ศูนย์รวมผู้มีบุญ
๗ พฤษภาคม ๒๕๓๘
พระธรรมเทศนาเพื่อการปฏิบัติธรรม วัดพระธรรมกาย
โดย... พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (หลวงพ่อธัมมชโย)
เมื่อเราบูชาพระรัตนตรัยกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว ต่อจากนี้ขอให้ทุกคนตั้งใจให้แน่แน่วประพฤติปฏิบัติธรรมให้เข้าถึงพระธรรมกายกันทุก ๆ คนนะจ๊ะ สำหรับท่านที่มาอย่างสม่ำเสมอ เข้าใจวิธีการปฏิบัติอย่างดีแล้วก็ให้ลงมือปฏิบัติธรรมได้เลย ส่วนท่านที่มาใหม่ให้นึกน้อมใจตามเสียงของหลวงพ่อไปทุก ๆ คนนะจ๊ะ ให้นั่งขัดสมาธิ โดยเอาขาขวาทับขาซ้าย มือขวาทับมือซ้าย ให้นิ้วชี้ของมือข้างขวาจรดนิ้วหัวแม่มือข้างซ้าย วางไว้บนหน้าตักพอสบาย ๆ กันนะจ๊ะ หลับตาของเราเบา ๆ หลับพอสบายคล้าย ๆ กับเรานอนหลับ อย่าไปบีบหัวตา อย่ากดลูกนัยน์ตา ให้หลับพอสบาย ๆ นะจ๊ะ ขยับเนื้อขยับตัวของเราให้ดี กะคะเนให้เลือดลมในตัวของเราเดินได้สะดวก เราจะได้ไม่ปวดไม่เมื่อยกัน
นี่เป็นท่านั่งมาตรฐานที่หลวงพ่อวัดปากน้ำภาษีเจริญท่านได้จำลองแบบมาจากพระธรรมกายในตัวที่ท่านได้เข้าถึง เพราะฉะนั้นนี่เป็นแบบแผนมาตรฐานนะจ๊ะ แบบเดียวกับที่พระธรรมกายภายในในกายของเราน่ะ ท่านนั่งอย่างนี้ ท่านที่มาใหม่จำไว้ให้ดีนะจ๊ะ แต่เวลาเรากลับไปที่บ้าน เราอาจจะนั่งท่านี้ใหม่ ๆ ได้ไม่นานเท่าไหร่ ไม่ค่อยถนัด เราก็ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงวิธีการนั่ง ให้นั่งอยู่ในท่าที่สบาย ๆ แต่ต้องรู้จักกับท่านั่งมาตรฐานที่นั่งแบบเดียวกับพระธรรมกายภายในนะจ๊ะ จำแบบนี้ไว้ให้ดี นั่งไปนาน ๆ ถ้าหากปวดเมื่อยเราก็ขยับเนื้อขยับตัวได้ ให้อยู่ในอริยาบถที่สบาย เพราะความสบายเป็นสิ่งสำคัญที่จะนำใจของเราให้เข้าถึงธรรมภายใน
ถ้าหากกายไม่สบาย ใจไม่สบาย ตึงเกินไปมั่ง กล้ามเนื้อเกร็งหรือเครียด พลอยให้ผลการปฏิบัติธรรมนั้นมันได้รับไม่เต็มที่เพราะฉะนั้นอย่าดูเบานะจ๊ะตั้งแต่เริ่มนั่งเนี่ยะ เราเสียเวลากันมานาน ๆ สำหรับท่านที่นั่งมานานแล้วน่ะก็เพราะว่าดูเบาเกี่ยวกับท่านั่งการนั่งหรือการทำใจตั้งแต่เบื้องต้น คือนึกคิดว่ามันไม่มีอะไร เลยดูเบาไป ที่จริงความสำคัญมันก็มีทุกขั้นตอนตั้งแต่เบื้องต้นเรื่อยไปเลย ถ้าทำถูกต้องตั้งแต่เบื้องต้น การปฏิบัติธรรมต่อไปมันก็ง่าย เพราะการเข้าถึงพระธรรมกายภายในนั้นน่ะเป็นสิ่งที่เราคาดไม่ถึงทีเดียว เรามักจะเข้าใจว่าเป็นสิ่งที่ยากเหลือวิสัย เพราะฉะนั้นเวลาลงมือปฏิบัติธรรมกันจริง ๆ ก็ตั้งใจกันเป็นพิเศษ เอาจริงเอาจังกัน เพราะฉะนั้นมันก็เลยได้ผลไม่เต็มที่ เพราะร่างกายเกิดอาการเกร็งหรือเครียด อารมณ์ก็ไม่สบาย อารมณ์สบาย จึงเป็นสิ่งที่สำคัญ
การเข้าถึงพระธรรมกายนั้นอาศัยใจหยุดใจนิ่งอย่างเดียวเท่านั้น ใจจะหยุดจะนิ่งได้ต้องสบาย ร่างกายผ่อนคลาย จิตใจสบาย ปลอดโปร่ง อย่างนี้ถึงจะเข้าถึงได้ เพราะฉะนั้นท่านที่มาใหม่ศึกษาให้เข้าใจนะจ๊ะ เวลาเรากลับไปอยู่ที่บ้านจะได้ทำได้ถูกต้อง การเข้าถึงนั้นมันขึ้นอยู่กับวิธีการน่ะ ถ้าทำได้ถูกต้องแล้วมันก็จะได้ผลอย่างที่เราปรารถนา ได้ผลเช่นเดียวกับที่คนอื่นเค้าได้กัน เพราะฉะนั้นตอนนี้เราปรับร่างกายของเราให้ผ่อนคลาย จนกระทั่งเรามีความรู้สึกว่าจะนั่งไปท่านี้นาน ๆ ก็ได้โดยไม่เบื่อหน่าย หลังจากนั้นก็ทำใจให้เบิกบานให้แช่มชื่น ให้สะอาด ให้บริสุทธิ์ ให้ผ่องใส ทำใจให้แช่มชื่นนะจ๊ะ ให้สะอาดให้บริสุทธิ์ให้ผ่องใส
ไม่ให้ใจผูกพันกับเรื่องอะไรทั้งสิ้น ให้ปลอดกังวลจากเรื่องการศึกษาเล่าเรียนเรื่องครอบครัว เรื่องการทำมาหากินหรือเรื่องอะไรที่นอกเหนือจากนี้ ให้ปลอดกังวลให้หมด ทำใจให้เบิกบานให้แช่มชื่น ให้สะอาดให้บริสุทธิ์ ให้ผ่องใส แผ่เมตตาแผ่ความปรารถนาดี ไปยังสรรพสัตว์ทั้งหลายที่ไม่มีประมาณ ให้สรรพสัตว์ทั้งหลายเค้าอยู่เย็นเป็นสุข หมดเวรหมดภัย ใจเราจะได้ผ่องใส ไม่มีความขุ่นมัวขัดเคืองกับใคร ๆ ทั้งสิ้น เพราะว่าเรามีความปรารถนาอยากจะให้สรรพสัตว์ทั้งหลายอยู่เย็นเป็นสุข ใจมันจะได้สบายปลอดโปร่ง
เมื่อกายสบายใจสบายดีแล้ว ต่อจากนี้ไปก็ทำใจให้หยุดให้นิ่ง หยุดนิ่งอยู่ตรงกลางกาย หยุดนิ่งอยู่ที่กลางกายฐานที่ ๗ กลางกายฐานที่ ๗ นั้นอยู่เหนือสะดือขึ้นมา ๒ นิ้วมือ สมมติว่าเราหยิบเส้นด้ายขึ้นมา ๒ เส้น นำมาขึงให้ตึง เส้นหนึ่งขึงจากสะดือทะลุหลัง อีกเส้นหนึ่งขึงจากด้านขวาทะลุไปด้านซ้าย ให้เส้นด้ายทั้ง ๒ ตัดกันเป็นกากบาท จุดตัดเล็กเท่ากับปลายเข็ม เหนือจุดตัดนี้ขึ้นมา ๒ นิ้วมือ เรียกว่าศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ เหนือจากจุดตัดของเส้นด้ายทั้ง ๒ ขึ้นมา ๒ นิ้วมือเรียกว่าศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ เมื่อหลวงพ่อพูดถึงฐานที่ ๗ ท่านที่มาใหม่ก็ให้ทำความเข้าใจเอาไว้ว่าหลวงพ่อหมายถึงตรงนี้นะจ๊ะ ตำแหน่งที่เหนือจากจุดตัดของเส้นด้ายทั้ง ๒ ขึ้นมา ๒ นิ้วมือ สมมติเราเอานิ้วชี้กับนิ้วกลางวางซ้อนกัน นำไปทาบตรงจุดตัดของเส้นด้ายทั้ง ๒ สูงขึ้นมา ๒ นิ้วมือนั่นแหละฐานที่ ๗
ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ เป็นที่ที่เราจะต้องเอาความเห็น ความจำ ความคิด ความรู้ ๔ อย่างรวมหยุดเป็นจุดเดียวกันตรงฐานที่ ๗ สี่อย่างนี้รวมกันเรียกว่าใจ เห็น จำ คิด รู้ รวมหมดเป็นจุดเดียวกัน ทำความรู้สึกอยู่ที่ตรงนี้นะจ๊ะ ตรงฐานที่ ๗ แต่ในแง่ของการปฏิบัติจริง ๆ แล้ว อย่ากังวลกับฐานที่ ๗ นี่มากเกินไป คือบางท่านอาจจะกังวลว่ามันตรงไหม ถูกต้องไหม พอดีกับฐานที่ ๗ รึเปล่า ไม่ต้องกังวลมากไปถึงขนาดนั้นนะจ๊ะ แต่ว่าตำแหน่งของฐานที่ ๗ นั้นเราจะต้องรู้จักว่ามันอยู่ที่ตรงไหน นี่เป็นสิ่งที่สำคัญ เมื่อเรารู้จักแล้ว เราก็เอาใจของเรามาหยุดอยู่ที่ตรงนี้ ถ้าจำง่าย ๆ ก็หยุดอยู่ในกลางท้อง จำง่าย ๆ นะจ๊ะ
เวลาใจมันหยุดจริง ๆ นี่มันถึงจะเห็นฐานที่ ๗ เมื่อเข้าถึงฐานที่ ๗ จริง ๆ จะเห็น มันจะอยู่ตรงนั้นพอดี แต่เวลาเมื่อเราเริ่มปฏิบัติใหม่ ๆ เราก็เอาใจวางไว้กลางท้อง แล้วก็ทึกทักเอา สมมติเอาว่าตรงนี้แหละเป็นฐานที่ ๗ แล้ว แล้วก็ทำใจให้หยุดให้นิ่งอย่างเดียว ไม่ต้องทำอะไรเลย ทำใจให้หยุดให้นิ่งอย่างเบา ๆ สบาย ๆ ตรงกลางกายฐานที่ ๗ กลางท้องของเราตรงนี้นะจ๊ะ หยุดนิ่งเท่านั้นจึงจะเป็นตัวสำเร็จ ให้เข้าถึงดวงธรรมภายใน ตั้งแต่ดวงปฐมมรรคเรื่อยไปเลย จนกระทั่งเข้าถึงพระธรรมกายต้องหยุดอย่างเดียว ไม่ต้องทำอย่างอื่นเลย ไม่ต้องไปพิจารณา ไม่ต้องไปทำอะไรทั้งสิ้น ทำใจให้หยุดให้นิ่ง นิ่งในกลางกายอย่างเดียว อย่างสบาย ๆ นิ่งอย่างสบาย ๆ นะจ๊ะ วิชชาธรรมกายมีแต่หยุดกับนิ่งอย่างเดียว
เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประกอบความเพียร ท่านก็เอาใจของท่านมาหยุดนิ่งอยู่ที่กลางกายอย่างนี้แหละอย่างเดียว ไม่ได้ทำอะไรเลย หยุดนิ่งตรงกลางปล่อยวางหมดทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ติดอะไรเลย คนสัตว์สิ่งของอดีตปัจจุบันอนาคต เรื่องราวต่าง ๆ ไม่สนใจทั้งสิ้น เพราะวันนั้นท่านสละชีวิตแล้ว ไม่ได้ยอมตาย จะต้องให้เข้าถึงจุดแห่งการดับทุกข์ให้ได้ เพราะฉะนั้นใจท่านจะไม่ติดอะไรทั้งสิ้น จะหยุดนิ่งอย่างเดียว นิ่งตรงกลางเฉย ๆ ไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งถูกส่วนเข้า ยามที่ ๑ ท่านเข้าถึงความเป็นพระโสดาบันถึงกายธรรมพระโสดาบัน หน้าตัก ๕ วาสูง ๕ วา ยามที่ ๒ ถึงกายธรรมพระสกิทาคามีและก็พระอนาคามี ยามที่ ๓ ก็ได้บรรลุเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า อาศัยหยุดนิ่งอย่างเดียวเนี่ย หยุดนิ่ง ใจหยุดอย่างสบาย ๆ ที่กลางกาย
พอถูกส่วนก่อนที่จะเข้าถึงกายธรรมพระโสดาบัน ท่านก็เข้าถึงดวงธรรมเบื้องต้น คือดวงปฐมมรรคอยู่ในกลางกายของท่าน ดูแล้วเหมือนดวงดาว ดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์ อยู่ในกลางตรงนั้นน่ะ เป็นดวงกลมใส กลมรอบตัว ใสบริสุทธิ์เหมือนกับเพชรที่เจียระไนแล้ว ไม่มีขีดข่วนของขนแมวเลยน่ะ เข้าถึงดวงธรรม ดวงธรรมนี้มีอยู่แล้ว ในกลางกายของท่านน่ะ และก็มีอยู่แล้วในกลางกายของพวกเราทุกคน ท่านก็หยุดนิ่งอย่างนี้ เรื่อยไปเลยก็เข้าถึงดวงธรรม และท่านก็หยุดต่อไปเรื่อย ๆ อีก ไม่ได้ทำอะไรเลย ก็เข้าถึงดวงธรรมถัด ๆ ไปน่ะ เข้าถึงดวงศีล สมาธิ ปัญญา วิมุตติ วิมุตติญาณทัสสนะ เข้าถึงดวงธรรมชุดแรก ๖ ดวง บังเกิดขึ้นมาในกลางตรงนั้น ดวงธรรมทั้ง ๖ ชุดแรกนี้เป็นสิ่งที่มีอยู่ มีอยู่แล้วในกลางกาย ไม่ใช่เป็นสิ่งที่ทำให้บังเกิดขึ้นมา เมื่อใจละเอียดเท่ากับสิ่งนั้นก็เข้าไปถึง ไปเห็น ไปรู้ เห็นแจ้งที่เดียวว่าดวงนี้กลมรอบตัว รู้แจ้งว่าเรียกว่า ศีล สมาธิ ปัญญา วิมุตติ วิมุตติญาณทัสสนะ เนี่ยชุดแรกท่านเห็นเข้าไปอย่างเนี้ย ท่านก็ทำหยุดนิ่งอย่างเดียว อย่างสบาย ๆ อย่างเนี้ย ท่านก็ทำหยุดนิ่งอย่างเดียว อย่างสบาย ๆ
