หลายสิบปีมาแล้ว พระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบท่านหนึ่ง ท่านเล่าไว้ว่า เมื่อสมัยท่านยังเด็ก อายุประมาณ ๔ – ๕ ขวบ วิ่งเล่นอยู่ใต้ถุนบ้าน บ่ายวันหนึ่ง คุณย่าของท่านป่วยหนักใกล้จะตาย ท่านได้ยินพ่อแม่ของท่านพูดกรอกหูคุณย่าว่า “แม่ๆ อรหัง นะ อรหัง ภาวนา อรหังไว้นะ พระอรหังจะช่วยแม่” ท่านก็ยืนฟัง “เอ เขาว่า อรหัง กันทำไม”
ครั้นตอนเย็นเวลาทานข้าว แม่ของท่านก็ตักข้าวร้อนๆ ราดแกงที่ท่านชอบมาให้ ท่านกินข้าวไปอย่างเอร็ดอร่อย ใจท่านตอนนั้นรู้สึกชุ่มชื่น สบาย แล้วตอนสบายนี่เอง คำ “อรหัง” ก็ผุดขึ้นมาในใจ รู้สึกปลื้มใจอย่างไรก็ไม่รู้ เลยท่องออกมาดังๆ ว่า “อรหัง ๆ ๆ” แต่แม่ของท่านซึ่งมีความเข้าใจผิดๆ กลับตวาดไปว่า “เอ้า มึงจะไปตายโหงตายห่าก็ไปตายห่าคนเดียว จะมาว่าอรหังที่นี่ได้รึ คำว่า อรหัง พุทโธ นี่ คนที่จะตายเท่านั้นที่จะท่องกัน” แม่ของท่านเข้าใจผิดคิด่วาเป็นลางร้าย แต่จริงๆ แล้วมีแต่ดีอย่างเดียว ท่านก็ได้แต่นึกในใจว่า “เราท่อง อรหัง ของเราดีๆ ทำไมแม่ต้องดุด้วย นี่มันเรื่องอะไรกันหนอ ให้คนอื่นท่องได้ เราเป็นเด็ก ทำไมท่องไม่ได้ แปลกใจจัง” กินข้าวทั้งๆ ที่น้ำตาคลอ
(ผู้เป็นพ่อแม่ในปัจจุบัน ถ้าลูกของตนรู้จักภาวนาเองอย่างนี้ ถือว่ามีบุญมาก ได้ลูกมีบุญมาเกิด ให้ลูกทำภาวนาไปเรื่อยๆ เถอะ ตนเองก็หมั่นภาวนาไปด้วย แล้วสิริมงคลจะหลั่งไหลเข้ามาสู่บ้านของเราตลอดเวลา ต่อไปจะเจริญรุ่งเรือง)
เมื่อท่านโตขึ้นแล้วมาบวช ท่านเป็นพระภิกษุที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบผู้หนึ่ง เมื่อท่านเล่าถึงโยมแม่ของท่าน ท่านก็ยิ้มออกมาว่า “เออ โยมแม่ของฉันนี่ไม่รู้เรื่องเลยนะ” ท่านสอนลูกศิษย์ว่า “อรหัง หรือ พุทโธ นี่ ถ้าใครภาวนาไว้ คำนี้เป็นวาจาที่กล่าวถึงคุณงามความดีของพระพุทธเจ้าและพระอริยสงฆ์ ถ้าใครทำภาวนาคำนี้ได้ ตกนรกไม่ได้ เขาห้ามตกนรก”
แล้วท่านก็ชี้มือไปที่ลูกศิษย์ของท่านว่า “นี่ เจ้านี่ เมื่ออายุ 12 ปี มันจะตาย มันย่องตามเขาไปนรก เขาไม่ยอมให้มันไป เพราะอะไร เพราะว่าคนที่ภาวนาพุทโธ หรือ อรหัง จัดว่าเป็นคนปรารถนาความดีของพระพุทธเจ้า มีความดีเกินกว่าที่จะลงนรก แต่แม่ของฉันไม่รู้ นี่คือโทษของการที่ไม่ได้รับการศึกษา แต่พอฉันบวชแล้ว ฉันก็กลับใจโยมแม่ได้ เวลาโยมแม่ตายก็ยึดคำ พุทโธ อรหัง เป็นอารมณ์ ไม่ได้ภาวนาเฉพาะเวลาใกล้ตายนะ ฉันให้โยมแม่ภาวนาทุกวันเลย”
