วิปัสสนา

วันที่ 16 พค. พ.ศ.2567

160567b01.jpg
 

วิปัสสนา
๑ ตุลาคม ๒๕๓๘
พระธรรมเทศนาเพื่อการปฏิบัติธรรม วัดพระธรรมกาย
โดย... พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (หลวงพ่อธัมมชโย)

 

                ให้นั่งขัดสมาส โดยเอาขาขวาทับขาซ้าย มือขวาทับมือซ้าย ให้นิ้วชี้ของมือข้างขวาจรดนิ้วหัวแม่มือข้างซ้าย วางไว้บนหน้าตักพอสบาย ๆ หลับตาของเราเบา ๆ หลับพอสบายคล้ายกับเรานอนหลับอย่าไปบีบหัวตา อย่ากดลูกนัยน์ตา หลับพอสบาย ๆ คล้าย ๆ กับเรานอนหลับนะจ๊ะ

 


                ความสบายเป็นต้นทางที่จะเข้าถึงธรรมกาย ซึ่งเป็นที่พึ่งที่ระลึกอันสูงสุดของพวกเราทั้งหลาย ท่านสิงสถิตอยู่ภายในกลางกายของเรา ฉะนั้นเราจะต้องปรับให้มันสบาย ๆ ทำใจให้ปลอดโปร่งให้ว่างเปล่าจากภารกิจเครื่องกังวลทั้งหลายจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม เรื่องการศึกษาเล่าเรียน เรื่องธุรกิจการงาน เรื่องครอบครัว หรือเรื่องอะไรที่นอกเหนือจากนี้ ที่จะทำให้ใจเรากังวล ให้ปลด ให้ปล่อย ให้วาง ให้ใจของเราว่างเปล่าจากความคิดทั้งหลายทั้งปวง ไม่ยึดมั่นถือมั่นในสิ่งอะไรทั้งสิ้น จะเป็นคน เป็นสัตว์ เป็นสิ่งของ ไม่ผูกพันอะไรทั้งหมด ทำใจให้ปลอดโปร่งให้ว่างเปล่าสบาย ๆ นะจ๊ะ ให้ปลอดโปร่งทุกคน และก็ทำใจให้นิ่ง ๆ

 


                พระพุทธเจ้าท่านเคยตรัสเอาไว้ว่าถ้าหากเราเอาจริง ตั้งใจปฏิบัติกันจริง ๆ การที่จะได้บรรลุมรรคผลนิพพานเนี่ยอย่างช้า ๗ ปี อย่างกลาง ๗ เดือน อย่างเร็วก็ ๗ วัน เพราะฉะนั้น ๗ วันสุดท้ายก่อนออกพรรษานี้นะจ๊ะ ตั้งใจกันให้เต็มที่พยายามชำระกาย วาจา ใจของเราให้สะอาด ให้บริสุทธิ์ ให้ผ่องใส อย่าได้ขุ่นมัวในเรื่องอะไรทั้งสิ้นเราทำใจของเราให้เบิกบาน ให้แช่มชื่น ให้ใจสงบ หยุดอยู่ภายใน ในตัวของเรา ในทุกอิริยาบถ ในทุกกิจกรรม ไม่ว่าจะเรียนหนังสือ ไม่ว่าจะประกอบธุรกิจการงาน ไม่ว่าจะทำภารกิจของแม่บ้าน ในบ้าน นอกบ้านหรือที่ไหนก็ตาม เมื่อใจของเราแช่มชื่น เบิกบานดี ไม่ช้ามันก็จะรวมหยุดเข้าไปสู่ภายใน ไปสู่ที่ตั้งในกลางกายซึ่งเราได้ทำใจให้คุ้นเคยอยู่กับตรงนี้มาตลอดระยะเวลาอันยาวนาน 

 


                แต่ด้วยอานุภาพแห่งบุญที่เราทำกันอย่างต่อเนื่องมา ก็จะทำให้ใจของเราหยุดนิ่งอย่างสงบอย่างสบาย ถึงตอนนั้นแหละสิ่งที่เราได้ปรารถนา อยากจะเข้าถึงอยากจะเห็น อยากจะรู้จัก อยากจะรู้รสในการเข้าถึงธรรม ว่ารสแห่งธรรมน่ะ ที่ได้บรรลุธรรมกาย เข้าถึงธรรมกายน่ะ ที่ว่าชนะเลิศกว่ารสทั้งปวงน่ะมันเป็นอย่างไง เราก็จะเข้าถึงกันได้อย่างง่ายดายทีเดียว เรามาลองทำใจของเราเนี่ย ให้หยุด ให้นิ่ง ให้สะอาด ให้บริสุทธิ์ ให้ผ่องใสและก็นึกถึงบุญที่กลางใจของเรา กลางกายของเราบ่อย ๆ สม่ำเสมอแล้วดูนะจ๊ะ ผลมันก็จะบังเกิดขึ้นอย่างที่เราคาดไม่ถึงทีเดียว 

 


                ใจเราจะหยุด ใจเราจะนิ่ง ใจเราจะใส จะสะอาดจะบริสุทธิ์ เดี๋ยวสิ่งที่เราไม่เคยเห็นเราก็จะเห็น ที่เคยนั่งอย่างมึน ๆ ซึม ๆ ตื้อ ๆ ก็จะโล่งโปร่งเบาสบาย ใจขยายออกไปเรื่อย ๆ ใครที่ไม่เคยเห็นแสงสว่างภายใน ก็จะเริ่มเห็นแสงสว่างเรืองรองขึ้นมาในกลางกาย ทีละเล็กทีละน้อย เป็นแสงสว่างที่มากับความสุข ความสดชื่น ที่แสงสว่างและความสดชื่น เมื่อขยายไปทั่วร่างกายเรา จะทําให้ร่างกายเราเกิดความปิติ ยินดี เบิกบาน เหมือนต้นไม้ที่ได้รับน้ำที่โคนต้น ผลิดอกออกผลด้วยความยินดีไปทั้งต้น ทั้งกิ่ง ทั้งก้าน ทั้งใบ ทั้งดอก ทั้งผล เบิกบานแช่มชื่นทีเดียว แสงสว่างก็จะบังเกิดขึ้น ใครที่ยังไม่เคยเข้าถึงดวงธรรม ได้ยินมาบ่อย ๆ ว่าดวงธรรมมีลักษณะกลมรอบตัวเหมือนดวงแก้วกายสิทธิ์ มีความโปร่งเบาสวยงาม งามไม่มีที่ติ งามกว่ารัตนชาติใด ๆ ทั้งสิ้น เราก็จะได้รู้จักกันในตอนนั้นว่า อ้อดวงธรรมมีลักษณะอย่างนี้

 

 

                เมื่อเข้าถึงแล้วมีความสุขอย่างนี้ มีความปราณีตของอารมณ์ มีความสดชื่น ก็รู้จักกันในตอนนี้ หรือใครเข้าถึงดวงธรรมแล้ว ยังไม่เคยเข้าถึงกายภายในเลย พอถึงวันนั้นน่ะ ด้วยอานุภาพแห่งบุญ เราก็จะเข้าถึงกายภายใน เห็นกายในกาย ที่ได้ยินได้ฟังหลวงพ่อพูดซ้ำ ๆ บ่อย ๆ ว่าข้างในมีกาย เป็นชีวิตที่ประเสริฐเลิศกว่าชีวิตภายนอกอีกหลาย ๆ ระดับขั้นตอนของชีวิตทีเดียว กายมนุษย์ละเอียด กายทิพย์ กายพรหม อรูปพรหม กายธรรม อะไรต่าง ๆ เหล่านั้นน่ะ เราก็จะได้รู้จักว่า เอ๊ะทำไมหลวงพ่อท่านพูดกันมาเนี่ย ตลอดระยะเวลา ๓๐ ปี ไม่เห็นมีอะไรใหม่เลย มีแต่คำเก่า ๆ แทบจะรู้เลยว่าท่านจะพูดอะไรต่อไป 