เพราะตอนนั้นใจของท่านไม่ผูกพันกับเรื่องอะไรทั้งสิ้น ไม่ได้รู้ว่าไปพระนิพพานไปถึงอย่างไร เป็นอย่างไง จะเห็นอะไร ไม่ได้รู้เรื่องไม่มีการคาดคะเน เพราะไม่รู้อะไรมาก่อนเลย ยังไม่เคยมีครูบาอาจารย์ไหนมาสอนว่าตลอดเส้นทางแผนผังของชีวิตนั้นมีอะไรอยู่ภายใน เพราะฉะนั้นท่านก็หยุดของท่านเรื่อยไป รู้เห็นด้วยตัวของพระองค์เอง รู้เห็นสิ่งที่มีอยู่แล้วในกลางกายน่ะ พอสุดดวงวิมุตติญาณทัสสนะชุดแรกน่ะ ก็เข้าถึงกายมนุษย์ละเอียด เห็นกายมนุษย์ละเอียดหน้าตาเหมือนท่าน นั่งขัดสมาธิเช่นเดียวกันหันหน้าออกไปทางเดียวกับตัว ก็หยุดอย่างนี้เข้าไปเรื่อย ๆ น่ะ คือดูไปเรื่อย ๆ ไม่ได้คิดอะไรเลย
เพราะว่าไม่รู้จะคิดไปทำไมน่ะ ก็ดูไปหยุดนิ่งไปในกลางนั้นไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งเข้าถึงดวงธรรมชุดที่ ๒ เข้าถึงกายทิพย์ เข้าถึงดวงธรรมชุดที่ ๓ เข้าถึงกายรูปพรหม เข้าถึงดวงธรรมชุดที่ ๔ เข้าถึงกายอรูปพรหม เข้าถึงดวงธรรมชุดที่ ๕ ก็เข้าถึงกายธรรมโคตรภู เข้าถึงดวงธรรมอีกชุดนึงก็เข้าถึงกายพระโสดาบัน กายธรรมพระโสดาบันหน้าตัก ๕ วา สูง ๕ วา ใสเป็นแก้วบริสุทธิ์ นั่นยามต้นถึงอย่างนี้นะจ๊ะ และท่านก็ทำอย่างนี้ของท่านเรื่อยไปเลย หยุดกับนิ่งเรื่อยไปในกลางนั้นน่ะ หยุดไปเรื่อย ยิ่งหยุดยิ่งนิ่งยิ่งเห็นชัด ยิ่งใสยิ่งสว่าง คือเห็นชัดด้วย เห็นความใสใสยิ่งกว่าเพชรเห็นความสว่างยิ่งกว่าดวงอาทิตย์ตอนเที่ยงวัน และก็รู้เรื่องราวต่าง ๆ ทั้งหมดเลย ทั้งชัด ทั้งใส ทั้งสว่าง ทั้งรู้เรื่องราวตลอด ดำเนินจิตไปอย่างนี้แหละ
หยุดนิ่งอย่างนี้เรื่อยไปเลย จนกระทั่งถึงเช้า เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นคำว่าหยุดเป็นตัวสำเร็จนี่เป็นสิ่งที่สรุปวิธีการที่จะได้บรรลุมรรคผลนิพพาน จะต้องเข้าไปกันอย่างนี้ หยุดเป็นตัวสำเร็จจึงเป็นอย่างนี้นะจ๊ะ กายต่าง ๆ ดังกล่าวแล้วเนี่ยมีอยู่ในตัวของทุกคนในโลก อยู่ซ้อน ๆ ซ้อน ๆ กันเข้าไปน่ะ กายที่ละเอียดกว่าก็ซ้อนอยู่ในกายที่หยาบกว่า ธรรมที่ละเอียดกว่าก็ซ้อนอยู่ในกลางดวงธรรมที่หยาบกว่า ซ้อนกันเข้าไปภายใน เป็นแผนผังชีวิตของมนุษย์ เราเข้าถึงธรรมดวงไหน เราก็เห็นธรรมดวงนั้น รู้แจ้งในธรรมดวงนั้น เข้าถึงกายไหนเราก็เห็นกายนั้น รู้แจ้งในกายนั้น
รู้ว่ากายไหนเป็นอัตตา กายไหนเป็นอนัตตา กายไหนเป็นอนิจจัง กายไหนเป็นนิจจัง กายไหนเป็นสุขัง กายไหนเป็นทุกขัง เห็นชัดเพราะว่าสว่าง รู้ชัดเพราะว่าเห็นชัด พอสว่างก็เห็น เห็นก็รู้ รู้แจ้งอย่างนี้เรื่อยเข้าไปเลยเนี่ยะ ทั้งชัดทั้งใสทั้งสว่าง ทั้งรู้แจ้งและจิตก็นิ่งแน่นเข้าไปเรื่อย ๆ เข้ากลางเข้าไปเรื่อย กลางของกลางเข้าไปเรื่อย เข้าไปเองเลย วูบเข้าไปเลย เข้าไปสู่ภายในไปตามลำดับ เพราะฉะนั้นการที่เราจะให้เข้าถึงธรรมอย่างนี้ เช่นเดียวกับพระองค์ เราก็จะต้องทำใจให้หยุดนิ่งอย่างนี้แหละ เอาใจหยุดนิ่งอยู่ในกลางกายที่เดียว หยุดที่อื่นไม่เห็น เข้าไม่ถึง ถ้าหยุดในกลางกายของเราเองนี่แหละจึงจะเข้าถึง
หยุดนี่ก็ต้องมีกลเม็ด มีวิธีการ ถ้าไม่มีวิธีการแล้วใจไม่หยุด วิธีการก็มีอยู่ ๒ วิธี คือกำหนดบริกรรมนิมิตกับไม่กําหนด สำหรับคนที่มีอัธยาศัยที่ชอบคิดชอบฟุ้งซ่าน ไปในเรื่องราวต่าง ๆ ถ้าหากว่ากำหนดบริกรรมนิมิต คือนึกถึงดวงแก้วใส ๆ หรือพระแก้วใส ๆ องค์ใดองค์หนึ่งมาเป็นที่ยึดที่เกาะของใจเราน่ะ มันก็จะช่วยให้ใจเราไม่ฟุ้งซ่าน คือแทนที่จะไปคิดเรื่องคนเรื่องสัตว์สิ่งของเหตุการณ์ต่าง ๆ ก็มาคิดเรื่องดวงแก้วหรือว่าเรื่ององค์พระแทน แต่ถ้าหากใคร ไม่ค่อยมีนิสัยที่ฟุ้ง ไม่ค่อยคิดมาก ก็เอาใจมาหยุดนิ่งเฉย ๆ ในกลางกายก็ได้นะจ๊ะ หยุดนิ่งเฉย ๆ วางนิ่ง ๆ นุ่ม ๆ เบา ๆ สบาย ๆ อย่างนี้ไปก็ได้ เราถนัดอย่างไหนเราก็ทำอย่างนั้นนะจ๊ะ ถนัดวางใจนิ่งเฉย ๆ
โดยไม่ต้องกำหนดบริกรรมนิมิต เพราะว่าเวลานึกแล้วอดที่จะบังคับใจบังคับหรือเค้นภาพให้ปรากฏให้ชัดในกลางท้อง อดนึกคิดอย่างนี้ไม่ได้ ก็ให้วางใจเฉย ๆ นิ่ง ๆ เอาใจนิ่งไปเบา ๆ สบาย โดยไม่ต้องคิดอะไรเลย นิ่ง ๆ เฉย ๆ เดี๋ยวใจมันก็นุ่มเข้าไปเรื่อย ๆ มันก็จะค่อย ๆ โล่ง โปร่ง เบา ขยาย สบายน่ะ ถ้าเรารักษาอารมณ์สบายนี้ ให้ต่อเนื่องต่อไปน่ะ ไม่ช้าใจก็จะหยุดนิ่งเข้าถึงดวงปฐมมรรคภายใน นี่สำหรับท่านที่ถนัดอย่างนี้นะจ๊ะ ส่วนท่านที่ถนัดในการนึกนิมิตเป็นดวงแก้วใส ๆ องค์พระแก้วใส ๆ อย่างใดอย่างหนึ่ง นึกแล้วรู้สึกสบายใจ ไม่ฟุ้งซ่าน เราก็นึกไป แต่ก็ต้องมีวิธีการนีก ต้องนึกอย่างสบาย ๆ เบา ๆ อย่าไปเค้นภาพหรือพยายามที่จะทําให้มันชัดมากเกินไป จนกระทั่งกลายเป็นการเพ่งจ้องเพื่อที่จะพยายามให้ชัด
