ทรงเปล่งพระวาจาปรารถนาพุทธภูมิ และได้รับพุทธพยากรณ์ (ตอน ๑)
.....พระสาครจักรพรรดิราช
เมื่อพระเจ้าอติเทวะสวรรคตแล้ว ได้ทรงท่องเที่ยวเกิดเป็นมนุษย์บ้าง เป็นเทวดาบ้าง นับพระชาติไม่ถ้วน กระทั่งถึงเวลาหนึ่งเป็นสุญญกัป ไม่มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาตรัสรู้ พระโพธิสัตว์ของเรามาเกิดเป็นมนุษย์ธรรมดา บรรพชาเป็นดาบสอยู่ในป่าหิมวันต์ เพียรภาวนาจนได้ปฐมฌาน ตายแล้วไปบังเกิดในพรหมโลก จุติจากพรหมโลกมาบังเกิดเป็นราชตระกูล ณ ธัญญวดีนคร ทรงพระนามว่า พระสาครจักรพรรดิราช เสวยราชสมบัติในทวีปทั้ง ๔ ครองแผ่นดินด้วยทศพิธราชธรรม ประชาชนอยู่ร่มเย็นเป็นสุขทั่วหน้า
ในวันอุโบสถพระองค์ทรงถือศีลอุโบสถอยู่เนืองนิจ บุญจึงบันดาลให้สัตตรัตนะแก้ว ๗ ประการ บังเกิดขึ้นแก่พระองค์ ได้แก่ จักรแก้ว ช้างแก้ว ม้าแก้ว แก้วมณี นางแก้ว ขุนคลังแก้ว และขุนพลแก้ว
เวลานั้นเองสมเด็จพระปุราณศากยมุนีโคตมสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงบำเพ็ญบารมีมาครบ ๑๖ อสงไขยแสนมหากัป เกิดในจักรพรรดิราชตระกูลเสวยโลกียสุข ในฆราวาสอยู่ห้าพันปี ทรงเบื่อหน่ายเสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์ ทรงบำเพ็ญเพียรอยู่ ๘ เดือน จึงตรัสรู้เป็น พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ขณะที่พระองค์ทรงแสดงพระธัมมจักกัปปวัตตนสูตรตามพุทธประเพณี เป็นเหตุให้เกิดโกลาหล แผ่นดินไหวใหญ่ทั่วโลกธาตุ ทำให้จักรแก้วของพระเจ้าสาครจักรพรรดิพระโพธิสัตว์เคลื่อนตกจากที่ตั้ง
ธรรมดาการที่จักรแก้วจะเคลื่อนจากที่ได้เอง มีสาเหตุอยู่ ๒ ประการ คือ
๑. จะมีอันตรายต่อพระชนม์ของพระเจ้าจักรพรรดิผู้เป็นเจ้าของ
๒. มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมาอุบัติขึ้นในโลก
เหล่าโหราจารย์ตรวจดูแล้วลงมติว่า เป็นเพราะมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบังเกิดขึ้น พระสาครจักรพรรดิราชทรงมีปีติโสมนัส ตรัสสั่งให้เตรียมเครื่องสักการะเป็นอันมาก พร้อมด้วยข้าราชบริพารเป็นขบวนยาวถึง ๑๒ โยชน์ มายังสำนึกพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถวายอภิวาทและทำการสักการบูชา ทรงสดับพระธรรมเทศนาแล้วยิ่งเพิ่มความปีติเลื่อมใส ตรัสสั่งให้สร้างเสนาสนะต่างๆ เช่น วิหาร กุฏิ ศาลา ฯลฯ อย่างละแสน ส่วนพระคันธกุฎีทำด้วยแก่นจันทร์อันเป็นไม้มีกลิ่นหอม
ครั้นแล้วจึงถวายเป็นสหัสสทานแด่พระภิกษุสงฆ์ มีพระพุทธเจ้าเป็นประธานพร้อมทรงเปล่งพระวาจาว่า ด้วยอานิสงส์ผลทานครั้งนี้ ขอให้พระองค์ได้สำเร็จเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในอนาคต ให้มีพระนามว่า โคตมะ ดังเช่นพระนามของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
พระปุราณโคดมสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสเตือนพระทัยพระเจ้าสาครจักรพรรดิราชว่า การสร้างบารมีเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นยากลำบากมาก มีอุปสรรคหนักหนาสาหัส อุปมาแล้วเหมือนต้องเดินทางเท้าเปล่าไปบนเถ้าถ่านร้อนระอุจากฟากหนึ่งของจักรวาลไปยังอีกฟากหนึ่ง ซึ่งเป็นระยะทางยาวไกล หรือเหมือนเดินตะลุยเท้าเปล่าฝ่าถ่านเพลิงที่มีไฟลุกโชติช่วงข้ามไปอีกฟากหนึ่งของโลกธาตุ หรือเหมือนว่ายไปในน้ำทองแดงที่ร้อนระอุละลายเหลวระหว่างซอกภูเขาเหล็กที่ลุกเป็นไฟโพลงอยู่ ไม่รู้ดับ เรียงรายไปตลอดระยะทางข้ามไปอีกฟากหนึ่งของจักรวาล
ผู้ปรารถนาพุทธภูมิ จะต้องมีน้ำใจกล้าหาญทำตามดังที่อุปมานั้นได้ โดยมิอาลัยเลือดเนื้อและชีวิต จึงจะพอประสบความสำเร็จ
พระเจ้าสาครจักรพรรดิราช แม้ได้สดับอุปมาต่างๆ ดังนี้แล้ว ก็ทรงยืนยันด้วยพระทัยตั้งมั่นเด็ดเดี่ยว ตรัสย้ำว่า แม้จะต้องบุกฝ่าผ่านอเวจีมหานรก พระองค์ก็จะเสด็จไปให้จงได้
สมเด็จพระปุราณศากยมุนีโคตมสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเห็นถึงความตั้งพระทัยมั่นคงดังนั้น จึงทรงพิจารณาไปในอนาคตังสญาณก็ทราบชัดว่า พระราชาผู้ยิ่งใหญ่นี้จะสำเร็จกิจสมพระหฤทัยในเวลาต่อไปอีก ๑๓ อสงไขยแสนกัป แต่เนื่องจากพระชาตินี้ยังมีธรรมสโมธานไม่บริบูรณ์ คือยังไม่ใช่บรรพชิต จึงมิได้ตรัสพยากรณ์ เพียงแต่ทรงขอให้พระเจ้าสาครจักรพรรดิราชทรงตั้งพระทัยปฏิบัติพุทธการธรรมให้ยิ่งๆ ขึ้นไป ได้แก่การบำเพ็ญบารมี ๑๐ ประการ ทั้งขึ้นธรรมดา (ระดับต้น) ระดับกลาง และระดับสูงสุด เรียกว่าสมดึงสบารมี รวมทั้งบำเพ็ญปัญจมหาบริจาค คือบริจาคสิ่งสำคัญ ๕ ประการ มี ทรัพย์ บุตร ภรรยา กายและชีวิต เมื่อบำเพ็ญได้สมบูรณ์ครบถ้วนดังนี้แล้ว จึงจะสามารถสำเร็จเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้
พระเจ้าสาครจักรพรรดิราชทรงปีติโสมนัสเป็นล้นพ้น ราวกับจะได้ตรัสรู้ในเวลาวันนั้น หรือรุ่งขึ้น ทรงสละจักรพรรดิสมบัติ กับรัตนะทั้ง ๗ ประการ ไว้ทะนุบำรุงพระศาสนาแล้วเสด็จออกบรรพชาศึกษาคันถธุระเชี่ยวชาญในพระไตรปิฎก แล้วบำเพ็ญสมถภาวนาทำฌานอภิญญามิให้เสื่อม สิ้นพระชนม์แล้วไปเกิดในสุคติภพ
ภพชาติต่อจากนั้น พระโพธิสัตว์ของเราทั้งหลาย ไม่เสื่อมคลายความเพียรที่ทรงตั้งพระทัยที่จะปฏิบัติเพื่อบรรลุพระสัพพัญญุตญาณแม้แต่พระชาติเดียว พระองค์ทรงบำเพ็ญอธิการ และเปล่งพระวาจาขอเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งบ้างในอนาคต ต่อพระพักตร์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกพระองค์ที่ทรงพบทุกพระชาติเป็นเวลายาวนานถึง ๙ อสงไขยกัป เป็นจำนวนพระพุทธเจ้าถึง ๓๘๗,๐๐๐ พระองค์