.....โดยปกติของมนุษย์เวลาที่ทำอะไรผิดๆ พลาดๆ หรือทำอะไรที่มนุษย์ทั่วไปเขาไม่ทำกันก็จะมีความเขินอาย หรือรู้สึกไม่สบายใจนักที่ได้ทำสิ่งที่ไม่ถูกไม่ต้องลงไป อย่างเช่น การทำผิดกฎหมายจราจรเวลาที่ไม่มีตำรวจ เดินลัดสนามทั้งที่มีป้ายเตือนไว้ จอดรถในที่ห้ามจอด และอะไรอีกหลายๆ อย่างเชียวครับที่ทำไปแล้วบ่งบอกว่าเป็นคนที่ไม่มีวินัยในตัวเองและต่อผู้อื่น
.....ผมไม่เข้าใจคำโบราณที่เรียกความไม่กระดากอายว่าไม่มียาง หรือคำเดิมไม่มียางอาย ซึ่งปกติของยางจะมีลักษณะเป็นของเหลวและเหนียวๆ ที่รวมตัวกันแล้วไหลออกจากผลหรือต้นไม้บางอย่าง จากการสังเกตที่ผ่านมาเวลาจะกำจัดยางออกจากต้นไม้ หรือแม้แต่ข้าวของเสื้อผ้าที่บังเอิญไปสัมผัสเข้ามักจะกำจัดยาก คงเป็นเพราะสาเหตุนี้กระมังการกำจัดยากของยางจึงมาเปรียบกับความกระดากอาย เก้อเขินของคนที่จะทำในสิ่งที่คนอื่นเข้าไม่ทำกัน ตราบใดที่ยังมีความปกติของมนุษย์ และมีความรู้สึกเหมือนกับคนส่วนใหญ่ ยางอายก็ยังมีอายุการใช้งานได้ดีอยู่
.....ตามความรู้สึกแล้ว ผมว่ายางอายของมนุษย์เราน่าจะมีอายุการใช้งานได้นาน ถ้าหากไม่โดนไฟของกิเลสมาหลอมละลายหรือทำให้อนุภาพเสื่อมลง ดูง่ายๆ เรื่องการนุ่งห่มเสื้อผ้า ถ้าเป็นกุลสตรีสมัยก่อนจะต้องนุ่งห่มที่ปิดบังรัดกุมสุภาพ ไม่เปิดเผยหรือยั่วยุเหมือนกับสมัยนี้ ที่มีแค่สายอยู่เส้นเดียว หรือไม่ก็เกาะอกไว้เฉยๆ ส่วนกระโปรงที่ใส่ถ้าไม่สั้นแบบประหยัดผ้า ก็ผ่าเสียลึกจนน่าเสียวถึงไส้ ยิ่งถ้าเธอกรีดกราย อยู่ตามท้องถนนหนุ่มๆ อาจพากันระทวยอ่อนกันหมด อย่างนี้เริ่มเข้าข่ายเก้อยากแล้วล่ะครับ แต่เขาก็มีวิธีที่จะทำให้เป็นเรื่องปกติธรรมดาของมนุษย์ทั่วไปได้ด้วยการบัญญัติคำสวยหรูว่าคนเหล่านี้มีความมั่นใจสูง
.....หนทางแก้ไขที่จะเพิ่มอายุของยาง(อาย) ต้องทำลายความมั่นใจด้วยสายตาดูแคลนคนเก้อยากเหล่านี้ด้วยคนกลุ่มใหญ่แล้วล่ะครับ มองให้เขาเสียความมั่นใจอย่างที่วัยรุ่นเขาเรียกว่า เสียเซลฟ์ เป็นคำย่อของ เซลฟ์คอนฟิเด้นท์ (Self-confident) นั่นแหละครับ ถ้าเราเพิ่มความเขินอายให้เขาเก้อเขินบ้าง บางทีสังคมเราน่าจะมีคนที่แต่งตัวรัดกุมและน่าเกียจน้อยลง
.....อย่ามองข้ามนะครับ แค่เรื่องเครื่องนุ่งห่มร่างกาย ถึงแม้จะเป็นตัวของฉัน เนื้อหนังมังสาของฉันก็ตามี แต่ผลเสียส่วนรวมมันจะเกิดขึ้นก็เพราะ ความไม่ระมัดระวังเหล่านี้แหละครับ ข่าวการถูกข่มขืนกระทำชำเราจะได้มีอัตราส่วนลดลงบ้าง ถ้าหากช่วยกันเพิ่มยาง(อาย)ให้กับสังคม
นายตั้ม