เพราะฉะนั้นถ้ามีความชัดเจนให้ดูแค่ไหน เราก็ดูไปแค่นั้นน่ะ ดูดวงใสไปเรื่อย ๆ ดูองค์พระไปเรื่อย ๆ ดูไปเรื่อย ๆ ไม่ช้าใจก็จะหยุดนิ่ง หยุดนิ่งเฉยสบาย ดวงแก้วหรือองค์พระซึ่งเรากำหนดใหม่ ๆ ไม่ชัด ก็จะค่อย ๆ ชัดขึ้นมา ชัดขึ้นทีละน้อยๆ จนกระทั่งเท่ากับเราลืมตาเห็น นี่มันมีวิธีการอย่างนี้นะจ๊ะ อย่าไปทำผิดวิธีการล่ะ มีแม่อยู่คนสอนลูกตัวเล็ก ๆ ๘-๙ ขวบ ให้นั่งสมาธิเพราะแม่มาวัดพระธรรมกาย ได้ยินได้ฟังได้ปฏิบัติที่หลวงพ่อสอน กลับไปก็ไปสอนลูกที่บ้านว่าลูกเอ๊ยลูกก็นั่งอย่างนี้นะ ทำใจหยุดในกลาง กลางท้อง หยุดนิ่งเฉย ๆ ลูกก็ทำตาม และในที่สุดแม่ก็ถามลูกเห็นอะไร บอกก็เห็นแต่ดวงใส ๆ เห็นชัดไหม บอกชัด ชัดขนาดไหน บอกชัดเหมือนลืมตาเห็น สว่างไม๊ บอกสว่าง สว่างขนาดไหน สว่างเหมือนกลางวันอย่างนั้นน่ะ
เด็กก็บอกออกไป ใสไม๊ บอกใส ใสเหมือนอะไร บอกเหมือนน้ำแข็ง ใสยิ่งกว่าน้ำแข็งใส ๆ แม่ก็ถามลูกเห็นจริง ๆ นะเหรอ บอกเห็นจริง ลูกทำยังไงล่ะ แม่กลับถามแล้วตอนนี้ ลูกก็บอกก็ทำอย่างที่แม่บอก และแม่บอกยังไงล่ะ ก็บอกให้ทำ ให้ดูไปเฉย ๆ ตรงกลาง ก็ดูไปเรื่อย ๆ แล้ว ๆ มันเป็นยังไง ผลัดกันถามแล้วตอนนี้ ลูกก็บอกว่าก็ทำไป ตอนแรกมันก็มืด ๆ หนักเข้าตัวมันก็พอง ๆ โต ๆ จนกระทั่งโตเท่าห้อง และมันก็เบา ๆ เบา ๆ สบาย แล้วมันก็มีจุดเล็ก ๆ เกิดขึ้นน่ะ ตอนแรกมันก็ไม่ชัดน่ะ แล้วลูกทำยังไง ก็ดูไปเฉย ๆ แล้วมันเป็นยังไง บอก มันก็ค่อย ๆ ชัดขึ้น ๆ ๆ และก็โตขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งตอนนี้มันชัดเหมือนลืมตาเห็นเลย ใสเหมือนน้ำแข็ง สว่างเหมือนกลางวัน เห็นไม๊จ๊ะว่าลูกก็ทำอย่างที่แม่บอกอย่างนั้นแหละ แล้วถ้าแม่ทำอย่างที่ลูกบอกนี่ แม่ก็จะเห็นเหมือนอย่างที่ลูกบอกอย่างงั้นน่ะ นี่ก็เช่นเดียวกัน ทำอย่างนี้นะจ๊ะ หยุดนิ่งเฉย ๆ เดี๋ยวก็จะเข้าถึงตรงนั้นเองเหมือนอย่างแม่สอนลูก และก็ลูกบอกแม่ ในภายหลังน่ะเป็นอย่างนั้นแหละ
ดังนั้นตอนนี้เราก็ทำใจให้หยุดให้นิ่ง ให้ชัด ให้ใสสว่างนะจ๊ะ หยุดนิ่งไปเบา ๆ สบาย ถ้าหากว่ามันยังฟุ้งอีกก็ภาวนาสัมมาอะระหังควบคู่กันไปด้วย ภาวนาสัมมาอะระหัง ๆ ๆ อย่างนี้ไปเรื่อย ๆ พร้อมกับนึกถึงภาพดวงแก้วหรือองค์พระนะจ๊ะ อย่างใดอย่างหนึ่ง เราทำกันไปอย่างเงี้ยะ เราจะภาวนากันไปแค่ไหน ก็ภาวนาไปจนกว่าไม่อยากจะภาวนา อยากอยู่เฉย ๆ เราภาวนากันไปแค่นั้นนะจ๊ะ ไม่ต้องไปนับว่ากี่ครั้ง ภาวนาไปแค่ว่าไม่อยากจะภาวนา อยากอยู่เฉย ๆ รู้สึกมันสบายกว่า ถ้าเกิดความรู้สึกอย่างนี้เราก็เฉย ๆ ทำใจนิ่งอย่างเดียว พอนิ่งๆ ๆ มันก็นิ่งไปเรื่อย จนกระทั่งมันละเอียดลงไป ละเอียดลงไป ใจก็ถูกปรุง ปรุงให้พอเหมาะพอดี ถูกส่วน ถูกส่วนน่ะมันถูกส่วนเองนะจ๊ะ มันจะกลมกล่อมทีเดียว ใจจะกลมกล่อม กลมเหมือนลูกแก้ว เป็นดวง กล่อมเหมือนกล่อมลูกให้นอน ใจนิ่งไม่ไปไหนเลย อยู่ตรงกลางกายอย่างเดียว พอดีทีเดียว
ตอนนี้ก็จะเริ่มรู้สึกอร่อย มีรสโอชา มีรสมีชาติในการปฏิบัติ อยากจะปฏิบัติเพราะเริ่มมีประสบการณ์ภายใน เริ่มมีความสุขภายใน เริ่มเห็นแสงสว่างเริ่มเห็นดวงธรรม เริ่มเห็นอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ เราก็ดูไปเรื่อย ๆ เหมือนเด็กดูน่ะ ดูไปเรื่อย ๆ ในที่สุดมันก็จะชัดขึ้นชัดขึ้น ๆ ก็จะเข้าถึง เข้าถึงดวงปฐมมรรคแล้วก็เข้าถึงดวงธรรมชุดต่าง ๆ ดวงศีล สมาธิ ปัญญา วิมุตติ วิมุตติญาณทัสสนะ เข้าถึงกายภายใน เข้าถึงกายธรรม นี่เข้าถึงไปตามลำดับ เช่นเดียวกับที่พระผู้มีพระภาคเจ้าท่านได้เข้าถึงกันในวันนั้นนะจ๊ะ ท่านทำอย่างนี้แหละ ทำหยุดทำนิ่ง เราก็จะต้องทำอย่างนี้เรื่องหยุดเรื่องนิ่งนี่เป็นสิ่งที่สำคัญ อยู่เมืองนอกถ้าใจไม่หยุดก็แค่นั้น อยู่เมืองไทยใจไม่หยุดก็แค่นั้น จะอยู่แห่งหนตำบลใด ถ้าใจไม่หยุดแล้วไม่ได้เรื่อง ชีวิตนี้ไม่สมบูรณ์ ยังไม่ปลอดภัย เพราะใจหยุดจะทำให้เราเข้าถึงธรรม
รู้เห็นอะไรไปตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกับชีวิตของเราทั้งอดีต ปัจจุบัน และในอนาคต เพราะฉะนั้นหยุดนิ่งนี่ จึงเป็นสิ่งที่สำคัญมาก นอกจากจะให้ความสุขความบริสุทธิ์ใจเราแล้ว ยังให้พลังใจในการสร้างความดีและความรู้แจ้งเกี่ยวกับชีวิตของเราและสรรพสิ่งทั้งหลาย หยุดนิ่งนี่สามารถทำได้ทุกอริยาบถ ไม่ว่าเราจะนั่ง จะนอน จะยืน จะเดิน จะพูดคุยทำมาหากินหรืออะไรก็แล้วแต่ เราสามารถที่จะทำได้ตลอดเวลาเลย ในห้องน้ำห้องส้วมไม่บาป ทำได้ทั้งนั้น ทำหยุดทำนิ่งภายในอยู่ในกลาง ฝึกไปเรื่อย ๆ ฝึกตลอดเวลาเลย ถ้าทำได้อย่างนี้ ไม่ช้าเราก็จะเข้าถึงธรรมกาย ธรรมกายซึ่งเป็นสรณะ เป็นพุทธรัตนะ เป็นสรณะ เป็นที่พึ่งที่ระลึกอย่างแท้จริง
