น้อยใจพ่อแม่ชอบเอาแต่บ่น...
เข้าใจความรู้สึก...และอยากจะบอกให้ฟังว่า
คุณพ่อคุณแม่ในยุคก่อนๆ จะเข้าวัดทำบุญฟังธรรมจนเป็นกิจวัตร-จนเป็นนิสัย จิตใจท่านก็จะสบาย ไม่เครียด และมีธรรมะดีๆที่ได้ฟังได้ศึกษามาถ่ายทอดให้กับบุคคลอันเป็นที่รักในบ้าน คือ บุตร หลาน ฯลฯ ทำให้บุตรหลานทั้งรักและเคารพในตัวท่าน ดุจปูชนียบุคคล ดุจพระอรหันต์ภายในบ้าน
แต่น่าเสียดาย คุณพ่อคุณแม่ในยุคหลังๆ มักจะห่างจากการเข้าวัดทำบุญฟังธรรมจนเคยชิน จิตใจท่านก็ไม่ได้รับการชำระล้างความเครียด ทำแต่งานทางโลก แต่งานทางใจกลับละเลย ใจก็เลยไม่สบายนัก และก็ไม่รู้จะเอาธรรมะอะไรมาถ่ายทอดให้กับบุคคลอันเป็นที่รักภายในบ้านได้
จึงได้แต่นำความรู้สึกส่วนตัว หรือประสบการณ์ทั้งหมดที่ผ่านมาในชีวิต มาตอกย้ำพร่ำสอนบุตรหลาน โดยเข้าใจไปเองว่า นั่นคือสิ่งที่ดีที่สุดที่ตั้งใจมอบให้กับคนที่ตนรักที่สุดในบ้านแล้ว
เมื่อสถานการณ์เป็นเช่นนี้ เราผู้เป็นลูก ก็ต้องหาทางออกให้กับตัวเราและให้กับคุณพ่อคุณแม่ด้วยกันทั้งสองฝ่ายแบบบัวไม่ให้ช้ำน้ำไม่ให้ขุ่น เพราะท่านก็แค่ "ไม่เข้าใจ" ไม่ใช่ "ไม่รัก"เรา และด้วยความเหน็ดเหนื่อยจากหน้าที่การงานหาเงินมาให้เราใช้ มาเป็นค่าใช้จ่ายภายในบ้าน ท่านก็เลยอาจขาดความยืดหยุ่นในหลายๆเรื่องไปบ้าง
ทางออกก็คือ ให้ทำความเข้าใจและปฏิบัติตนให้เหมาะสมกับฐานะของตัวเราซึ่งเป็นลูกเพื่อจะได้ไม่กลายเป็นวิบากกรรมติดตัวเราไป ดังต่อไปนี้
1.เข้าใจท่านก่อน แล้วท่านจะเข้าใจเรา หันมาตรวจสอบความประพฤติของตนเอง โดยใช้มุมมองของท่าน มิใช่มุมมองของเรา แล้วจะทำให้เข้าใจว่า ทำไมท่านจึงพูดและทำกับเราดังที่ผ่านมา
จากนั้นให้เราหาโอกาสดีๆ เช่น ตอนที่ท่านกำลังสบายอกสบายใจ วันเกิดของท่าน ฯลฯ อธิบายความรู้สึกของเราที่เราได้รับจากคำพูดและการกระทำของท่าน และอธิบายเหตุผลว่าทำไมเราจึงมีความประพฤติดังที่ผ่านมา เพื่อให้ท่านทราบในมุมมองของเราบ้าง เพราะอย่าลืมว่า แม้ท่านจะเคยผ่านความเป็นเด็กอย่างเรามาก่อน แต่กาลเวลาและความรับผิดชอบที่เพิ่มขึ้นย่อมทำให้มุมมองเปลี่ยนไป หรือหลงลืมความรู้สึกบางอย่างไป
2.หาทางพาท่านเข้าวัดฟังธรรม หรือหาสื่อธรรมะมาให้ท่านได้ศึกษา ชวนท่านทั้งสองทำทาน รักษาศีล และสวดมนต์นั่งสมาธิที่บ้านด้วยกัน เพื่อให้บุญที่เกิดจากการปฏิบัติดังกล่าวมาละลายทิฏฐิมานะที่มีต่อกัน แล้วจะได้หันหน้าเข้าหากันได้อย่างสนิทใจ (อย่าลืมว่า ทั้งตัวเราเอง และคุณพ่อคุณแม่ ต่างก็ยังไม่หมดกิเลส ด้วยกันทั้งสองฝ่าย จึงต้องให้อภัยในความบกพร่องของกันและกันทุกครั้งเสมอ)
และแน่นอนว่า การที่เราจะชวนท่านมาทางนี้ได้ ตัวของเราเองนั่นแหละ จะต้องขยันทำความดีให้เพิ่มขึ้น เช่น ช่วยงานที่บ้านทำความสะอาดห้องนอน ห้องทำงาน ห้องรับแขก ห้องกินข้าว ห้องครัว ห้องน้ำ ซักผ้า ตากผ้า ล้างจาน กวาดบ้าน ถูบ้าน ทำกับข้าว ตื่นนอนแต่เช้าไปโรงเรียนและใส่บาตรโดยไม่ต้องให้ท่านคอยปลุก ฯลฯ