 


                ไอ้ที่ต้องย้ำอย่างนั้นก็เพราะมันเป็นอย่างนั้นน่ะ มันเป็นอย่างนี้ มันมีอยู่แล้ว ไม่ใช่ว่าเราไปทำให้มีเนี่ย พระพุทธเจ้าท่านใช้คำว่าตถตา ของนี้มีอยู่แล้ว ไม่ว่าพระพุทธเจ้าจะบังเกิดขึ้นหรือไม่บังเกิดขึ้นก็ตาม ธรรมทั้งปวงเหล่านี้มีอยู่แล้ว แต่ว่าเป็นของละเอียดอยู่ภายใน เราเป็นแต่เพียงทำความละเอียดให้ถึงตรงนั้นก็จะเข้าถึง นั่นแหละพอถึงตอนนั้นนะจ๊ะเราก็จะเข้าใจ คือกายต่าง ๆ ที่มีชีวิตไปตามลำดับ ปราณีตขึ้นไปตามลำดับนั้นมีอยู่จริงเป็นอย่างนี้ มีความแตกต่างกันอย่างงั้น ๆ เราก็จะรู้จักเลย จนกระทั่งถึงกายธรรมต่าง ๆ

 


                หลวงพ่อเชื่อว่าที่พระผู้มีพระภาคเจ้าท่านตรัสเอาไว้ว่า ถ้าตั้งใจทำความเพียรในเส้นทางแห่งความบริสุทธิ์ อย่างเร็ว ๗ วันเนี่ยจะเข้าถึง เพราะฉะนั้น ๗ วันสุดท้าย ก่อนที่จะออกพรรษานะจ๊ะ ถ้าลูก ๆ ทุกคนนึกถึงบุญกุศลที่เราได้สร้างธรรมกายเจดีย์รวมทั้งบุญอื่น ๆ ที่เราทำกันมาเยอะแยะมากมายก่ายกอง ทอดกฐินเอย ทอดผ้าป่าเอย ถวายสังฆทานหรือบุญอะไรที่นอกเหนือจากนี้น่ะ ให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนาอะไรต่าง ๆ เยอะแยะไปหมด นึกอย่างนี้แล้วใจก็จะได้ชุ่มชื่นเบิกบาน เมื่อใจสดชื่นเบิกบาน ใจที่สดชื่นอันนั้นแหละ ก็จะทำให้เราเข้าถึงธรรมได้อย่างง่ายดาย เข้าถึงธรรมได้อย่างง่ายดายทีเดียว อาทิตย์นี้นะจ๊ะทั้งอาทิตย์เลย ถ้าตั้งใจกันจริง ๆ จะต้องเข้าถึงธรรมภายในได้อย่างง่ายดาย 

 


             อย่างที่หลวงพ่อบอกมา เมื่อสักครู่นี้ว่าธรรมทั้งหมดเหล่านี้น่ะมีอยู่แล้ว ไม่ว่าพระพุทธเจ้าจะมาบังเกิดขึ้นหรือไม่บังเกิดขึ้นก็ตาม ธาตุธรรมทั้งหลายมีอยู่แล้ว คือธาตุทั้งหมด ธรรมทั้งหมด ธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ วิญญาณ อากาศธาตุ ธรรมทั้งปวงซึ่งเป็นที่ทรงรักษาสิ่งเหล่านั้นเอาไว้น่ะ มีอยู่มันมีอยู่แล้วภายใน จะเป็นดวงปฐมมรรคก็ดี ธรรมเบื้องต้น ศีล สมาธิ ปัญญา วิมุตติ วิมุตติญาณทัสสนะก็ดี ก็มีอยู่แล้วภายในกายมนุษย์ละเอียด กายทิพย์ กายรูปพรหม กายอรูปพรหม กายธรรมโคตรภู กายธรรมพระโสดา พระสกิทาคามี พระอนาคามี พระอรหัต มีอยู่แล้วน่ะ อยู่ภายในที่ซ้อนกันเข้าไปตามลำดับของความละเอียด กายที่ละเอียดมาก ก็ซ้อนอยู่ข้างในที่สุด ที่ละเอียดน้อยหน่อย ก็ขยับออกมาเรื่อยจนกระทั่งถึงกายหยาบ

 


                 เมื่อมีกาย ก็มีเห็น มีจำ มีคิด มีรู้ คือใจน่ะอยู่ตรงนั้น เมื่อมีกายมีใจก็มีภพรองรับ ภพภูมิต่าง ๆ นะ ภพของกายมนุษย์หยาบ เนี่ยที่เรานั่งเข้าที่อยู่ในโลกนี้มีภพที่เราอยู่ ภพของกายมนุษย์ละเอียดน่ะเค้าก็มีที่อยู่ของกายละเอียด ภพของกายทิพย์ สวรรค์ทั้งหลายเนี่ย ภพของกายรูปพรหมรูปภพ ภพของกายอรูปพรหมก็มีอรูปภพ ภพของกายธรรม พระนิพพานก็มีอยู่มีพร้อมอยู่แล้ว จนกระทั่งนิพพานในนิพพาน เข้าไปเรื่อย ๆ เลยเนี่ย มีอยู่แล้วทั้งหมด มีตั้งแต่เมื่อไหร่ยังไม่มีใครทราบ ยังไม่มีศาสดาใดเนี่ยได้กล่าวถึงว่า จุดเริ่มต้นมันเมื่อไหร่ หลวงพ่อวัดปากน้ำก็กำลังจะไปแสวงหาคำตอบนี้เหมือนกัน ต้องไปถึงที่สุดแห่งธรรมน่ะ 

 


                ที่สุดแห่งธรรม จึงจะรู้เรื่องราวเหล่านี้ทั้งหมดว่าจุดบังเกิดขึ้นเริ่มต้น มันเป็นอย่างไงมาอย่างไง นี่เป็นสิ่งที่ที่น่ารู้ทีเดียว เป็นสิ่งที่หลวงพ่อก็ตั้งปณิธานเอาไว้ จะต้องไปถึงที่สุดแห่งธรรม เพราะว่าอยากจะรู้เรื่องราวทั้งหมด อยากจะรู้ว่ามันอะไร มันเป็นอย่างไง ให้มันเข้าใจแจ่มแจ้งเพราะฉะนั้นธรรมทั้งหลายเหล่านี้มันมีอยู่แล้วนะจ๊ะ มีอยู่ภายใน ไม่ใช่เราไปทำให้มันบังเกิดขึ้น ให้มันมี อย่างผู้ที่ไม่ได้ปฏิบัติน่ะไม่เข้าใจ หรือพวกที่ทำไม่ได้ กับพวกที่ไม่ได้ทำ พวกที่ไม่ได้ทำมันดีแต่พูด มันก็พูดไปเรื่อยเปื่อย เค้าใช้จินตนาการนึกคิดไปว่า มันเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ เป็นไปไม่ได้ ไม่มีไม่จริงอะไรอย่างนั้น ส่วนพวกที่ได้ทำ แต่ทำไม่ได้เพราะไม่ถูกวิธี ก็ไม่เข้าถึง ไม่ไปรู้ไปเห็น ก็บอกว่ามันไม่มี ไปเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ สองประเภทนี้อย่าไปเอาใจใส่ เราไปดูว่าคนที่เค้าทำได้ เค้าทำได้ แล้วเขาไปรู้ไปเห็นอย่าง พระพุทธเจ้า พระอรหันต์ทั้งหลาย หรือหลวงพ่อวัดปากน้ำภาษีเจริญท่านไปรู้ไปเห็น 