เมื่อเราเข้าถึงที่พึ่งที่ระลึกอย่างแท้จริงได้ ชีวิตของเราก็ปลอดภัย ที่เรายังไม่ปลอดภัยเพราะว่าเรายังไม่รู้จักว่า ที่พึ่งที่ระลึกที่แท้จริงนั้นน่ะมีลักษณะอย่างไร อยู่ที่ไหน จะเข้าถึงได้ด้วยวิธีการใด เมื่อเราไม่รู้จักอย่างนี้เนี่ย เวลาประสบทุกข์เราก็ต้องวิ่งหาที่พึ่ง ที่พึ่งที่เราเข้าใจว่าจะช่วยเราได้ ต้นไม้ใหญ่ ๆ มั่ง ภูเขาอารามศักดิ์สิทธิ์ สัตว์เดรัจฉานที่พิการมั่ง มี ๕ ขา ๒ หาง ๒ หัว อะไรเหล่านั้นเป็นต้น ไปกราบไปไหว้ไปบูชากันไป เพราะไม่รู้จักว่าที่พึ่งที่แท้จริงมีลักษณะอย่างไร มีคุณสมบัติอย่างไร อยู่ที่ตรงไหน จะเข้าถึงได้ด้วยวิธีการใด นี่เราไม่รู้จักเลย เมื่อไม่รู้จัก ก็แสวงหาเปะปะกันไปอย่างนั้น
แต่บัดนี้เรารู้จักแล้วว่าสรณะที่แท้จริงคือพุทธรัตนะ ธรรมรัตนะ สังฆรัตนะ ๓ อย่างนี้เท่านั้น เป็นที่พึ่งที่ระลึกของเรา แล้วก็อยู่ในกลางกายตรงฐานที่ ๗ ไม่ได้อยู่นอกตัว ไม่ได้อยู่บนท้องฟ้า บนภูเขา ต้นไม้ แต่อยู่ในกายของเราน่ะ ตรงกลางกาย เข้าถึงได้ด้วยวิธีการทำใจให้หยุดให้นิ่งอย่างเดียว ทำใจหยุดนิ่งอย่างเดียว ไม่ต้องไปท่องไปบ่น หรือไปทำอะไรเลย ไม่ต้องไปอ่าน ไปขีด ไปเขียนไปนึกคิดค้นเอาอะไรเลย แค่ทำใจหยุดใจนิ่งอย่างนี้แหละ แล้วเราก็จะเข้าถึงสรณะ เมื่อเข้าถึงแล้ว เราก็จะมีความรู้สึกว่าเราเป็นสุข อบอุ่น ปลอดภัย ใจมีพลัง พ้นจากทุกข์โศกโรคภัย ภัยต่าง ๆ กระทั่งภัยในวัฏสงสาร เข้าถึงแล้วก็จะรู้จักอย่างที่หลวงพ่อบอกอย่างนี้แหละ คือจะมีความรู้สึกอบอุ่น ปลอดภัย มีความมั่นใจในชีวิต ไม่เหงา ไม่เศร้าสร้อย เบิกบานอยู่เป็นนิจ เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานแล้วทีเดียวเวลาเข้าถึงสรณะภายใน
เพราะฉะนั้นรัตนะทั้ง ๓ นี้เป็นที่พึ่งและก็เป็นที่ระลึก คือเป็นที่ที่เราควรจะเอาใจมาระลึกนึกถึงอยู่ตลอดเวลา เวลาหยุดอยู่ตรงนี้เนี่ยจะปลอดภัย ภัยทุกชนิดเลย ปลอดหมดเลย เหมือนหลุมหลบภัยอย่างนั้นน่ะ เป็นเหมือนเป็นป้อมเป็นค่ายทีเดียวน่ะ ใจจะอยู่ในกลางธรรมกายเนี่ยะ ชัดใส แจ่ม พอละเอียดหนักเข้าก็เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับองค์ท่านน่ะ เราเป็นท่าน ท่านเป็นเรา เราเป็นธรรมกาย ธรรมกายเป็นเราทีเดียว ถึงตอนนี้อานุภาพต่างๆ ของพระธรรมกายก็จะถ่ายทอดมาเป็นตัวของเรา เราก็จะเปลี่ยนแปลงจากผู้ที่ไม่รู้มาเป็นผู้รู้ จากผู้ที่หลับมาเป็นผู้ตื่น จากผู้ที่มีความทุกข์มาเป็นผู้ที่มีความสุข มีจิตใจเบิกบานสว่างไสวอยู่ตลอดทั้งวันทั้งคืนทีเดียว อิ่มอกอิ่มใจ อยู่ในป่าในเขา ที่ไหนก็แล้วแต่ นั่งสดชื่น นั่งยิ้มแย้มแจ่มใสอยู่ในตัวเนี่ย เวลาเราเข้าถึงแล้วมันจะเป็นอย่างนั้นนะจ๊ะ
หน้าไม่นิ่วคิ้วก็ไม่ขมวด หลับเป็นสุข ตื่นเป็นสุข นั่ง นอน ยืน เดิน เป็นสุข จะทำมาหากินอะไรก็แล้วแต่ เป็นสุขอยู่ตลอดเวลาเลย เวลาเราเข้าถึงสรณะภายใน ถึงพุทธรัตนะ ธรรมรัตนะ สังฆรัตนะอย่างนี้แหละเป็นสุขนิ่ง แม้เป็นคนยากคนจนอย่างมหาทุคตะ สมัยโบราณ สมัยพุทธกาลน่ะเป็นคนยากคนจน เพราะไม่เคยทำทานกันมาก่อนน่ะ ยากจน อดอยากยากจน ต้องไปขอทานเค้าน่ะแต่ว่าได้ฟังธรรม ยังมีบุญเก่าได้ฟังธรรม เมื่อได้ฟังก็เกิดศรัทธา พอเกิดศรัทธาก็ลงมือปฏิบัติ ในที่สุดก็เข้าถึงรัตนะทั้ง ๓ แม้ภายนอกจะยากจนแต่ภายในนั้นรวยด้วยอริยทรัพย์ มีความสุขอยู่ภายใน นิ่งแน่น ไม่คลอนแคลน ไม่หวั่นไหวเลย มีความศรัทธาเลื่อมใสในพระรัตนตรัยอย่างแท้จริง จนกระทั่งพระอินทร์มาลอง ลองใจดูว่า ผู้ที่เข้าถึงสรณะภายในจริง ๆ น่ะ จะง่อนแง่นจะคลอนแคลนไหมเนี่ยะ
พระอินทร์มาทดลองดูว่า ที่ท่านเข้าถึงน่ะมันไม่ใช่ของแท้ของจริงน่ะ เสียเวลาด้วย มหาทุคตนั้น ถามว่าใครที่พูดอย่างนี้ บอกเป็นพระอินทร์ บอกพระอินทร์ พูดอย่างนี้ไปห่าง ๆ รีบไปเลย ไปไกล ๆ ตัวยังเข้าไม่ถึงจะมาพูดกับคนที่เข้าถึงได้อย่างไร เราไม่ง่อนแง่นไม่คลอนแคลนในพระรัตนตรัยเนี่ย เพราะเราเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับพระรัตนตรัยแล้ว มีสุขสดชื่นเบิกบานอยู่ตลอดเวลาเลยเพราะฉะนั้นรัตนะทั้ง ๓ นี้อยู่ในกลางกายของเรา เป็นสรณะที่พึ่ง ที่ระลึกอย่างแท้จริงที่ประเสริฐ อย่าไปแสวงหาสรณะอย่างอื่นนะจ๊ะ เวลาประสบทุกข์ไม่ว่าเรื่องอะไรก็แล้วแต่ ทำใจให้หนักแน่น ให้มั่นคง ให้หยุดให้นิ่งอยู่ในกลางกาย ให้เข้าถึงรัตนะให้ได้ เมื่อเข้าถึงแล้วทุกข์โศกโรคภัย ภัยพิบัติอะไรต่าง ๆ ก็จะหายสูญไปหมด เหมือนคบเพลิงที่จุ่มลงไปในน้ำ ดับวูบไปเลย ทุกข์ทั้งหลายก็จะดับ หายไปหมดเมื่อเข้าถึงรัตนะภายใน