จนกระทั่งคุณพ่อคุณแม่เห็นและยอมรับในความดีของเรา แล้วจากนั้นเราจะชวนท่านมาทำความดีก็เป็นเรื่องไม่ยากจนเกินไป และยังทำให้ท่านบ่นเราน้อยลง เพราะตัวเรามีความมีวินัย ความรับผิดชอบต่อครอบครัว และมีน้ำใจต่อคนในบ้าน เพียงพอที่ท่านจะปล่อยให้เราตัวของตัวเองมากขึ้น
3.เห็นใจท่านบ้าง และรับรู้ถึงความรักที่ท่านมีต่อเราซึ่งเราอาจมองข้ามไป
ตั้งแต่ท่านอุ้มท้องเรา ต้องทนอดของที่อยากจะกินอยากจะดื่ม เพื่อรักษาสุขภาพของลูกน้อยในครรภ์ และต้องทนปวดทนเมื่อยแค่ไหนตลอดเวลา 9 เดือน จะลุกจะเดินจะทำอะไรก็ลำบากไม่สบายตัว
ตอนคลอดเรา ต้องทนเจ็บแค่ไหน บางครั้งต้องเอาชีวิตเข้าเสี่ยง เป็นตายเท่ากัน
เมื่อเรายังเล็กจำความยังไม่ได้ เวลาเราป่วย ท่านต้องคอยอดหลับอดนอนปฐมพยาบาลดูแลไข้เราทั้งคืน หรือหลายๆคืน เพราะห่วงเราเป็นที่สุด ถ้าป่วยแทนลูกได้พ่อแม่ก็ยอม
ท่านต้องเหน็ดเหนื่อยทำงาน หาเงินมาเป็นค่าเลี้ยงดู ค่าเล่าเรียน(ค่าเทอม) ค่ารักษาพยาบาล ค่าใช้จ่ายภายในบ้าน ฯลฯ ทำให้เราไม่ต้องลำบาก จะกินจะเรียนจะเที่ยวเราจึงทำได้ ถ้าหากไม่มีท่านเราก็คงอยู่อย่างลำบาก (คนที่ยังเรียนไม่จบ และยังไม่เคยต้องทำงานหาเงินมาเป็นค่าใช้จ่ายเอง จะไม่มีวันเข้าใจเรื่องนี้อย่างซาบซึ้ง พ่อแม่ทำงานเหนื่อยแต่ยอมให้เงินเราใช้ได้อย่างสบายก็เพราะท่านรักเรามากจริงๆ)
เมื่อถึงวัยทำงาน จะลงทุนทำธุรกิจ ท่านก็เป็นทั้งที่ปรึกษาและกองทุนให้กับเราสร้างเนื้อสร้างตัว และพอลูกจะแต่งงานมีครอบครัว ท่านก็เป็นธุระเรื่องสินสอดทองหมั้น คอยประคับประคอง คอยให้กำลังใจ แม้ในยามที่เรามีบุตรแล้ว หากเราติดภาระกิจจำเป็นท่านก็ยินดีดูแลหลานให้
แม้บางครั้ง หากลูกจะต้องเดินทางจากโลกนี้ไปก่อนด้วยเหตุสุดวิสัย ท่านอีกนั่นแหละ ที่จะเป็นธุระจัดการงานฌาปนกิจของเรา ซึ่งมีปรากฏให้เห็นมาหลายรายแล้ว
ถามดูเถอะว่า ใครจะมารักและคอยห่วงใยดูแลเราตั้งแต่เกิดจนกระทั่งเราตายบ้าง ?
ดังนั้น ความผิดพลาดประการใดที่ท่านมี ก็ให้เสมือนรอยเท้าบนผืนทรายเถิด แล้วให้เราหมั่นมองคุณความดีของท่านให้มากๆ นั่นแหละจะเป็นทางไปสู่สวรรค์ของผู้เป็นลูก ผู้ได้ชื่อว่า ผู้ยังหทัยของพ่อแม่ให้เต็มอิ่ม...
อยากให้ได้ไปอ่านมงคลชีวิต 38 ประการข้อที่ 11 และ 12 ดู แล้วเราจะได้พบคำตอบถึง สิ่งที่เราพึงกระทำต่อบิดามารดา และสิ่งที่บิดามารดาพึงกระทำต่อบุตร ว่าเป็นเช่นใด ซึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงไว้อย่างละเอียดชัดเจนดีแล้วทุกประการ....(ค้นดูจาก Google ได้)
สุดท้ายนี้ ก็ขอเป็นกำลังใจให้สามารถผ่านวิกฤตกำแพงใจที่มีต่อกันไปให้ได้ แล้วเราจะรู้ว่า ยังมีอีกหลายคนที่เขาไม่มีพ่อแม่ให้คอยได้รับไออุ่น ไม่มีพ่อแม่ซับน้ำตาในยามเศร้า ไม่มีคำพูดให้กำลังใจในยามท้อแท้สิ้นหวัง ไม่มีพ่อแม่ให้คอยเถียงคอยปรึกษาหารือ...แม้แต่เพียงครั้งเดียว
ใกล้วันแม่เข้ามาแล้ว ยังไงก็ขอให้ "รักแม่" และ "รักพ่อ" ให้มากๆกันทุกคนนะ
บทความโดย Ping