 


                กระทั่งปัจจุบันนี้เนี่ยผู้ที่เข้าถึงก็รู้เห็น ก็ยืนยันเหมือนกันหมดว่ามันมีอยู่จริง ๆ มีอยู่แล้ว แต่ว่าเป็นของละเอียด ที่เราไม่สามารถจับต้องด้วยมือ หรือลืมตาเห็นได้ด้วยตามนุษย์ มันเห็นไม่ได้ มันต้องมีตาที่แตกต่างจากตามนุษย์ เค้าเรียกว่าธรรมจักขุ ต้องมีดวงตาธรรม ดวงตาของพระธรรมกายคือธรรมจักขุนั่นเอง การเห็นอย่างนี้เราจะได้ยินอยู่คำหนึ่งที่มันมาตรงกับการเห็นอันวิเศษ ที่แจ้ง แจ่มแจ้ง คือเห็นแบบดึงของมาสู่ที่แจ้งที่สว่าง และก็เห็นแตกต่างจากการเห็นทั่ว ๆ ไปน่ะ มันมีอยู่คำหนึ่งที่จะมาใช้กับคุณสมบัติอย่างนี้ ที่เห็นแจ้ง เห็นวิเศษ เห็นแตกต่างจากทั่วไป เขาใช้คำว่า วิปัสสนา วิแปลว่าวิเศษ แปลว่าแจ้ง แปลว่าต่าง ปัสสนา แปลว่าการเห็น วิปัสสนาก็คือ การเห็นที่วิเศษ แจ้งต่างจากจากตามนุษย์ จากมังสะจักษุ ตาเนื้อเนี่ย มันต้องมีดวงตาพิเศษ ถึงจะไปรู้ไปเห็นสิ่งที่มีอยู่แล้ว และได้เข้าถึงในสิ่งนั้น แล้วในที่สุดก็เป็นกับสิ่งนั้น เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับสิ่งนั้น เนี่ยเค้าเรียกว่า วิปัสสนา ต้องมีดวงตาที่วิเศษอย่างนี้นะจ๊ะ

 


                 ทีนี้จะมีดวงตาวิเศษอย่างนี้ได้นี่ หรือจะเข้าถึงสิ่งที่มีอยู่แล้วได้นี้น่ะะ มันจะต้องเริ่มต้นมาจากการทำแสงสว่างให้เกิด ถ้ามีแสงสว่างส่องไปที่ไหนเนี่ยถึงจะเห็นไปถึงนั่น เห็นถึงไหนก็รู้ถึงนั่น แสงสว่างจะเกิดได้จะเห็นได้ ต้องหยุด เนี่ยตรงกับคำว่า สมถะ แปลว่าหยุด แปลว่านิ่ง แปลว่าสงบ แปลว่าระงับ แปลว่าหยุดก็ได้ แปลว่านิ่งก็ได้ แปลว่าสงบ แปลว่าระงับ คือใจที่วิ่งไปวิ่งมา ไปคิดในเรื่องราวต่าง ๆ ด้วยความทะยานอยาก ความอยากทำให้ใจวิ่งน่ะ เมื่อมันหยุดได้ พอหยุดถูกส่วนเข้า เดี๋ยวเราก็เห็นหนทางเบื้องต้น ที่จะเข้าถึงดวงธรรมหรือกายภายในต่าง ๆ ที่มีอยู่แล้ว ได้ เนี่ยต้องหยุดนิ่งสนิทถูกส่วนเพราะฉะนั้นหลวงพ่อวัดปากน้ำท่านจึงยืนยันว่าหยุดเป็นตัวสำเร็จ จะใช้วิธีอื่น ไม่ได้เลยน่ะ ทั้ง ๆ ที่เราทราบว่าดวงธรรมก็ดี กายภายในก็ดี อยู่ในกลางกายในท้องเรา กลางกายเป็นทางผ่านลงไปน่ะ เราจะใช้วิธีอื่นน่ะ จะเอามีดมาผ่าท้อง ตัด cross section ตัดร่างกายเราออก แล้วมองดูเราก็จะเห็นแต่ตับไตไส้พุง จะเอาเอ็กซเรย์ส่องดูมันก็มองไม่เห็น จะใช้อะไรก็แล้วแต่มันไม่เห็นทั้งนั้นน่ะ 

 


                มันมีวิธีเดียวคือ ต้องหยุด เอาใจนี่หยุดนิ่ง ให้หยุดนิ่งอยู่ภายใน พอถูกส่วนเข้าก็เข้าถึงดวงธรรมต่าง ๆ ดวงธรรม เรื่อยไปเลย ธรรมเบื้องต้น ดวงธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน หรือดวงธรรมเบื้องต้น ดวงศีล สมาธิ ปัญญา วิมุตติ วิมุตติญาณทัสสนะ เป็นชุด ๆ เข้าไปเลยน่ะ เป็นเครื่อง เครื่องกลั่นใจของเราให้ละเอียด ให้บริสุทธิ์ พอบริสุทธิ์ถูกส่วนเข้านะจ๊ะ พอเราหยุดนิ่ง พอหยุดนิ่งนี่ธาตุมันบริสุทธิ์ พอบริสุทธิ์แล้วมันมีอานุภาพ มันแปลกทีเดียวเมื่อธาตุบริสุทธิ์ มันจะถูกดึง ดูดเข้าไปข้างใน ดึงดูดเข้าไปข้างใน มีแรงข้างในนะจ๊ะ มีแรงอยู่ข้างใน เค้าดึง ดึงใจของเรา แล้วก็ดูดวูบเข้าไปหากันน่ะ ที่เราเรียกว่าตกศูนย์ มันวูบไปน่ะ เหมือนเราเดินบนปลายไม้กระดกที่ริมสระน้ำ เราหล่นวูบลงไปอย่างนั้นน่ะ หรือนั่งอยู่ริมปากเหวแล้ววูบลงไปน่ะ หรือถ้าอย่างอ่อน ๆ ก็เหมือนเรานั่งรถเร็ว ๆ ลงจากสะพาน วูบ แต่มันยิ่งกว่านั้นนะจ๊ะ หรือนั่งเครื่องบิน นั่นน่ะตกหลุมอากาศ วูบไปเลย

 


                เมื่อใจหยุด ทวนอีกทีนะจ๊ะ เมื่อใจเราหยุดนิ่ง พอหยุดนิ่ง ความเห็น ความจำ ความรู้ ๔ อย่าง พอรวมหยุดเป็นจุดเดียวกัน พอหยุดตรงนั้น ความบริสุทธิ์เกิดขึ้นเลย ธาตุที่ไม่สะอาดด้วยบาปอกุศลกรรมต่าง ๆ ด้วยอกุศลกรรมต่าง ๆ ด้วยนิวรณ์ต่าง ๆ กามฉันทะ พยาบาท วิจิกิจฉา อะไรต่าง ๆ ประเภทอย่างนั้นน่ะ ความฟุ้งความง่วงที่เป็นเครื่องกั้นอยู่ ทำให้ใจคือ ความเห็น จำ คิด รู้อะไรต่าง ๆ เหล่านี้ไม่บริสุทธิ์ ธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ วิญญาณ อากาศ ไม่บริสุทธิ์ ธาตุ ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อเอ็นอะไรต่าง ๆ พวกนั้นน่ะ อาการ ๓๒ ไม่บริสุทธิ์ ในตัวของเรา อยู่ในใจสิ่งที่สะสมอยู่ในใจ อารมณ์ต่างๆ ที่ไม่บริสุทธิ์ มันแปลกนะจ๊ะ พอใจเราหยุดนิ่งถูกส่วนเข้า ธาตุเหล่านั้นถูกแยกออกไปเลยน่ะ มันถูกแว๊บหายไปเลย และธาตุนั้นก็จะบริสุทธิ์ พอบริสุทธิ์มันก็จะถูกดึงเข้าไปเลย 