เพราะฉะนั้นเราเกิดมาเพื่อแสวงหาสิ่งนี้ ไม่ใช่เพื่อสิ่งอื่นเลย การทำมาหากินก็เพื่อเลี้ยงชีพเท่านั้น มีชีวิตอยู่ก็เพื่อปฏิบัติ ปฏิบัติให้เข้าถึง ฝึกใจหยุดนิ่งให้เข้าถึงรัตนะทั้ง ๓ เข้าถึงได้แล้วชีวิตจึงจะสมบูรณ์ แล้วหลังจากนั้นจะได้ศึกษาวิชชาธรรมกายกันต่อไปวิชชาธรรมกายเป็นวิชชาสำหรับผู้มีบุญเท่านั้นน่ะ จะศึกษาได้ก็โดยการอาศัยพระธรรมกายภายใน ไปศึกษากับพระธรรมกายในอายตนนิพพานที่เข้านิพพานไปก่อนตั้งแต่ดึกดำบรรพ์นะ ศึกษา โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อไปให้ถึงที่สุดแห่งธรรม ที่สุดแห่งธรรมซึ่งอยู่ในกลางนิพพานในนิพพาน นับนิพพานไม่ถ้วน ไปสุดนั้นเลย
ไปสุดธาตุธรรมทั้งมวล เลยธาตุธรรมที่เป็นกุศล อกุศล และที่เป็นกลาง ๆ เลย ธาตุธรรมกุศลาธัมมา อกุสลาธัมมาและอัพยากัตตาธัมมา ธรรมทั้งสามที่ประสะประสานกันอยู่ ไปสุดนั้นเลย แทงตลอดไปถึงนั้น มีวัตถุประสงค์ไปให้ถึงนั้นเลย ถึงตรงนั้นแล้วจึงจะพ้นจากบ่าวจากทาสของพญามาร มันจะบังคับบัญชาไม่ได้เลย หลุดหมด ทั้งอดีต ปัจจุบัน อนาคต อากาศโลก ขันธโลก สัตวโลก นิพพาน ภพสาม โลกันตร์ มนุษย์ ทิพย์ธรรม หลุดหมดเลยจากสิ่งที่เค้าบังคับที่เค้าครอบงำอยู่ ให้สรรพสัตว์มีโลภะ โทสะ โมหะ หลุดหมดเลย ละลายหายสูญหมดเมื่อไปถึงที่สุดแห่งธรรมนั้น เพราะฉะนั้นธรรมกายจึงเป็นสิ่งที่สำคัญ ที่จะศึกษาวิชชาธรรมกายได้ จะเข้าถึงได้ต้องหยุดต้องนิ่งอย่างนี้นะจ๊ะ
ใจหยุดนิ่งให้ดีทีเดียว หยุดไปในกลางกาย ใครที่เข้าถึงดวงธรรม ก็เอาใจหยุดไปที่กลางดวงธรรมอย่างสบาย ๆ นะจ๊ะ ใครเข้าถึงกายมนุษย์ละเอียด ก็เอาใจหยุดไปที่กลางกายมนุษย์ละเอียด ใครที่เข้าถึงกายทิพย์ก็เอาใจหยุดไปที่กลางกายทิพย์ ใครที่เข้าถึงกายรูปพรหมก็เอาใจหยุดไปที่กลางกายรูปพรหม ใครที่เข้าถึงกายอรูปพรหมก็เอาใจหยุดไปที่กลางกายอรูปพรหม ใครที่เข้าถึงกายธรรมก็เอาใจหยุดไปที่กลางกายธรรมทุก ๆ คนนะจ๊ะ ใจให้หยุดนิ่ง หยุดในหยุด ๆ หยุดในหยุดลงไปอย่างสบาย ๆ เลย ใครที่เข้าถึงกายธรรมในกายธรรมได้ เห็นองค์พระผุดซ้อน ๆ ๆ กันขึ้นมานะจ๊ะ ก็เอาใจหยุดไปที่กลางกายของทุก ๆ องค์ที่ผุดขึ้นมา อย่างสบาย ๆ น่ะ องค์ที่ผุดซ้อน ๆ ๆ ขึ้นมาน่ะ คือเข้าถึงองค์ที่ใหญ่ขึ้นไปเรื่อย ๆ ใหญ่ขึ้นไปเรื่อย ๆ เลยนะจ๊ะ ก็ปล่อยใจเข้าไปข้างในอย่างนั้น
ปล่อยใจก็คือหยุดนิ่งเฉย ๆ ตรงนั้นนั่นเอง ที่เดียว หยุดในหยุด ๆ ๆ หยุดอย่างนั้นไปเรื่อย ๆ นะจ๊ะ ทีนี้คุณยายก็ขอบุญ บารมี รัศมี กำลังฤทธิ์ อำนาจสิทธิกับพระพระพุทธเจ้าในอายตนนิพพาน ให้ทุกคนเลย ให้ลูก ๆ ทุก ๆ คน ทั้งภายในและต่างประเทศทั่วโลก ให้เป็นมหาเศรษฐีผู้ใจบุญ ให้รวบรวมสมบัติเพื่อสร้างบารมีขยายธรรมกายไปทั่วโลกให้ได้อย่างอัศจรรย์ อย่าได้มีอุปสรรคอันใดเกิดขึ้น ให้มีดวงปัญญาแทงตลอดทั้งทางโลกทางธรรม ให้มีสุขภาพร่างกายแข็งแรง มีอายุยืนยาวได้สร้างบารมีไปนาน ๆ ประกอบธุรกิจการงานอันใดก็ให้ประสบความสําเร็จเป็นอัศจรรย์ จับอะไรก็ให้เป็นเงินเป็นทอง สำเร็จหมด
ให้มีจิตใจของพระโพธิสัตว์ บรมโพธิสัตว์คือมีทรัพย์แล้วก็ให้ใช้ทรัพย์ เพื่อเกื้อกูลประโยชน์สุขแก่มวลมนุษยชาติ ให้เป็นที่รักของคนทุก ๆ คน ทั้งมนุษย์และของเทวดา ให้มีเมตตาธรรมอันสูง เป็นที่รักของทุกคนหมดเลย ใครเห็นก็รัก เอ็นดูช่วยเหลือส่งเสริมสนับสนุน ไม่มาเป็นอุปสรรคเลย ใครเข้าใกล้ก็ให้เป็นบัณฑิตเป็นนักปราชญ์ มีพวกพร้องบริวารก็ให้มีแต่คนดี ๆ มีฝีมือ มาช่วยเหลือสิ่งที่ตั้งความปรารถนาไว้ ให้บรรลุเป้าหมาย จะเดินทางไปไหนมาไหนก็แล้วแต่นะให้มีรักษาปลอดภัยให้หมดเลย ให้บุญหล่อเลี้ยงรักษาให้ปลอดภัยให้หมด จะคิดอะไรก็ให้สมความปรารถนานะ คิดไอ้ที่ดี ๆ น่ะสําเร็จหมดเลย เนียขอบุญบารมีจากพระนิพพานให้ลงซ้อนให้เต็มไปหมดเลย อุปสรรค ต่าง ๆ นานา ที่บังเกิดขึ้น ที่เขากีดเขาขวางเขากันเอาไว้เท่าไหร่ก็ให้ละลายหายสูญให้หมด ทำอะไรก็ให้คล่องแคล่วทุกอย่างหมด ให้ได้ดังใจเนี่ย
