่ละคนแค่ไปชักชวนหมู่ญาติมิตร ผู้ที่เป็นที่รักแค่เดือนละ ๑๐ องค์นะ ๑๐ คน หลวงพ่อว่าไม่เกิน ๑ ปีนี่เราสร้างธรรมกายเจดีย์นี่สำเร็จหมด ถ้าอาศัยความตั้งใจที่จะเป็นยอดกัลยาณมิตรไปพูดไปแนะไปชักชวนเค้าน่ะ มันต้องสำเร็จอย่างอัศจรรย์ทีเดียว

 


                โดยประการแรกเราก็นั่งธรรมะนึกถึงบุญ พอนึกถึงบุญแล้วเราก็นึกถึงชื่อนึกถึงหน้าบุคคลที่เราควรจะไป พอนึกได้แล้วก็แผ่เมตตาไปยังบุคคลเหล่านั้นน่ะ ตั้งความปรารถนาดีขอให้เค้ามีกุศลศรัทธาเช่นเดียวกับเราและก็เดินทางไปหาเค้า จะโทรศัพท์ก็ได้หรือจะเดินทางไปหาเค้า มีจดหมายเขียนจดหมาย เดินไปได้เราก็เดินไป ขึ้นรถได้ขึ้นยานพาหนะได้เราก็ไป ใช้โทรศัพท์ได้เราก็โทร ชักชวนกันอย่างอย่างนี้ไม่เกิน ๖ ปี ธรรมกายเจดีย์นี่ก็สำเร็จแล้ว อย่าว่าแต่ธรรมกายเจดีย์องค์เดียวเลย จะซัก ๑๐ องค์ก็สำเร็จ ถ้าลูก ๆ ทุกคนตั้งใจที่จะสร้างบารมีกันอย่างเต็มที่เพราะพลังบุญพลังบารมีจากพระนิพพานนะ ท่านถ่ายทอดลงมาอยู่ตลอดเวลาอยู่แล้วน่ะ เป็นแต่เพียงว่าเรามีบุญ แต่ว่าเรายังใช้บุญกันไม่เป็น ยังไม่เต็มที่ ยังไม่เต็มกำลังกัน

 


                เพราะฉะนั้นหลวงพ่อก็ถือโอกาสบอกให้ลูก ๆ ทุกคนได้รับทราบด้วยนะจ๊ะ ในขณะที่กระแสธารแห่งบุญกำลังบังเกิดขึ้นนี้เนี่ย ให้ลูกทุกคนตั้งใจสร้างธรรมกายเจดีย์นี้ให้สำเร็จเป็นอัศจรรย์ให้ได้ คำว่าเป็นอัศจรรย์ก็หมายความว่า สำเร็จขนาดที่พอเราเห็นแล้วเรารู้สึกปลื้มปิติเป็นสุขเบิกบาน ขนลุกชูชั้นทีเดียว ว่าเสร็จได้อย่างรวดเร็วได้อย่างไร เป็นอัศจรรย์ที่แม้แต่ตัวของเราเองยังคาดไม่ถึง มันต้องทำกันอย่างนี้นะจ๊ะ ความสำเร็จมันถึงจะเกิดขึ้น เพราะฉะนั้นตอนนี้ให้ลูก ๆ ทุกคนตั้งใจอธิษฐานจิตกันให้ดีเลย ว่าต่อจากนี้เป็นต้นไปเราจะสร้างธรรมกายเจดีย์ให้สำเร็จเป็นอัศจรรย์ให้ได้ อธิษฐานกันทุกๆ คนนะจ๊ะ 

 

 

 

 

 

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล Total Execution Time: 0.024291364351908 Mins