 


                มันจะมีแรงเหนี่ยวนำข้างใน ภายใน จากกระแสแห่งความบริสุทธิ์ที่มีอายตนะตรงกัน ที่มีกระแสคลื่นตรงกัน วูบเข้าไป พอวูบเข้าไปเราก็เห็นเป็นดวง เมื่อความละเอียดเท่ากับดวงธรรมเบื้องต้น เห็นเป็นดวงใสบริสุทธิ์ อย่างเล็กก็ขนาดดวงดาวในอากาศ อย่างกลางก็ขนาดพระจันทร์ในคืนวันเพ็ญ อย่างใหญ่ก็ขนาดพระอาทิตย์ตอนเที่ยงวัน ดูดวูบพอวูบเราก็จะเห็นชัดเลย เห็นเป็นดวงขึ้นมา เห็นอย่างที่เรายอมรับว่าเห็น คล้ายกับตาเนื้อมองเห็นวัตถุ ตาเนื้อมองเห็นดวงดาวในอากาศอย่างไรน่ะ อย่างนี้คล้าย ๆ กัน จะแตกต่างที่อารมณ์ อย่างตาเนื้อมองเห็นดวงดาวในอากาศ มันเห็นก็เห็นไปอย่างนั้นน่ะ ไม่ได้มีอารมณ์แห่งความสุข ความสดชื่น ความเบิกบาน ความบริสุทธิ์เลย แต่ดวงธรรมภายในทั้ง ๆ ที่มีลักษณะเหมือนดวงดาว ดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์ บนท้องฟ้าน่ะ แต่เวลามันเห็นภายในเนี่ยะ การเห็นนั้นมาพร้อมกับความบริสุทธิ์ มาพร้อมกับความสุข มาพร้อมกับพลังใจ ที่อยากจะสร้างความดีต่อไป มาพร้อมกับพลังแห่งปัญญา ความรู้ที่เกิดขึ้นมาในกลางนั้น มันแปลกทีเดียวนะจ๊ะ 

 


                มาพร้อมกับความรู้แจ้ง ความสุข ความบริสุทธิ์ พลังแห่งการสร้างความดีอะไรต่าง ๆ เหล่านี้เป็นต้น เมื่อเราหยุดต่อไปเรื่อย ๆ โดยไม่ต้องทำอะไร เราทำหยุดกับนิ่งอย่างเดียว เพราะมันมีวิธีเดียวคือหยุด ถ้าไม่หยุดก็ไม่ถึง ไม่หยุดไม่เห็น ไม่หยุดไม่ถึง ไม่หยุดไม่เป็น ไม่หยุดไม่เห็นคือไม่เห็นดวงธรรม ไม่เห็นกายภายใน ไม่หยุดไม่ถึงคือ ถ้าหยุดไม่สนิทมันเห็นมันห่าง ๆ เห็นห่าง ๆ มันไปไม่ถึง ในสิ่งที่เราเห็นน่ะเหมือนเราเห็นของไกล ๆ อย่างนั้นน่ะ มันก็จะเข้าไปไม่ถึง ทีนี้ถ้าหากเราหยุดได้สนิทมันก็จะเข้าถึง คือถึงเลย สิ่งนั้นก็ใกล้เราเราก็ใกล้สิ่งนั้น ไม่หยุดไม่เป็นคือถ้าหยุดที่นิ่งแน่นเข้าไปอีก อารมณ์แนบแน่น เป็นอัปปนาสมาธิ แน่นเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เรากับสิ่งที่เราเห็น เช่นถ้าเราเห็นดวงธรรม ก็จะกลืนกันเป็นอันเดียวกันไปเลย เราก็จะเป็นดวงธรรม ดวงธรรมก็จะเป็นเรา ดวงธรรมเป็นอย่างไรเราก็จะเป็นอย่างงั้น เป็นแบบเดียวกับที่ดวงธรรมเป็น ถ้าเราเข้าถึงกายมนุษย์ละเอียด กายมนุษย์ละเอียดเป็นอย่างไร เราก็จะเป็นอย่างนั้น เป็นกายมนุษย์ละเอียด 

 


                ถ้าเข้าถึงกายทิพย์ กายทิพย์เป็นอย่างไร เราก็จะเป็นกายทิพย์อย่างนั้น ถ้าเข้าถึงกายรูปพรหม กายรูปพรหมเป็นอย่างไร เราก็จะเป็นอย่างนั้น ถ้าเข้าถึงกายอรูปพรหม กายอรูปพรหมเป็นอย่างไร เราก็จะเป็นอย่างนั้น ถ้าเข้าถึงกายธรรมโคตรภู กายธรรมโคตรภูเป็นอย่างไรเราก็จะเป็นอย่างนั้น ถ้าเข้าถึงกายธรรมพระโสดาบัน กายธรรมพระโสดาเป็นอย่างไร เราก็จะเป็นอย่างนั้น ถ้าเข้าถึงกายธรรมพระสกิทาคามี กายธรรมพระสกิทาคามีเป็นอย่างไร เราก็จะเป็นอย่างนั้น ถ้าเข้าถึงกายธรรมพระอนาคามี กายธรรมพระอนาคามีเป็นอย่างไร เราก็จะเป็นอย่างนั้น ถ้าเข้าถึงกายธรรมอรหัต กายธรรมอรหัตเป็นอย่างไร เราก็จะเป็นอย่างนั้น ด้วยวิธีการเดียวคือหยุดกับนิ่งเท่านั้นเอง หยุดอย่างเดียวจึงเป็นตัวสำเร็จ ให้ได้ไปเห็น ให้ได้ไปเข้าถึง ให้ได้ไปเป็นสิ่งนั้นนะจ๊ะ เพราะฉะนั้นหยุดเป็นตัวสำเร็จอย่างเดียว

 


                ดังนั้นสิ่งที่ที่เราต้องทำในชีวิตนี้มีเพียงอย่างเดียวคือ หยุด ถ้าเราปรารถนาที่จะไปรู้ไปเห็นไปถึงไปเป็นในสิ่งที่ผู้รู้ทั้งหลายอยากเป็นน่ะ ผู้รู้บัณฑิตทั้งหลายอยากจะไปเป็นสิ่งนั้น เพราะว่าปัจจุบันน่ะมันเป็นไม่จริงน่ะ เป็นพ่อบ้านแม่บ้านก็ชั่วคราว เป็นปู่เป็นย่าเป็นตาเป็นยายชั่วคราว เป็น ส.ส.ก็ชั่วคราว ไปเป็นรัฐมนตรีก็ชั่วคราวอีก เป็นนายกชั่วคราว มันชั่วคราวหมดเลย เพราะฉะนั้นมันไม่ใช่ที่ของจริงของจังอะไรต่างๆ เป็นเศรษฐีก็เศรษฐีชั่วคราว ถึงเวลาหมดบุญเอาสมบัติอะไรเอาไปไม่ได้อีกแล้ว ทิ้งเอาไปอีกแล้ว ไปแต่อะไรก็ไม่รู้น่ะ แต่ตัวของเราน่ะ เพราะฉะนั้นสิ่งที่เป็นจริง ๆ นั้นมีอยู่ภายในตัวของเราตรงนี้นะจ๊ะ อย่าไปแสวงหาอะไรต่ออะไรกัน โดยเฉพาะตอนนี้มีเทศกาลไหว้พระราหู เป็นเทศกาลสำหรับผู้ที่ไม่รู้น่ะ เรายกไว้สำหรับผู้ที่ยังไม่รู้เกี่ยวกับเรื่องพระรัตนตรัยน่ะ เขาจะเชื่อพระราหูก็เป็นเรื่องของเค้า ให้เอาของดำ ๆ เนี่ยบูชาบ้าง เวลานึกแล้วมันจะได้ดำมืด ๆ เห็นแต่ของมืด ๆ น่ะ ไอ้ของใสๆ ไม่ค่อยเห็น ชีวิตมันจะได้มืด ๆ กันไปเรื่อย ๆ นั่นเค้าไม่รู้อะไรเขาก็พูดออกไปอย่างนั้น