จะศึกษาเล่าเรียนก็ให้ศึกษาได้สำเร็จสมความปรารถนา จะรับราชการ ที่ให้รับราชการให้ไปให้สูงสุด ทำงานก็ให้ประสบความสำเร็จ ให้ได้รับความร่วมมือจากทุกฝ่ายน่ะ ให้ได้ลาภยศสรรเสริญ ตำแหน่งทุกอย่างไปในทางที่ดี จะประกอบธุรกิจการงาน ธุรกิจ ก็ให้ซื้อง่ายขายคล่องกำไรงาม ให้ตัดสินใจได้ถูกต้องทุกอย่าง ให้เอาบุญหล่อเลี้ยงรักษา ใครจะขายที่ขายทาง ก็ให้ผู้มีบุญน่ะผู้มีบารมีน่ะมารับซื้อต่อไป ในราคาที่ถูกอกถูกใจซึ่งกันและกันน่ะ จะได้รวมสมบัตินี้มาช่วยกันสร้างธรรมกายเจดีย์ ธรรมกายเจดีย์ เจดีย์แห่งพระรัตนตรัย สิ่งศักดิ์สิทธิ์อันยิ่งใหญ่ของมวลมนุษยชาติ ธรรมกายเจดีย์เนี่ยเป็นสิ่งที่บังเกิดขึ้นได้ยาก จะไปรู้ไปเห็นนี้ยากเหลือเกิน จะไปชลอลงมาสร้างนี่ก็ยากอีก การที่จะเข้าไปถึงธรรมกายเจดีย์นั้นน่ะ จะต้องทำความละเอียด ต้องหยุดต้องนิ่ง ต้องดิ่งเข้ากลางภายในไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งธรรมกายละเอียดลงไป ละเอียดลงไป ๆ โตใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ เลยเนี่ย ธรรมกายโตขนาดวัดพระธรรมกายนี้ไปเห็นไม่ได้ ธรรมกายจะโตขนาดครอบจังหวัดปทุม ประเทศ ครอบโลกเลยเนี่ยก็ยังไม่เห็นธรรมกายเจดีย์
ธรรมกายต้องละเอียดไปจนกระทั่งครอบภพสาม โตเต็ม มีญาณทัสสนะครอบคลุมภพทั้งสาม อรูปพรหม พรหม สวรรค์ มนุษย์ สัตว์เดรัจฉาน เปรต อสุรกาย สัตว์นรกทั้งหมดนี้เนี่ย ก็ยังไม่เห็นธรรมกายเจดีย์ ธรรมกายขยายครอบโลกันตร์นรก ซึ่งใหญ่มากก็ยังไม่เห็นอีกนั่นแหละ ธรรมกายขยายครอบนิพพาน ภพสามโลกันตร์ ครอบไปหมดเลย ยังไม่เห็นอีก ยังเข้าไปไม่ถึง ต้องหยุดนิ่งเข้าไปเรื่อย ๆ หยุดในหยุด ๆ ให้ละเอียดลงไป ละเอียดลงไปจนกระทั่งไปถึงจุดที่เข้าใจคำว่าธรรมชาติ ชาตะแปลว่าการเกิด ธรรมชาติก็แปลว่าเกิดโดยธรรม ก็หมายถึงว่าสรรพสิ่งทั้งหลายเนี่ย ทั้งหลายทั้งมวลเนี่ย จะเป็นภพที่อยู่อาศัยของสัตว์ทั้งหลาย จะเป็นสรรพสัตว์สรรพสิ่งทั้งหลายทั้งมวลทั้งหมดเนี่ย ล้วนแต่เกิดขึ้นโดยธรรม เกิดขึ้นจากธรรม
คำว่าธรรมนั้นมีอยู่ ๓ ประการ คือกุศลาธัมมา ธรรมที่เป็นกุศล อกุศลาธัมมา ธรรมที่เป็นอกุศล อัพยากตาธัมมา ธรรมที่เป็นกลาง ๆ ธรรมที่เป็นกุศลนั้นสีขาวใส ธรรมที่เป็นอกุศลนั้นสีดำ บางทีท่านก็เรียกกัณหธรรม ธรรมสีขาวบางทีเรียกว่าสุขธรรม ธรรมขาว ธรรมดำ อัพยากตาธรรม ธรรมเป็นกลาง ๆ สีเทา ๆ จะต้องไปเห็นธาตุธรรมทั้งสามนี้ประสะประสานกันปนเปกันเหมือนเหมือนของผสม เหมือนเป็นสารประกอบของผสมอะไรอย่างนั้นน่ะ ปนเปกันไปอยู่อย่างนั้น เรียกว่าธรรมชาติ คือทั้งหมดเกิดโดยธรรมทั้งสามประสะประสานกันอยู่ ต่างก็กำลังมุ่งไปถึงที่สุดของตนเองและที่สุดแห่งสายธาตุสายธรรม ต้องทับทวีไปนั้นจึงจะเห็นธรรมกายเจดีย์ เมื่อเห็นแล้วต้องก็ไปวัดสัดส่วนเอามา เอามาสร้างในเมืองมนุษย์ เพื่อให้เป็นจุดศูนย์รวมใจของผู้มีบุญ
จะเป็นที่รวมของผู้มีบุญ จะเป็นแหล่งรวมแห่งพลัง พลังแห่งกุศลธรรม พลังแห่งบุญมารวมกันเป็นจำนวน ๑ ล้านคน ๑ ล้านคน จะน้อยกว่าคนหนึ่งก็ไม่ได้ จะมารวมกันที่นั้น เพื่อมาทําหยุดทํานิ่งในกลาง ประสานใจกันเป็นหนึ่ง เพื่อให้พลังเป็นหนึ่งเดียวกันทั้งหมด มาพร้อมกันหมดเลย แล้วแผ่ขยายกระแสคลื่นแห่งความบริสุทธิ์ไปยังสรรพสัตว์ทั้งหลาย ถ้าปริมาณหนึ่งล้านคนเนี้ยบังเกิดขึ้นเนี่ย กระแสแห่งความบริสุทธิ์ก็จะแผ่ซ่านไป ครอบคลุมไปหมด บริเวณนี้ทั้งหมด เรื่อยไปเลย กระทั่งครอบคลุมโลกจักรวาล สรรพสัตว์สรรพสิ่งทั้งหลาย เข้าไปในธาตุธรรมนู๊นไปเลย
ส่วนหยาบ ๆ นี้ ภาพคนล้านคนเนี่ย ก็จะขยายไปให้ชาวโลกทั้งหลายนี้ได้พบได้เห็นในยุคโลกาภิวัฒน์ที่การสื่อสารกันเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันทั่วโลก ชาวโลกก็จะได้เห็นคนจำนวนล้านคน มานั่งประพฤติปฏิบัติธรรมกัน เค้าก็จะเกิดคำถามขึ้นมาในใจว่าเค้ามาทำไมกัน เค้ามานั่งทำอะไร แล้วเค้ามีวัตถุประสงค์อะไรที่เป็นอย่างนี้ นั่งรวมกันอย่างนี้แล้วจะได้อะไรเนี่ย เค้าจะเกิดคำถามขึ้นมาในใจ เมื่อเกิดคำถามขึ้นมา ก็จะแสวงหาคำตอบ เมื่อแสวงหาคำตอบก็จะเข้าใจว่าเค้ากำลังนั่งประพฤติปฏิบัติธรรมกันอยู่ภายใน เพื่อชำระกายวาจาใจให้สะอาดบริสุทธิ์ และมุ่งไปถึงที่สุดแห่งธรรมน่ะ กำลังทำกันอย่างนั้นอยู่ ก็จะเกิดศรัทธาขึ้นมา เกิดแรงบันดาลใจ อยากจะทำอย่างนี้บ้าง
เมื่อความรู้สึกอย่างนี้กระจายไปทั่วโลก ก็จะเกิดมีการปฏิบัติธรรม ธรรมกายซึ่งมีอยู่ภายในตัวของทุก ๆ คนแล้วเนี่ย จะเป็นชาติไหนภาษาไหนก็แล้วแต่ ขึ้นชื่อว่าเป็นมนุษย์ล้วนมีธรรมกายทั้งนั้นอยู่ในกลางกาย แต่ว่าท่านเหล่านั้นไม่รู้จักว่ามี ไม่รู้ว่ามีแล้วมันดีอย่างไรน่ะ จะเข้าถึงได้ด้วยวิธีการใด อยู่ที่ตรงไหนเนี่ย แต่ว่าเมื่อเกิดแรงบันดาลใจ เขาก็จะแสวงหาวิธีการที่จะเข้าถึง แล้วในที่สุดเมื่อลงมือปฏิบัติก็จะเข้าถึงธรรมกายได้ ถ้าได้ทำก็ทำได้น่ะ เมื่อเข้าถึงแล้วก็จะได้สัมผัสแหล่งแห่งความสุขภายในที่แท้จริง แหล่งของสติแหล่งของปัญญาภายในความสุขนั้นก็จะขยายไปทั่วสมาชิกภายในบ้าน ภายในครอบครัว ก็จะขยายต่อไปยังเพื่อนบ้าน หมู่บ้าน ตำบล อำเภอ จังหวัด ทั่วประเทศ แล้วก็จะขยายกันต่อ ๆ ไป นี่จะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นต่อไปในอนาคต
