.....เมื่อพูดถึงวิญญาณหลายคนเริ่มอยู่ไม่สุข ยิ่งถ้าพูดในเวลาพลบค่ำหรือช่วงกลางค่ำกลางคืน ยิ่งรู้สึกเสียวสันหลังแว้บขึ้นทันที บางคนพาลพาให้ขนหัวลุกไปตามๆ กันด้วย ถ้าจะถามกันตรงๆ ว่าเคยเห็นหรือวิญญาณที่ว่านั้น คำตอบที่ได้คือขนาดยังไม่เคยเห็นยังกลัวขนาดนี้ แล้วถ้าเคยเห็นคงไม่ต้องพูดถึงกันล่ะ
.....ในความหมายของวิญญาณที่ผมจะกล่าวถึงนี้ ไม่ได้หมายถึงสิ่งที่อยู่ในกายที่กำลังล่องลอยไปเมื่อเสียชีวิต แต่จะกล่าวถึงวิญญาณที่อยู่ในข้าวของเครื่องใช้ที่คอยเรียกร้องผู้คนให้สนใจและรีบใช้ของสิ่งนั้นให้เกิดประโยชน์
.....จะว่าไปแล้วของทุกอย่างก็มีวิญญาณของมันทั้งนั้น มีหนังสืออยู่ในมือร้อยทั้งร้อยก็ต้องเปิดอ่าน มีเครื่องดนตรีจะเป็นฉิ่ง กรับ กลอง ฆ้อง กีตาร์มีอยู่ในมืออดไม่ได้หรอกครับที่จะดีดสีตีเป่าให้เกิดเสียง เตียงนอน หมอน มุ้งมีวิญญาณอีกเช่นกัน ไม่งั้นจะดึงดูดให้เรานอนไม่รู้จักตื่นได้อย่างไร โดยเฉพาะโทรศัพท์คงมีวิญญาณที่เข้มแข็งมาก เราไม่เคยปล่อยให้มันอยู่เฉยๆเลย โทรได้ตลอดเวลาขนาดกำลังขับรถที่ต้องใช้สมาธิเพื่อความปลอดภัยแล้วยังอดเสี่ยงอันตรายขับไปโทรไปไม่ได้เลย
.....มีผู้เปรียบเทียบเกี่ยวกับวิญญาณไว้อย่างน่าสนใจทีเดียวครับ เขากล่าวไว้ว่า ร่างกายของเราเปรียบเหมือนเรือลำใหญ่ วิญญาณนั้นเป็นเจ้าของเรือทั้งลำ ซึ่งตามปกติเจ้าของเรือไม่สามารถจะไปเดินเรือด้วยตัวเองได้ จึงต้องจ้างนายเรือหรือกัปตัน ซึ่งเปรียบได้กับดวงจิตให้ทำหน้าที่เป็นผู้บัญชาการในเรือ ในเรื่องนี้ถ้าเราได้นายเรือดีเรือนั้นจะทำการค้าขายหรือรับคนโดยสารก็เรียบร้อยได้ผลดีมีกำไร เจ้าของเรือนั้นก็เป็นผู้ได้รับ ถ้านายเรือเหลวไหลนำเรือไปอัปปาง เจ้าของเรือก็รับเคราะห์
.....เพราะฉะนั้นนายเรือหรือใจนั้นจึงมีหน้าที่สำคัญที่สุด เมื่อเราจะตั้งให้ใจทำหน้าที่สำคัญแล้ว ควรฝึกใจให้เข้มแข็งและมุ่งแต่จะเดินทางไปในเส้นทางบุญ กระแสโลกที่พัดกระหน่ำอยู่นั้นจำเป็นเหลือเกินครับที่ต้องมีนายเรือที่เข้มแข็งไม่หวั่นไหวต่อภัยและคลื่นลมทั้งปวงนั้น เมื่อเราฝึกนายเรือไว้อย่างชำนาญในเส้นทางบุญแล้ว เชื่อเหลือเกินว่าอุปสรรคทั้งหลายทั้งปวงที่อาจเกิดขึ้นในเส้นทางชีวิตจะผ่านพ้นไปได้อย่างปลอดภัย แม้เจ้าของเรือจำเป็นต้องสละเรือที่ผุผังนี้ไปยังดินแดนใหม่ สถานที่หรือดินแดนที่เจ้าของเรือจะไปนั้นต้องถึงพร้อมด้วยความสุขใจอย่างเต็มเปี่ยม เพราะเราได้ฝึกใจหรือกัปตันนั้นคุ้นเคยกับบุญกุศลมาตลอดเส้นทาง
จีระ ศุภวัฒน์