 


                แต่เราได้เข้ามาถึงพระรัตนตรัยแล้วเนี่ย เราอยู่เหนือเทศกาลบูชาพระราหูกัน เราอยู่ในเทศกาลบูชาพระรัตนตรัยมี ๓ อย่างเท่านั้น เป็นที่พึ่งที่ระลึกอันสูงสุดของเราทั้งหลาย เพราะฉะนั้นเราก็บูชาแต่พระรัตนตรัยอย่างเดียว เอาใจจรดจรดจ่ออย่างนี้แหละ มีแต่ความสุข สดชื่น เบิกบาน เพราะฉะนั้นทำกันอย่างนี้นะ ต่อจากนี้ไปก็ให้ตั้งใจ ทำใจให้หยุดให้นิ่งกันทุก ๆ คนนะจ๊ะ สำหรับท่านที่มาใหม่ ก็ทำให้หยุดนิ่งอยู่ที่กลางกายฐานที่ ๗ ฐานที่ ๗ หลวงพ่อพูดย่อ ๆ นะจ๊ะ สมมติหยิบเส้นด้ายขึ้นมาสองเส้น นำมาขึงให้ตึง เส้นหนึ่งขึงจากสะดือทะลุไปด้านหลัง อีกเส้นหนึ่งขึงจากด้านขวาทะลุไปด้านซ้าย ให้เส้นด้ายทั้งสองตัดกันเป็นกากบาท จุดตัดของเส้นด้ายทั้งสองเล็กเท่ากับปลายเข็ม เหนือจุดตัดนี้ขึ้นมาสองนิ้วมือ สมมติเราเอานิ้วชี้กับนิ้วกลางวางซ้อนกัน แล้วนำไปทาบตรงจุดตัดของเส้นด้ายทั้งสอง ขึ้นมาสองนิ้วมือนะจ๊ะ ตรงนี้แหละจำไว้ให้ดีนะ เรียกว่าศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ เรียกว่าศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ท่านที่มาใหม่ก็ให้เอาใจมาหยุดอยู่ตรงนี้นะจ๊ะ หยุดตรงนี้ให้ใจหยุดนิ่ง ๆ ตำแหน่งที่เหนือจากจุดตัด ของเส้นด้ายทั้งสอง  ขึ้นมา สองนิ้วมือ ให้ใจหยุดนิ่งสบาย ๆ แล้วก็นึกถึงเครื่องหมายของใจ

 


                หยุด ใจจะได้มีที่ยึดที่เกาะ ให้นึกเป็นดวงแก้วใส ๆ ใสเหมือนกับเพชรลูก เพชรลูกที่เจียระไนแล้ว ไม่มีขีด ไม่มีข่วนคล้ายขนแมว ไม่มีขีดข่วนคล้ายขนแมว โตเท่ากับแก้วตาของเรา โตเท่ากับแก้วตานะจ๊ะ ให้เป็นเครื่องหมายที่ตั้งของใจเราน่ะ ให้นึกอยู่ที่ตรงนี้แหละ เอามาตั้งตรงนี้ วิธีนึกก็มีเทคนิคเหมือนกัน มีกลเม็ดในการนึก ต้องนึกอย่างสบาย ๆ คล้ายกับเรานึกถึงน้ำที่กลิ้งอยู่บนใบบัว หรือน้ำค้างที่อยู่บนปลายยอดหญ้า อยู่ที่ปลายยอดหญ้า ในยามเช้าเมื่อกระทบแสงอาทิตย์มีประกายเจิดจ้าอย่างไรน่ะ เครื่องหมายซึ่งเป็นที่หยุดของใจเรา เราก็นึกตรงนี้นะ แล้วมันก็มีกลเม็ดที่จะทำให้นึกและเข้าถึงได้เร็ว ๆ ก็คือต้องนึกอย่างสบาย ให้ต่อเนื่องกันไป อย่าให้เผลอนะจ๊ะ คืออย่าไปเผลอไปนึกเรื่องอื่น คือถ้าเราจะนึกถึงดวง เครื่องหมายใส ๆ ใสเหมือนกับเพชร เราก็นึกถึงความใสเหมือนกับเพชร นึกถึงเครื่องหมายตรงเนี้ยะ นึกให้ใส 

 


                ใจของเราก็ตั้งอยู่ตรงกึ่งกลางของความใสนะ เอาใจไปหยุดอยู่ที่ตรงนี้น่ะ ไม่ใช่ไปเพ่งนะ ไม่ใช่ไปจ้อง เอาใจหยุดอยู่ตรงเครื่องหมายตรงนี้เนี๊ยะ อย่างสบาย ไม่ต้องคิดอะไรเลยน่ะ ให้นิ่ง ๆ อย่างสบาย ทำใจให้สบาย ๆ ใจเป็นกลาง ๆ ให้นิ่ง เมื่อใจหยุดใจนิ่งอยู่ตรงนั้นนะ หยุดนิ่งถูกส่วนก็จะเห็นเครื่องหมายชัดเจนเลย ชัดเจนเหมือนกับเราลืมตาเห็นวัตถุภายนอก ใจนึกถึงเครื่องหมายตรงเนี้ยะอย่างสบาย สบายสังเกตดูรู้สึกว่าอารมณ์เราปลอดโปร่ง หัวไม่ทึบ ตัวไม่เกร็ง นิ้วไม่กระดก ไหล่ไม่ยก ท้องไม่เกร็ง รู้สึกสบายสบายอย่างนั้นน่ะ ถึงจะถูกต้องนะจ๊ะ ถ้าหากว่า ทั้ง ๆ ที่ทำอย่างนี้แล้วเนี่ย มันก็ยังอดไปนึกเรื่องอื่นไม่ได้เลย ไม่รู้จะทำยังไง จะนึกอย่างนี้อย่างเดียวมันก็ยังจะนึกอีกอย่างคู่กันไปนะ 

 