เพราะฉะนั้นบุญที่บังเกิดขึ้น จากการที่ได้สร้างธรรมกายเจดีย์ ซึ่งเป็นจุดแหล่งพลังแห่งความบริสุทธิ์อันยิ่งใหญ่นี้ ไม่ใช่ของเล็กน้อย การทำบุญทั่ว ๆ ไปที่ชาวโลกทั้งหลายเข้าใจเรื่องบุญนั้นที่เค้าทำนั้น ถ้าเทียบปริมาณแล้วบุญเค้าได้แค่ห้องเดียวน่ะ เหมือนบ้านหลังแล้วมีห้องอยู่ห้องหนึ่ง ได้กันแค่นั้น แต่บุญที่สร้างธรรมกายเจดีย์นี้ เราจะต้องมองไปบนท้องฟ้าที่ครอบสรรพสิ่งทั้งหลายเนี่ย ท้องฟ้าที่กว้างใหญ่ไพศาลครอบสรรพสิ่งทั้งหลายกำลังบุญกระแสธารแห่งบุญจะเต็มอย่างนั้นน่ะ เต็มในนั้น เต็มไปหมดเลยหลาย ๆ ครั้ง นั่นแหละจะเป็นบุญของเราที่จะส่งผลให้เราไปถึงที่สุดแห่งธรรมได้ต่อไปในอนาคต เพราะฉะนั้นบุญสร้างธรรมกายเจดีย์นี้เป็นบุญใหญ่อยากให้ลูก ๆ ทั้งหลายทั้งชายหญิง ภายในและต่างประเทศทั่วโลก ได้สร้างกันเอาไว้ เกิดมาในชาตินี้ มีบุญได้มีโอกาสได้สร้างบุญใหญ่ขนาดนี้ เพราะฉะนั้นมีโอกาสแล้วรีบตักตวงเอาธรรมกายเจดีย์นี้ ตั้งใจว่าจะให้เสร็จปี ๒๕๔๐ นับจากนี้ไปก็ไม่ถึง ๒ ปี จะเริ่มลงมือการก่อสร้างในไม่ช้านี้เนี่ย
เพราะฉะนั้นเรามีกำลังแค่ไหนทำให้เต็มกำลังไปเลย โดยทำอย่างนี้ ว่าวันหนึ่งเราจะสร้างผู้นำบุญให้ได้ ๑ คน สร้างเจ้าภาพพระธรรมกายประจำตัว ๑ องค์ จำง่าย ๆ คือหนึ่งวัน หนึ่งคน หนึ่งองค์ ให้ทำแบบพระพุทธเจ้าที่ท่านตื่นบรรทมตอนเช้า ลุกขึ้นมาเข้านิโรธสมาบัติ เข้ามหาสมาธิ หยุดนิ่งแผ่ข่ายพระญาณไปทั่วภพทั้งสาม ตรวจตราดูอุปนิสัยบารมีของสัตว์โลกทั้งหลาย ว่าวันนี้บุคคลใดจะได้บรรลุมรรคผลนิพพาน เขาหน้าตาเป็นยังไง มีชื่อมีนามสกุลอย่างไร บ้านอยู่ที่ไหน ตรอกซอกซอยอย่างไรน่ะ จะไปถึงด้วยวิธีการเดินหรือเหาะไป ท่านก็จะทำด้วยอาการอย่างนั้น แล้วในที่สุดท่านก็จะไปตามที่ท่านได้เห็น ไปโปรดจนกระทั่งผู้มีบุญนั้นได้บรรลุมรรคผลนิพพาน
เราก็เช่นเดียวกันน่ะ ตื่นแต่เช้ามานั่งสมาธิ แผ่เมตตาไปยังสรรพสัตว์ทั้งหลาย แล้วอธิษฐานจิตของเรา บุคคลใดเป็นผู้มีบุญที่จะได้สร้างธรรมกายเจดีย์ จะได้เป็นเจ้าภาพสร้างพระธรรมกายประจำตัว จะได้เป็นผู้นำบุญเป็นยอดกัลยาณมิตร ขยายธรรมกายต่อไปนั้นน่ะ อยู่แห่งหนตำบลใดก็ตามให้ได้เจอะให้ได้เจอ ให้ได้พูด เมื่อได้ยินได้ฟังถ้อยคำที่เราชักชวน ให้สร้างกุศลธรรม ก็ให้เกิดความปีติ เกิดความเลื่อมใส เกิดความเบิกบาน และก็รวมเป็นหนึ่งเดียวกัน ช่วยเหลือส่งเสริมสนับสนุนสร้างธรรมกายเจดีย์ให้สําเร็จให้ได้ แผ่เมตตาจิตอธิษฐานเสร็จแล้ว ก็ลงมือทำกันเลย อย่างน้อยหนึ่งวัน หนึ่งคน หนึ่งองค์ ทำให้ได้ทุกวัน ถ้าทำอย่างนี้นี่ไม่ช้านี้ก็จะบรรลุเป้าหมายนั้นได้
วันหนึ่งเราควรจะสร้างผู้นำบุญ ให้ได้บังเกิดขึ้นในโลกซักคนหนึ่ง ถ้าทำได้อย่างนั้นน่ะ วันนี้เราหลับเป็นสุข เพราะว่าได้สร้างผู้นำบุญขึ้นมา ให้เป็นตัวแทนของเราไปชักจูงมนุษย์ทั้งหลายได้มาสร้างบารมี ชาวโลกทั้งหลายเกิดมาในโลกนี้ นี่ยังไม่ค่อยรู้อะไรเลย เหมือนคนที่ยังงัวเงียอยู่ยังไม่ตื่น ยังไม่ค่อยรู้อะไรเลยเนี่ย ส่วนมากผู้นำบาปเนี่ยจะเกิดขึ้นทุกวินาที เกิดขึ้นทุกวันเลย แต่ผู้นำบุญนั้นยังไม่ได้เกิดขึ้นเลย นี่เป็นหน้าที่ของพวกเรานะจ๊ะ ที่จะต้องสร้างผู้นำบุญให้ต่อ ๆ กันไป ให้เป็นแบบอย่างที่ดีของชาวโลก เพื่อที่จะต่อสู้กับกระแสของกิเลสให้ได้ แล้วก็สร้างเจ้าภาพพระธรรมกายประจำตัว ทำอย่างนี้ให้ได้ทุกวัน ๆ ๆ กระแสธารแห่งบุญ ก็จะบังเกิดขึ้นกับเราทุกวัน ๆ ๆ จนกว่าธรรมกายเจดีย์นี้ จะสำเร็จปีสองพันห้าร้อยสี่ศูนย์ ให้ทำกันอย่างนี้นะจ๊ะ
ลูก ๆ ที่อยู่ต่างประเทศก็สามารถทำกันอย่างนี้กันได้น่ะ ให้ทำกันไป อย่าไปเกรงอกเกรงใจ ในการที่จะชักชวนใครมาสร้างความดีน่ะ อย่าไปเกรงใจ แล้วไม่ต้องไปกลัวสิ่งใดทั้งสิ้น เรานำเค้ามาสู่ทางธรรม นำมาสู่สิ่งที่ดี ต้องกล้าหาญ กล้าคิด กล้าพูด กล้าทำ แล้วก็ทำอย่างสม่ำเสมอ ทำอย่างเต็มกำลัง ทำได้อย่างนี้บุญก็จะบังเกิดขึ้นกับเรา บังเกิดขึ้นกับทุก ๆ คน ไม่ช้าโลกก็จะเข้าถึงสันติสุขที่แท้จริง กุศลนี้ก็จะติดเราไปในภพเบื้องหน้า เป็นพลังผลักดันให้เราไปถึงที่สุดแห่งธรรมได้ พอถึงที่สุดแห่งธรรม เราก็จะพ้นจากบ่าว จากทาสของพญามาร เป็นอิสระ เป็นสุขอย่างแท้จริงนะจ๊ะ ต่อจากนี้ไปให้ลูก ๆ ทุกคนตั้งใจอธิษฐานจิตตามใจชอบกัน ในขณะที่คุณยายกำลังคุมบุญ และพระนิพพานกําลังสอดบุญ ลงมาในกลางกายเราทุก ๆ คนนะจ๊ะ