ตอนที่ ๑๒
ความเป็นมาของท่านคุณานันทเถระ ในทรรศนะของโรงเรียนอนุบาลฝันในฝันวิทยา
เนื้อความในส่วนของโรงเรียนอนุบาลฝันในฝันวิทยามีดังต่อไปนี้
สถานการณ์พระพุทธศาสนาในศรีลังกา
กาลครั้งหนึ่ง เมื่อร้อยกว่าปีที่แล้ว ณ ประเทศศรีลังกา ซึ่งมีภูมิประเทศเป็นเกาะ มีน้ำล้อมรอบ เป็นดินแดนที่พระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองมาก ทั้งมนุษย์และเทวดาทั้งหลายล้วนมีความปลื้มปีติใจ ที่ได้สร้างบุญใหญ่ในดินแดนพระพุทธศาสนาแห่งนี้ และได้มีโอกาสเรียนรู้ธรรมะ ได้ฟังธรรมจากสาวกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ต่อมาภายหลัง พระพุทธศาสนาได้อ่อนแอลงไปมาก เนื่องจากพุทธบริษัท ๔ ไม่ค่อยให้ความสนใจเหมือนดังแต่ก่อน กลับไปให้ความสำคัญกับสิ่งอื่นมากกว่าคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งสถานการณ์เช่นนี้ถือว่าเป็นศึกภายใน ส่วนศึกภายนอก ก็คือ การรุกรานจากต่างชาติในรูปแบบต่างๆ ซึ่งมาพร้อมกับการเผยแผ่คำสอนจากศาสนิกอื่น ได้เริ่มแทรกแซงเข้ามาเรื่อยๆจนกระทั่งพระพุทธศาสนาอ่อนแอลงทุกขณะ
เหล่าเทวดาที่ดูแลรักษาพระพุทธศาสนาในประเทศศรีลังกา ซึ่งก็คือ อดีตมนุษย์ที่เป็นพุทธศาสนิกชนเดิม ที่เมื่อละโลกไปแล้ว ส่วนหนึ่งได้มาเกิดเป็นเทวดาอยู่ ณ ถิ่นฐานบ้านเดิมของตน ได้มองเห็นเหตุการณ์ปัจจุบัน และเหตุการณ์ในอนาคตด้วยทิพยจักษุ ถึงความที่พุทธศาสนากำลังจะสูญสิ้นไปจากดินแดนแห่งนี้ แล้วเกิดความรู้สึกว่า หากปล่อยให้สถานการณ์เป็นไปอย่างนี้ พุทธศาสนาก็คงจะย่ำแย่ ต่อไปในอนาคต บ้านเมืองจะต้องถูกปกครองโดยชาวต่างชาติที่มีความเชื่ออย่างอื่น ซึ่งจะไม่เป็นผลดีต่อชาวศรีลังกา เมื่อเทวดาเหล่านั้นได้เห็นถึงอันตรายที่จะเกิดขึ้นกับพระพุทธศาสนา จึงได้ไปกราบทูลเรื่องนี้กับท้าวจาตุมหาราช โดยฝากข้อความกันไปเป็นทอดๆ จากภุมเทวาบอกรุกขเทวา จากรุกขเทวาบอกอากาสเทวา อากาสเทวาขึ้นไปถึงสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา แล้วเข้าไปรายงานท้าวจาตุมหาราช ซึ่งท่านเป็นพุทธศาสนิกชน ให้ทราบถึงเรื่องราวเกี่ยวกับพระพุทธศาสนาในเกาะศรีลังกา
ท้าวจาตุมหาราชเมื่อรับทราบแล้ว ก็ได้นำเรื่องราวทั้งหมดเข้าสู่เทวสมาคม บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เทวสมาคมเป็นที่ชุมนุมของชาวสวรรค์ ซึ่งจะมาประชุมพร้อมกันในวันพระ ที่ประชุมได้หารือกันถึงสถานการณ์ของพระพุทธศาสนาในประเทศศรีลังกาที่กำลังจะย่ำแย่ และหาวิธีการแก้ไขว่า ควรจะทำอย่างไรกันดี ในที่สุดจึงได้ข้อสรุปว่า เราจะต้องไปอาราธนาพระโพธิสัตว์เทวบุตร ให้ลงมาบังเกิดในเมืองมนุษย์ เพื่อที่จะแก้ไขเหตุการณ์ในครั้งนี้ ท้าวสักกเทวราชรับมติในที่ประชุมแล้ว จึงคอยวันเวลาที่จะมีเทวดาจากสวรรค์ชั้นดุสิต ลงมากราบไหว้พระธาตุจุฬามณี จนกระทั่งวันหนึ่ง เทวดาจากสวรรค์ชั้นดุสิตก็ลงมาบูชาพระธาตุจุฬามณี ท้าวสักกเทวราชเห็นเช่นนั้นก็ทราบได้ทันที เนื่องจากมีความคุ้นเคยอยู่แล้วว่า เทวดาที่มีรัศมีกายสว่างเพียงนี้ ควรจะเป็นเทวดาที่อยู่บนสวรรค์ชั้นใด จึงฝากข้อความแก่เทวดาองค์นั้นไปถึงท้าวสันตดุสิต ซึ่งเป็นผู้ปกครองภพสวรรค์ชั้นดุสิต