                เราก็ต้องภาวนาช่วย ต้องภาวนาว่า สัมมาอะระหัง ๆ ๆ ๆ ภาวนาอย่างนี้ไปเรื่อยเลยนะจ๊ะ ภาวนาสัมมาอะระหังไปเรื่อยเลย ก็มีเทคนิคอีกเหมือนกันในการภาวนา ต้องภาวนาเหมือนเป็นความสํานึกลึก ๆ คล้าย ๆ เพลงที่ร้อง ใจน่ะทั้ง ๆ ที่เราไม่ตั้งใจจะร้องเพลง แต่เสียงเพลงมันดังขึ้นมาในใจน่ะ เสียงคำภาวนาสัมมาอะระหังก็ต้องดังคล้าย ๆ อย่างนั้นน่ะ แต่ต้องให้ออกมาจากตรงกลางของเครื่องหมายที่ใสสะอาด ประดุจเพชรลูกที่เจียระไนแล้ว ไม่มีขีดข่วนคล้ายขนแมว โตเท่ากับแก้วตาของเรา ตรงฐานที่ ๗ ตอนนี้ท่านที่มาใหม่รู้จักฐานที่ ๗ แล้วนะจ๊ะ ให้ใจหยุดอยู่ตรงนี้ที่เดียว หยุดนิ่ง ถ้าฟุ้งไปคิดเรื่องอื่นก็สัมมาอะระหังไปเรื่อย ๆ ถ้าไม่ฟุ้งก็ไม่ต้องภาวนาสัมมาอะระหัง ทำใจหยุดนิ่งอยู่ที่กลางเครื่องหมายดวงใส ๆ ตรงนี้อย่างเดียวน่ะ เป็นเครื่องหมายเป็นที่หยุดใจน่ะ ใจจะได้ไม่ไปหยุดที่อื่น แล้วก็ทำใจให้นิ่ง ๆ เบา ๆ สบาย ทำใจเย็น ๆ ต้องใจเย็นนะจ๊ะ คือหน้าที่เรา หน้าที่ของเรา ฟังตรงนี้นะ หน้าที่ของเรามีหน้าที่ทำใจหยุดกับนิ่งอยู่ตรงนี้เท่านั้น 

 


                ส่วนผลที่จะบังเกิดขึ้น ประสบการณ์ภายในที่จะบังเกิดขึ้น ก็ให้เป็นผลพลอยได้ เป็นผลพลอยดี ที่เกิดจากการทำใจให้หยุดนิ่งตรงกลางเครื่องหมาย คืออะไรจะเกิดต่อไปข้างหน้าน่ะ เราอย่าไปสนใจว่าอะไรมันจะเกิด อย่าไปอยากรู้อยากเห็นอะไรมัน สิ่งที่เราต้องทำเฉพาะหน้า เราทำแค่เอาใจหยุด ใจนิ่งที่กลางเครื่องหมาย ที่ใส่สะอาดเหมือนเพชรลูกที่เจียระไนแล้ว ไม่มีขีดข่วนคล้ายขนแมว โตเท่ากับแก้วตา ตรงนี้ อย่างนี้ แค่นั้นนะจ๊ะ เนี่ยทำอย่างนี้แค่นั้น

 


                แล้วก็ทําใจให้มันหลวม ๆ เหมือนเราใส่เสื้อผ้าหลวม ๆ ใจหลวม ๆ ใจเราอยู่ตรงท้อง กลางกายเราอย่างหลวม ๆ สบาย ๆ ให้สังเกตดูว่าใจหลวมหรือใจมันคับ ถ้าใจคับมันจะอึดอัด ร่างกายมันจะฟ้อง มันจะบอกเรามันบอกเราเราต้องเชื่อนะ ถ้าร่างกายเตือนเราว่า มันคับแล้ว มันตึง มันทึบ แสดงว่าปฏิบัติไม่ถูกวิธี ทำไม่ถูกวิธีจะไปโทษเรื่องบุญ เรื่องกุศล เรื่องบารมีว่าทำมาน้อย หรืออะไร อย่าไปพูด อย่าไปนึกอย่างนั้นนะ ไม่ใช่ เราทำไม่ถูกวิธีต่างหาก ทำไม่ถูกวิธีต่างหาก ร่างกายน่ะเขาเตือนแล้วเขาบอกแล้ว ถ้าเมื่อไหร่เราทำใจมันคับ มันจะตึง พอตึงก็เครียด มันทึบ มันตื้อ มันเกร็ง นิ้วยก นิ้วมันกระดก ไหล่มันจะยกขึ้น ท้องจะเกร็ง หัวมึนซึมหมด นั่นร่างกายเตือนแล้วนะ ระบบประสาทเตือนแล้วว่าไม่ถูกวิธี อย่าไปดันทุรังทำนะ เราก็ต้องปรับใหม่

 


                ถ้าถูกวิธีเป็นอย่างไร ใจมันจะหยุดนิ่งสบาย แม้ไม่เห็นอะไรก็ตาม เราจะรู้สึกว่า มันจะเริ่มโล่งใจ โปร่งใจ สบายใจ ใจจะขยายเหมือนตัวมันพอง ๆ โต ๆ ขยายออกไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งกลืนกันไปกับบรรยากาศ อย่างนี้ถูกวิธีนะ แล้วเราจะมีความรู้สึกว่าอยากจะอยู่กับตรงนี้นาน ๆ ไปเรื่อย ๆ ไม่กำหนดเวลา ไม่กำหนดวันคืน ไม่ห่วงเรื่องอะไรทั้งสิ้นเลย จะเป็นคน เป็นสัตว์ เป็นสิ่งของ ธุรกิจการงานอะไรก็ไม่ห่วง รู้สึกชอบ พึงพอใจกับความรู้สึกชนิดนี้ นั่นแหละถูกวิธีแล้วนะจ๊ะ จำให้ดีนะ ตรงนี้สำคัญนะจ๊ะ ๓๐ ปีพูดมาก็ตรงนี้แหละ ถึงแม้ไม่มีอะไรใหม่ แต่สิ่งที่พูดเก่า ๆ นี่สำคัญนะ สำคัญที่สุด ถ้าทำหยุดตรงนี้ได้เดี๋ยวจะสอนให้หมด ชาตินี้สอนเท่าไหร่ก็ไม่หมดหรอก ความรู้เยอะแยะ แต่ทำหยุดนิ่งให้ได้ซะก่อน ถ้าหยุดนิ่งได้แล้วเดี๋ยวสอนต่อเยอะแยะเลย จะเรียนเรื่องวิชชาอะไร ในทางพระพุทธศาสนา ไม่ยาก สำคัญตรงนี้ต้องหยุดตรงนี้ให้ได้เสียก่อน เพราะว่าหยุดเป็นตัวสำเร็จนะจ๊ะ หยุดตรงนี้นะ เอ้า ต่างคนต่างทำกันเงียบ ๆ อย่างสบาย ๆ ทำกันไปเงียบ ๆ นะจ๊ะ

 


                ตั้งใจนะจ๊ะ ตั้งใจ ตอนนี้สำคัญ ใจของเรายังอยู่ที่เดิม ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ เพราะที่หยุดใจของเรามีอยู่ที่เดียวตรงนี้นะจ๊ะ แต่ที่มันไม่หยุดอยู่ที่ตรงนี้ เพราะว่าความอยากมันพาใจเราไปที่อื่น ความอยากเป็นสมุทัยบ่อเกิดแห่งความทุกข์นะ เพราะฉะนั้นถ้าหยุดตรงนี้ได้ พอถูกส่วนเข้า เดี๋ยวเราก็จะเห็นแสงสว่าง เข้าถึงดวงธรรมเห็นกายในกาย เห็นกายในกาย เห็นกายมนุษย์ กายทิพย์ พรหม อรูปพรหม จนกระทั่งถึงกายธรรม กายธรรมที่ลักษณะสวยงามมาก เกตุดอกบัวตูม นั่งขัดสมาส หันหน้าออกไปทางเดียวกับตัวของเรา กายท่านสวยงามทีเดียวใสบริสุทธิ์ทีเดียวนะจ๊ะ เราก็จะเข้าถึงกายธรรม เพราะฉะนั้นใครหยุดได้ถึง สภาวธรรมไหนก็หยุดไปตรงนั้น

