ต้องเป็๋นให้ได้ ( ดั่งเช่นพระพุทธเจ้า ) ความรู้ที่แท้จริง ( ตอนที่ ๑ )
.....เวลานั้นราวๆ กลางเดือนกรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๓๗ มีรายการโทรทัศน์น่าสนใจมากอยู่ ๒ เรื่อง
.....เรื่องแรก เป็นการถ่ายทอดจากล้องดูดาวทั้งในประเทศและต่างประเทศให้เห็นสะเก็ดาวหางหลายชิ้น ทยอยหลุดจากโคจรมาพุ่งชนผิวดาวพฤหัสฯ แต่ละชิ้นโตเท่าภูเขาขนาดต่างๆ เวลาพุ่งชนแต่ละครั้งเห็นเป็นแสงสว่างลุกจ้าขึ้นแล้วจึงดับไป ตรงบริเวณพื้นผิวที่ถูกชนมีรอยสีดำเล็กบ้างใหญ่บ้าง นักดาราศาสตร์คำนวณว่า รอยแต่ละรอยที่ถูกชนนั้นเกิดเป็นหลุมลึกนับเป็นร้อยกิโลเมตร และกว้างยาวเป็นพันๆ กิโลเมตร
.....เรื่องที่สอง มีอาจารย์ความรู้ปริญญาเอกผู้หนึ่งพาเด็กเล็กๆ มาออกรายการ คนหนึ่งอายุเพียง ๔ ขวบ อ่านหนังสือออกได้เองโดยไม่มีใครสอน เด็กชี้แจงว่าพอเห็นตัวหนังสือก็ทราบทันทีว่า อ่านว่าอย่างไรบ้าง แต่ไม่สามารถบอกได้ว่าคำเหล่านั้นประกอบด้วยตัวอักษรอะไร อีกคนหนึ่งอายุ ๖ ขวบ เล่นเปียโนได้เก่งคล่องแคล่วไม่แพ้ผู้ใหญ่ อาจารย์ท่านนั้นชี้แจงว่า มีเด็กที่มีความสามารถเป็นพิเศษด้านต่างๆ ทำนองเดียวกันนี้อยู่ในความดูแลของท่านหลายคน
.....สองเรื่องที่กล่าวนี้ ให้ข้อคิดทั้งด้านวัตถุและด้านจิตใจ เรื่องการพุ่งชนของสะเก็ดดาว ทำให้เห็นความไม่แน่นอนของห้วงอากาศ ที่เป็นมวลของวัตถุธาตุ เพียงเศษสะเก็ดดาวพุ่งชนยังมีการระเบิดทำลายรุนแรงดังที่เป็นปรากฏการณ์ให้เห็น ถ้าดวงดาวชนกันเองบ้าง คงมีการระเบิดทำลายล้างมากมายกว่านี้นับเท่าไม่ถ้วน
.....แม้เหตุการณ์ดังที่ว่านี้ นักดาราศาสตร์ นักวิทยาศาสตร์ ยังไม่สามารถคำนวณได้ว่าจะเกิดขึ้นเมื่อใด ผลที่เกิดตามมาเป็นอย่างไร แต่ทางด้านพุทธศาสนาได้เล่าเหตุการณ์เหล่านี้ไว้ได้หมดสิ้น พร้อมทั้งบอกวิธีพิสูจน์ให้ทำตาม จนรู้เห็นตามได้ด้วย เพียงแต่ไม่ใช้เครื่องมือเครื่องใช้ภายนอก เช่น กล้องขยายชนิดต่างๆ ยานอวกาศ หรือจรวด ฯลฯ แต่ใช้การทำงานทางจิตแทน
.....ส่วนเรื่องความสามารถพิเศษต่างๆ ที่เกิดขึ้นแก่เด็กหรือคนบางคน เป็นหลักฐานยืนยันได้ว่า คนเราตายแล้วเกิดอีก ตราบใดที่ยังไม่สร้างเหตุให้เลิกเกิดสำเร็จ ตราบนั้นต้องตายแล้วเกิด เกิดแล้วตาย วนเวียนซ้ำๆ อยู่ไม่รู้จบ ความสามารถพิเศษทุกอย่างที่เคยทำได้จะถูกเก็บไว้ในกลุ่มพลังงานของจิต เหมือนเมล็ดพันธุ์พืชเก็บลักษณะสายพันธุ์ของตนเองไว้ เมื่อใดพบภาวะที่เหมาะสมจึงงอกเป็นต้นขึ้นมา
.....เมื่อมีการตายแล้วเกิด ร่างกายที่เกิดขึ้นใหม่ไม่ว่าจะเกิดเป็นอะไร ประกอบด้วยโครงร่างและเลือดเนื้อที่ไม่แตกต่างกันกับชีวิตประเภทเดียกวัน แต่พลังงานของจติต่างกันตามคุณภาพที่เคยสะสมไว้ในอดีตชาติก่อนๆ เราจึงพบว่า ไม่ว่าจะเกิดเป็นอะไร แม้เป็นสัตว์หรือมนุษย์หรืออะไรๆ ประเภทเดียวกันก็จริง แต่จิตใจแตกต่างไม่มีเหมือนกันเลยแม้แต่ชีวิตเดียว
.....เรื่องการทำงานของจิตใจสะสมข้ามชาติได้ดังที่กล่าวนี้ ก็เป็นทำนองเดียวกับเรื่องของวัตถุ คือนักจิตศาสตร์ ปรัชญา มนุษยศาสตร์ ชีววิทยา ฯลฯ บรรดาวิชาการที่มีในโลกไม่สามารถให้ความกระจ่างได้ชัดแจ้งเต็มที่ ได้แต่เพียงสันนิษฐานเอาเหมือนวิชาการทางวัตถุ มีเพียงพุทธศาสตร์เท่านั้น ที่สามารถพิสูจน์ได้แจ่มแจ้ง ด้วยวิธีใช้จิตพิสูจน์จิต
.....พุทธศาสตร์ เป็นศาสตร์ของผู้รู้จริง รู้แจ้ง ชนิดที่ไม่มีสิ่งใดมาหักล้างได้ เป็นความรู้รอบ ไม่จำกัดสาขาวิชา เป็นสุดยอดของวิชาการทั้งปวงในโลก
.....การศึกษาเล่าเรียนวิชาต่างๆ ในโลก เรียนด้วยการใช้วัตถุนอกตัวเป็นอุปกรณ์เพื่อทอลอง ค้นคว้า พิสูจน์ วิจัย ความรู้ที่ได้มีทั้งผิดทั้งถูก ถ้าถูก็เป็นเพียงบางแง่ บางมุมที่ไม่ลึกซึ้ง และไม่รู้ตลอดในความจริงทั้งหมด
.....สรุปแล้วการศึกษาทุกสิ่งทุกประการ ไม่ต้องอาศัยเครื่องมือหรืออุปกรณ์ใดๆ ขอเพียงมีจิตที่มีสภาพปกติ มีความตั้งใจแน่วแน่มั่นคง มีสติที่มีกำลัง มีความพากเพียร ไม่ท้อถอย เริ่มต้นเท่านี้ก็เกินพอ
.....เมื่อการศึกษาประสบผลสำเร็จ ความรู้ที่เกิดขึ้นเห็นได้ด้วยภาพที่เกิดขึ้นในใจ เรียกภาษาทางธรรมว่าญาณทัสนะ การรู้เห็นด้วยอำนาจจิต
ต้องเป็นให้ได้ (ดั่งเช่นพระพุทธเจ้า)
โดย อุบาสิกาถวิล (บุญทรง) วัติรางกูล