เทพบุตรที่รับฝากข้อความ ก็รีบนำความนั้นไปกราบทูลให้ท้าวสันตดุสิตรับทราบทันที เหตุที่ต้องเป็นสวรรค์ชั้นดุสิตทั้งๆที่สวรรค์มีถึง ๖ ชั้น ก็เพราะสวรรค์ชั้นนี้เป็นที่ชุมนุมของพระบรมโพธิสัตว์ทั้งหลาย โดยเฉพาะนิยตโพธิสัตว์ ผู้ปรารถนาจะเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในอนาคตกาลภายภาคเบื้องหน้า ท้าวสันตดุสิตเมื่อทราบแล้ว ก็เรียกประชุมเทวสมาคมในกรณีพิเศษ โดยมีหัวข้อการประชุม คือ เรื่องราวที่รับฝากมาจากท้าวสักกเทวราชถึงความเป็นไปของพระพุทธศาสนาในศรีลังกา ที่ประชุมได้หารือกันว่า ในเทวสมาคมชั้นดุสิตบุรีนี้ เทพบุตรองค์ใดจะรับอาสาลงไปกู้วิกฤตในครั้งนี้ การประชุมเพื่อเฟ้นหาผู้รับอาสาเช่นนี้ ถือเป็นเรื่องปกติของสวรรค์ชั้นดุสิต ชั้นบรมโพธิสัตว์
ในครั้งนั้น มีเทวบุตรองค์หนึ่งรับอาสา ท่านพนมมือขึ้น หันไปทางท้าวสันตดุสิต แล้วจรดใจไปถึงท่านประธานที่ประชุม รัศมีกายของเทวบุตรองค์นั้นได้สว่างวาบๆขึ้นมา ทำให้สายตาของชาวสวรรค์มองไปที่เทวบุตรองค์นี้ ท่านเป็นนิยตโพธิสัตว์ ผู้ปรารถนาจะเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประเภทปัญญาธิกพุทธเจ้า สมบูรณ์ไปด้วยดวงปัญญา มีรัศมีสว่างไสว มีวิมานที่สวยงาม ใสเป็นแก้ว แตกต่างจากวิมานทองของเทวบุตรอื่น เหตุที่วิมานใสก็เพราะว่า ท่านสร้างบารมีมามาก วิมานของท่านอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ โดยถือเอาเขาพระสุเมรุเป็นเกณฑ์ คือ อยู่ทางทิศใต้ ค่อนไปทางตะวันตกเล็กน้อย อยู่ในทิศเดียวกันกับชมพูทวีป ซึ่งเป็นทิศที่นิยตโพธิสัตว์อยู่
ขณะที่ท่านเปล่งวาจารับอาสา เสียงของท่านจะดังไปทั่วถึงหมดทั้งเทวสมาคม เหล่าเทวดาทั้งหมดต่างก็ประคองอัญชลี แล้วอนุโมทนาสาธุการลั่นเทวสภา จากนั้นท่านก็กลับไปยังวิมานของท่านเพื่อไปทำสมาธิ พอสมาธิถึงจุดๆหนึ่ง ก็อธิษฐานจิตเพื่อจุติลงมาเกิดที่เกาะศรีลังกานี้เอง เทวบุตรองค์นี้ ก็คือ คุณานันทะภิกขุ วีรบุรุษแห่งกองทัพธรรม ผู้กอบกู้พระพุทธศาสนาในศรีลังกา ท่านสร้างบารมีโดยเอาชีวิตเป็นเดิมพัน เมื่อท่านปฏิบัติภารกิจเสร็จเรียบร้อย กวาดล้างเสี้ยนหนามของพระพุทธศาสนาให้หมดจากแผ่นดินศรีลังกาไปแล้ว ถึงเวลาท่านก็เดินทางออกจากกายมนุษย์ มีบริวารอันเกิดจากบุญของท่านมารอรับเป็นจำนวนมาก รวมทั้งเทวดาทั้งหลายที่ไม่ใช่บริวารอีกด้วย มารับท่านกลับไปยังวิมานแก้วในดุสิตบุรีด้วยความปลื้มปีติเบิกบาน
ขณะนี้ท่านกำลังนั่งระลึกนึกถึงผลบุญที่ได้กระทำไว้ด้วยใจที่ปลื้มปีติ ท่านนั่งห้อยเท้าข้างหนึ่งอย่างเพลินๆสบายๆ อยู่บนรัตนบัลลังก์ตรงกลางวิมาน ท่ามกลางหมู่บริวาร และเมื่อท่านรู้ว่า ได้มีการสนทนาเกี่ยวกับเรื่องราวของท่านในเมืองมนุษย์ ท่านก็มีใจอนุโมทนาชื่นชมยินดีกับบุคคลเหล่านั้นด้วยทุกครั้ง