 


                หยุดให้นิ่ง พอเรานิ่งถูกส่วนน่ะ เดี๋ยวใจมันจะเคลื่อนเข้าไปข้างใน มันจะเข้าไปข้างในเลยนะจ๊ะ ใจเคลื่อนใจจะขยาย ความรู้สึกก็จะขยาย เคลื่อนเข้าไปเรื่อย เคลื่อนเข้ากลางไปเรื่อย กลางของกลางไปเรื่อย ที่ว่ากลางของกลางน่ะ พอหยุดเข้าไปแล้วกลางนั้นมันก็ขยาย ขยายเพราะเรามีกลางใหม่ก็เข้าไป พระธรรมกายท่านก็จะผุดซ้อนขึ้นมา ซ้อน ๆ ซ้อน ๆ จากองค์เล็กไปสู่องค์ใหญ่ และก็ใหญ่โตขึ้นไปเรื่อย ๆ จากชัดน้อยไปชัดมาก จากความใสน้อยไปสู่ความใสมาก ยิ่ง ๆ ขึ้นไป จนกระทั่งใสเกินใสนะ ใสในใสนะ องค์พระใส ผุดเกิดขึ้นมาในกลาง อย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งดูเป็นสายขององค์พระ ผุดซ้อน ๆ ๆ ขึ้นมาเอง ๆ เราไม่ต้องทำอะไรเลยน่ะ หยุดนิ่งอย่างเดียวไม่ต้องไปแหวกกลาง ไม่ต้องไปทำอะไรน่ะ หยุดอย่างเดียว หยุดนิ่งอย่างเดียวนะจ๊ะ

 


                หยุดเนี่ยชาตินี้หลวงพ่อปวารณาตัวไว้จะพูดถึงเรื่องหยุดอย่างเดียว เมื่อไหร่คนทั้งโลกหยุดได้แล้ว เมื่อนั้นก็จะพูดหยุดในหยุดต่อไปอีก ให้ไปรู้ไปเห็นข้างใน เพราะว่าจะเป็นวิชชา ๓ วิชชา ๘ อภิญญา ๖ หรืออะไรก็แล้วแต่ มันอยู่ที่หยุดอย่างเดียวเท่านั้น หยุดกับนิ่ง จะพูดก็เรื่องหยุดอย่างเดียว จนกว่าทุกคนในโลกจะหยุดได้ ให้รู้วิธีหยุด จนกระทั่งหยุดเข้าไปแล้วมีประสบการณ์ภายใน เมื่อเราหยุดไปถูกส่วนถึงระดับหนึ่ง กายหยาบหายไปเลย เราจะไปเป็นองค์พระเลย จะเป็นองค์พระ องค์พระธรรมกายเป็นเรา เราจะเป็นท่านเลย ท่านก็จะเป็นเรา เราก็จะเป็นท่าน เราไม่เป็นนายนั่นนายนี้ คุณนั่นคุณนี่ ไม่เป็นแล้วนะ เป็นพระธรรมกาย เป็นพระตลอดเวลาเลย ใส บริสุทธิ์ สว่าง 

 


                พระธรรมกายท่านก็จะหยุดของท่าน เพราะปกติท่านหยุดตลอดเวลาล่ะ พระธรรมกายเนี่ย หยุดไปเลย กิจอย่างอื่นท่านไม่มีจะทำน่ะ ไม่ต้องทำมาหากิน ไม่ต้องเปลี่ยนอิริยาบถเพราะไม่ปวดไม่เมื่อยอะไร ไม่คิดเรื่องโน้นเรื่องนี้ แล้วท่านหยุดนิ่ง หยุดในกลาง เข้านิโรธสมาบัติเข้าไปเรื่อย หยุดนิ่ง หยุดในหยุด หยุดในหยุด ๆ เข้าไปเรื่อยเลย หยุดตรงกลางกายของท่านน่ะ ไปเชื่อมโยงกับผู้รู้ภายใน เชื่อมโยงเข้าไปเรื่อย ๆ เรียนวิชชาธรรมกายต่อไปอีกน่ะ ของท่านอย่างนั้นน่ะ หยุดเข้าไปเรื่อย เราจะต้องหยุดไปถึงระดับหนึ่งทีเดียวนะจ๊ะ หยุดเข้าไปเรื่อยหยุดเข้าไป จนกระทั่งความละเอียดก็ละเอียดเข้าไป ละเอียดเข้าไป ละเอียดเข้าไปเนี่ย ใสขึ้น ๆ สว่างขึ้น ๆ โตใหญ่ขึ้น ใหญ่ขึ้นไปเรื่อยเลยนะ 

 


                ขยาย ขยาย ขยาย ขยาย ถึงจุด ๆ หนึ่ง ความละเอียดเท่ากับอายตนนิพพาน ก็จะถูกดูดวูบขึ้นไปเลย วูบไปก็เห็นพระพุทธเจ้า พระธรรมกายพระพุทธเจ้า พระอรหันต์เต็มไปหมดเลย ลักษณะธรรมกายเหมือนกันเลยกับของตัวเรานี่แหละ แต่ท่านใสกว่า สว่าง สวยงามมากทีเดียว เหมือนปั๊มกันออกมาเลยนะ และเครื่องไทยธรรมของเราจะไปสว่างตรงนั้นน่ะ พรึบเต็มไปหมดเลย จะสว่างเต็มหมด จะมีกี่พระองค์ก็ตาม เครื่องไทยธรรมของเราน่ะเดี๋ยวคุณยายท่านก็จะทับทวีไปเลยเนี่ย ทับทวี มันก็พรึบไปเลย เต็ม ไม่ได้ใช้กำลังอะไรเลยน่ะ พรึบ เต็มไปหมดเลย คุณยายท่านก็จะทับทวีไปถวายพระพุทธเจ้าทุกพระองค์เลย ยิ่งละเอียดเข้าไป ก็ยิ่งกว้างเหมือนออกทะเลแห่งความบริสุทธิ์ ที่ไม่มีขอบเขต มีแต่พระธรรมกายพระพุทธเจ้าเต็มไปหมดเลย 

 


                พระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอรหันต์ทั้งหลาย เต็ม เครื่องไทยธรรมของเราก็เต็มใสบริสุทธิ์ สว่าง คุณยายกำลังทับทวีขึ้นไป บุญที่เกิดขึ้นจากทุกพระองค์เลยก็มาจรดศูนย์กลางกายเรา ศูนย์กลางกายเราเป็นดวงบุญ ใสบริสุทธิ์ อยู่ในกลางกายของพวกเราทุกคนเลยเนี่ย ทุกคนเลย แต่ไม่เท่ากัน ใครหยุดสนิทมากก็ได้มาก หยุดน้อยก็ได้น้อย ยิ่งใครเข้าถึงพระธรรมกาย เป็นพระธรรมกาย บุญมากที่สุดเลยตอนเนี่ย ไหลผ่านมากลางดวงบุญโต จะดวงกลมเหมือนกันนะจ๊ะ ดวงบุญกับดวงธรรมเนี่ยมันกลมเหมือนกันเลยเนี่ย แต่ว่าข้างในมันไม่เหมือนกัน นี่สิเป็นสิ่งที่น่าจะไปรู้ไปเห็นกันนะ ที่ว่าให้เห็นเป็นบุญน่ะ ทำบุญได้ก็ต้องเห็น แล้วเราก็จะเห็นเลยบุญเนี่ยะ จะส่งผลให้เราไปเป็นอะไรตั้งแต่ในมนุษย์ ในทิพย์ เรื่อยไปเลย ภพต่อกันไปเลย มองเห็นภพต่อ ๆ ๆ ต่อกันขึ้นไปเลย 

 


                จนกระทั่งไปถึงที่สุดแห่งธรรม ต่อ ๆ ต่อ ๆ แต่ไปมันยังไม่ที่สุดมันก็ไปเรื่อย ๆ แหละ ก็บุญที่บูชาข้าวพระเนี่ยะ จะทำให้เรามีสมบัติทั้งสาม ซึ่งหลวงพ่อบ่อยเลย สมบัติทั้งสาม รูปสมบัติ ทรัพย์สมบัติ คุณสมบัติ ซึ่งเป็นอุปกรณ์ในการสร้างบารมีอย่างสำคัญ จนกระทั่งไปถึงที่สุดแห่งธรรมเลย ติดอยู่ในกลาง แต่โตใหญ่ไม่เท่ากันเพราะบางคนก็ตั้งใจมาก บางคนก็ไม่ค่อยตั้งใจ บางคนก็ลืมตา บางคนก็เดี๋ยวพอเตือนหน่อยก็หลับตาทีนึ่ง ขยุกขยิกบ้าง อะไรบ้าง หรือบางคนก็เพ่งซะจนกระทั่งปวดลูกนัยน์ตาเลย บางคนก็สบายสบาย บางคนดวงธรรมใสเห็นกายภายในใส บางคนก็เห็นองค์พระใส บางคนก็เห็นคุ้ม ๆ ค่ำๆ สลัว ๆ บางคนก็สว่างจ้า โตใหญ่ขึ้นไปเรื่อย

 


                บางคนองค์พระผุดใหญ่เลยตอนนี้ ผุดสว่าง มีความสุขและชอบใจที่หลวงพ่อพูดนี่ ก็ชอบอกชอบใจทีเดียวว่าเออ เป็นอย่างที่เรากำลังเป็นอยู่ตอนนี้ กำลังมีความสุข แต่ว่าบุญที่เราได้กันขนาดนี้เนี่ย เราอย่าเอาไปเทียบกับคนอื่นเค้านะ เพราะฉะนั้นบุญของพวกเรานี่ ถึงจะเป็นยาจกก็เป็นยาจกในหมู่เศรษฐี ซึ่งมันรวยกว่าเศรษฐีในหมู่ยาจก บุญที่เกิดขึ้นก็สว่างขึ้นไปเรื่อย ยิ่งถ้าเราทำใจเบา ๆ นะ เทคนิคมีอยู่ตรงนี้นะจ๊ะ ที่เราจะตักตวงบุญ ต้องเบาสบาย นิ่ง ๆ นุ่ม ๆ ละมุนละไม ให้ใจใสสว่างเข้าไปเรื่อย ๆ ๆ ๆ เข้าไปเลยน่ะ สว่าง นั่งยิ้มได้เลย น่ะสว่างจ้า ใสบริสุทธิ์

 


                คุณยายก็ขอบุญ บารมี รัศมี กำลังฤทธิ์ อำนาจสิทธิเฉียบขาดของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์เลย ให้พวกเราทุกคนจะอยู่ในฐานะอะไรก็ตาม ถ้าเป็นนักเรียนก็ให้เรียนเป็นบัณฑิตเป็นนักปราชญ์ ถ้าเป็นข้าราชการก็ให้ทำงานภารกิจให้สำเร็จสมความปรารถนา ได้เลื่อนยศเลื่อนตำแหน่งขึ้นไปเรื่อย ๆ ถ้าเป็นนักธุรกิจก็ให้เป็นมหาเศรษฐีผู้ใจบุญ อุปสรรคต่าง ๆ นานาก็ให้ละลายหายสูญไปให้หมด ถ้าปฏิบัติธรรมะก็ให้เข้าถึงธรรม ครอบครัวก็ให้อยู่เย็นเป็นสุข ที่เจ็บป่วยก็ให้ร่างกายแข็งแรง ให้อายุยืนยาว ให้มีความสุขสดชื่น เบิกบาน ที่เป็นกัลยาณมิตรก็ให้ไปทําหน้าที่กัลยาณมิตรให้สมบูรณ์ทีเดียว เนี่ยเติมกราบทูลพระนิพพาน ให้เติมบุญเติมบารมี ให้กับทุก ๆ คนลงมาเลย ให้ซ้อนให้แน่นให้หมดเลย อย่าให้มีช่องว่างเลยให้เต็มไปหมดทุกกาย 

 


                ในกายมนุษย์ ทิพย์ พรหมอรูปพรหมกาย กายธรรม ติดไปหมดทุกกาย ทั้งอยู่ภายในและต่างประเทศน่ะ ที่อยู่ต่างประเทศ อยู่ไกล ลูกที่อยู่ไกลเนี่ยก็ให้ได้บุญใหญ่ไปด้วย ไปทำหน้าที่รวบรวมสมบัติของโลก ก็ให้รวบรวมได้ จะทำหน้าที่กัลยาณมิตรให้คนรู้จักวิธีทำบุญ ให้ทานเป็น รักษาศีลเป็น เจริญภาวนาเป็น หน้าที่ของกัลยาณมิตรนี้ก็ให้สมบูรณ์ ให้มีกำลังใจที่เข้มแข็ง ต่อสู้เอาชนะอุปสรรคทั้งหลายทั้งมวลได้ เอาบุญนี้ซ้อนให้เต็มให้หมดเลย ให้มีความสุขกายสุขใจ เป็นที่รักของทุก ๆ คน จะเดินทางไกลไปไหนมาไหน ให้บุญรักษาให้ปลอดภัยให้หมดเลย 

 

                และให้บุญใหญ่นี้ช่วยกันสร้างธรรมกายเจดีย์นี้ ให้สำเร็จเป็นอัศจรรย์ ให้สำเร็จ ๆ จะไปชวนใครสร้างธรรมกายประจำตัว ก็ให้เขามีกุศลศรัทธาเลื่อมใส มาเป็นเจ้าภาพสร้างพระธรรมกายประจำตัวหมดทุกคนเลย และให้มีความสุขกายสุขใจในการทำหน้าที่ของกัลยาณมิตร ให้ได้รับการต้อนรับในทุกสถานที่ ทุกหนทุกแห่ง หลับเป็นสุข ตื่นเป็นสุข นั่ง นอนยืน เดินเป็นสุขไปหมด ในทุกสถานที่เลย เนี่ยคุณยายคุมบุญทับทวีไปเรื่อย ๆ ให้สำเร็จให้ได้เป็นอัศจรรย์  เพราะฉะนั้นตอนนี้คุณยายคุมบุญให้ลูก ๆ ทุก ๆ คนภายในและต่างประเทศ ให้เป็นมหาเศรษฐีผู้ใจบุญ ให้แทงตลอดในวิชชาธรรมกายของพระพุทธเจ้า ให้ได้บรรลุธรรม ที่หลวงพ่อวัดปากน้ำภาษีเจริญได้บรรลุ ให้มีกำลังใจที่เข้มแข็ง เป็นยอดนักสร้างบารมีที่ไม่มีใครเสมอเหมือน ทำที่สิ่งที่ใคร ๆ ทำได้ยาก ให้สำเร็จเป็นอัศจรรย์ คิดอะไรก็ให้สมปรารถนา คุณยายคุมบุญ กันให้ดีน่ะจ๊ะ อธิษฐานให้ดีนะ 

 

 

 

 

 

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล Total Execution Time: 0.035085733731588 Mins