อนาถบิณฑิกเศรษฐี
ตอนที่ ๑๔ พราหมณ์ขโมยสิริ
ในขณะที่ท่านเศรษฐี กล่าวคำว่า ให้ เท่านั้น สิริก็เคลื่อนจากหงอนไก่ไปประดิษฐานอยู่ที่ดวงแก้วมณี ซึ่งวางอยู่บนหัวนอน พราหมณ์เห็นแล้ว เราไม่ได้เอาไก่มากินแต่เราจะเอาสิริที่ไก่ สิริหนีซะแล้วมาอยู่ที่ดวงแก้ว “ท่านเศรษฐี เราขอดวงแก้วดวงนั้น ดีจัง เราอยากได้จังเลย ดวงแก้วดวงนี้ เผื่อว่าจะเป็นอุปกรณ์ในการสอนมานพ สอนนักเรียน”
“เอาเลย ข้าพเจ้าให้แก้วมณีแก่ท่าน เอาเถอะ”
พอยกแก้วมณีให้ สิริก็หนีอีก เคลื่อนจากแก้วมณีไปประดิษฐานอยู่ที่ไม้เจว็ด ซึ่งวางอยู่บนหัวนอน พราหมณ์ก็ขอไม้เจว็ดจากท่านเศรษฐีอีก เอาไปเลย สิริก็เคลื่อนออกจากไม้เจว็ดไปประดิษฐานอยู่ที่ศรีษะภรรยาท่านเศรษฐี พราหมณ์คิดว่า จะไปขอภรรยาท่านเศรษฐีคงไม่ได้ เลยยอมบอกความจริงว่า
“ท่านเศรษฐี การที่ข้าพเจ้ามาเรือนของท่าน ความจริงด้วยความสุจริตใจเลยว่า จะมาขโมยสิริจากท่าน ข้าพเจ้าได้เห็นสิริของท่าน ประดิษฐานอยู่ที่หงอนไก่ เมื่อท่านให้สิ่งนี้แก่ข้าพเจ้า สิริก็เคลื่อนไปที่แก้วมณี เมื่อท่านให้แก้วมณี สิริก็เคลื่อนไปที่ไม่เจว็ด เมื่อท่านให้ไม้เจว็ด สิริก็เคลื่อนไปอยู่ที่ศรีษะของนางบุญลักษณาเทวี ภรรยาของท่าน ข้าพเจ้าจึงคิดได้ว่า สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ใครๆ ไม่อาจสละได้ จึงไม่สามารถขโมยสิริของท่านไปได้ เราหมดสิทธิ์ เพราะสิริต้องอยู่ได้ด้วยบุญ”
แล้วพราหมณ์นั้นได้อำลาท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีไปด้วยจิตใจห่อเหี่ยว ท่านเศรษฐีคิดว่า จะกราบทูลเหตุการณ์เรื่องพราหมณ์จะมาขโมยสิริแล้วไม่สามารถเอาไปได้นี้ ให้พระพุทธองค์ทรงทราบ จึงไปยังวัดพระเชตวัน ท่านเศรษฐีได้ถวายบังคมพระบรมศาสดาแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง แล้วกราบทูลเหตุการณ์ทั้งหมดให้พระพุทธองค์ทรงทราบ
พระบรมศาสดาทรงสดับเหตุการณ์นั้นแล้วตรัสว่า “ท่านเศรษฐี ไม่ใช่แต่ในบัดนี้ที่สิริของบุคคลอื่นจะหนีไป แม้ในกาลก่อน สิริที่บุคคลผู้มีบุญน้อยทำให้เกิดขึ้นแล้ว ยังหนีไปยังแทบเท้าบุคคลผู้มีบุญมากกว่า” ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีจึงกราบทูลขอให้พระพุทธองค์ทรงแสดงธรรม พระองค์จึงทรงนำอดีตนิทานมาแสดง
ในกาลครั้งหนึ่ง พระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติในนครพาราณสี พระโพธิสัตว์เกิดในตระกูลพราหมณ์ในแคว้นกาสี พอเจริญวัย ได้ศึกษาศิลปวิทยาในเมืองตักศิลา เมื่อมารดาบิดาตายจากไป ท่านเกิดความสลดสังเวชใจ จึงออกบวชเป็นฤาษีอยู่ในป่าหิมพานต์
สมัยก่อน พอเกิดสลดสังเวชใจ มารดาบิดาตาย จะออกบวชกัน ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าคิด ได้เจริญสมาบัติ ฝึกสมาธิจนได้ฌาน ได้อภิญญาสมาบัติ
วันหนึ่งท่านเดินทางเข้าไปในชนบท เพื่อต้องการที่จะเสพอาหารรสเค็ม รสเปรี้ยว คือ รสอาหารที่แตกต่างจากที่เคยเสพ ได้ไปพักอยู่ในพระราชอุทยานของพระเจ้ากรุงพาราณสี วันรุ่งขึ้นได้เข้าไปภิกขาจารยังเรือนของคนฝึกช้าง คนฝึกช้างเห็นข้อวัตรปