อะไรเป็นความเศร้าหมองของศีล
ศีลที่บุคคลรักษาจะรักษาโดยปกติภาวะคือรักษาอยู่ประจำ ไม่ได้รับศีลจากพระ แต่ก็มีศีล ปฏิบัติตามหลักศีลอยู่ประจำก็ดีรักษาโดยการสมาทานศีล คือได้รับศีลจากพระ เช่น รับศีลในงานบุญต่างๆแล้วก็ปฏิบัติตามหลักแห่งศีลข้อนั้นๆ ก็ดี หากรักษาไว้ได้เคร่งครัดสมบูรณ์ศีลนั้นชื่อว่า มีความบริสุทธิ์ผ่องแผ้ว ไม่เศร้าหมอง ไม่มีมลทิน ย่อมให้อานิสงส์สมบูรณ์
แต่ข้อบกพร่องหรือความย่อหย่อนในการรักษาศีลย่อมมีอยู่ทั่วไป อันนี้จัดว่า เป็นความเศร้าหมองของศีล
ลักษณะของศีลที่มีความเศร้าหมองไม่ผ่องแผ้วนั้น ท่านแสดงไว้ตามลักษณะความบกพร่องย่อหย่อนในศีลที่ต่างกันดังนี้
ศีลขาด คือศีลที่มีการล่วงละเมิดขาดไปเบื้องต้นหรือเบื้องปลายเหมือนผ้าที่ชายขาด
ศีลทะลุ คือศีลที่มีการล่วงละเมิดขาดไปเฉพาะข้อกลางๆ เหมือนผ้าที่ขาดทะลุตรงกลางผืน
ศีลด่าง คือศีลที่มีการล่วงละเมิดขาดไปตามลำดับข้อ เหมือนรอยด่างที่หลังแม่โค ซึ่งด่างเป็นสีดำหรือสีแดงอย่างใดอย่างหนึ่ง ซึ่งเป็นสีไม่เหมือนกัน
ศีลพร้อย คือศีลที่ขาดเป็นตอนๆ ไป เหมือนแม่โคที่มีลายเป็นจุดๆ อยู่ทั่วตัว ด้วยสีที่ไม่เหมือนกัน
ภาวะที่ศีลขาด หรือทะลุ หรือด่าง หรือพร้อยไปเช่นนี้แหละจัดเป็นความเศร้าหมองของศีล
ความรู้เรื่องนี้เพื่อเป็นเครื่องเตือนใจและเป็นเครื่องตรวจสอบศีลของผู้รักษาศีล จะได้ระวังมิให้ศีลที่ตนรักษาเศร้าหมอง หรือเมื่อเกิดความสงสัยขึ้นก็สามารถตรวจสอบได้ว่าศีลของตนเศร้าหมองอย่างไรหรือไม่ เพื่อจะได้สบายใจ อิ่มเอิบใจ ไม่ต้องวิตกกังวลอะไรกับเรื่องศีลของตนเมื่อรู้ว่าศีลของตนไม่เศร้าหมอง
การตรวจสอบศีลด้วยการนึกถึงการกระทำของตนแต่ละวันแต่ละช่วงเวลานั้นสำคัญไม่น้อย ถ้าทำได้จะทำให้เราเห็นข้อดีข้อด้อยแห่งการกระทำของเราในแต่ละวันแต่ละเวลา หากมีข้อด้อย ทำไม่ดีพูดไม่ดีไปบ้าง ต่อไปจะได้ระวังไม่ทำไม่พูดอีก เท่ากับหยุดยั้งการกระทำที่ไม่ดีการพูดที่ไม่ดีของเราไปในตัวถ้าไม่ตรวจสอบก็ไม่รู้หรือระลึกไม่ได้ว่าเรามีข้อด้อยอย่างไร ควรแก้ไขปรับปรุงอย่างไร หากมีข้อดี เราก็จะภูมิใจ อิ่มเอิบใจ ไม่ห่วงกังวลอะไร และจะระวังมิให้ผิดพลาดเกิดขึ้น ทำให้มีสติรู้ตัวอยู่ตลอดเวลา
คนที่สามารถรักษาศีลให้บริสุทธิ์อยู่ได้ก็ด้วยมีสติ ตรวจสอบ นึกถึงการกระทำของตนอย่างนี้แหละ หากขาดสติเสียแล้วก็ไม่ตรวจสอบ ทำให้ศีลกะรุ่งกะริ่งไม่เป็นชิ้นเป็นอัน หาอานิสงส์ไม่ได้