(จริงๆ แล้ว การภาวนานี่ ถ้าใครทำบ่อยถึงขนาดที่ว่า แม้ไม่ได้นึกภาวนา คำภาวนาก็ผุดขึ้นมาในใจเองอย่างเป็นธรรมชาติจะดีมาก)
ท่านมีญาณทัสสนะรู้ว่าลูกศิษย์ของท่านเคยตายไปสมัยตอนเด็กๆ ซึ่งลูกศิษย์ของท่านก็เล่าว่า เมื่อตายไป ได้เจอยมทูต ๔ ตน กำลังพาวิญญาณอื่นไปยมโลก จะขอตามไปด้วยก็ถูกห้าม ยมทูตบอกว่า “กฎของยมโลกมีอยู่ว่า คนที่ก่อนตาย ถ้าภาวนาพุทโธ หรือ อรหัง ถ้ายมทูตพาวิญญาณคนนั้นเข้าไปในแดนนรก พญายมราชจะลงโทษยมทูตอย่างหนัก”
อานิสงส์ของการภาวนาพุทโธหรืออรหังนั้น มากมายเกินที่จะประมาณ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสว่า "ใครๆ ไม่อาจคำนวณบุญของบุคคลผู้บูชาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือพระสาวกผู้บรรลุธรรม ด้วยวิธีการนับใดๆ ไม่ว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือพระสาวกนั้น จะยังดำรงอยู่หรือนิพพานไปแล้วก็ตาม" (พระสูตรและอรรถกถาแปล ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย เล่มที่ ๔๒ หน้า ๓๕๖)
พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่า อัตถทัสสี ตรัสว่า “ผู้ใด บูชาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้เป็นนายกของโลก ผู้ยังดำรงพระชนม์อยู่ก็ดี หรือบูชาพระธาตุแม้มีขนาดเท่าเมล็ดผักกาดของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งนิพพานแล้วก็ดี เมื่อจิตอันเลื่อมใสของผู้นั้นเสมอกัน บุญก็มีผลมากเสมอกัน" (พระสูตรและอรรถกถาแปล ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย เล่มที่ ๗๑ หน้า ๔๐๕)
นี่ขนาดเป็นเพียงแค่เสียงภาวนายังพาให้พ้นอบายได้ ถ้าหากนึกนิมิตเป็นภาพพุทโธหรืออรหัง ซึ่งก็คือภาพพระ จะได้ผลมาเพียงใด
บางท่านถามว่า อรหัง กับ สัมมาอรหัง (สัมมาอะระหัง) ใช่คำเดียวกันหรือไม่ ก็คำเดียวกันนั่นเอง ล้วนมีความหมาย คือ เป็นคำปรารภถึงพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ทั้งนั้น ที่ท่องสั้นๆ เพราะคนใกล้ตายน่ะ บางครั้งเหนื่อย คำแต่ละคำออกมาจากปากลำบาก ก็เลยท่องแค่ อรหังๆ แล้วก็ง่ายด้วย เพราะเป็นเสียงตอนที่ลมออก แค่อ้าปากพูดเบาๆ ก็มีเสียงออกที่ชัดเจน ได้ยินง่าย ผู้ที่มาเยี่ยมเมื่อได้ยินจะได้รู้สึกสบายใจขึ้นว่า ถ้าหากผู้นั้นจะต้องละจากโลกไป ต้องไปดีแน่นอน แต่ท่องคำเต็มให้คุ้นดีกว่า ว่า สัมมาอรหัง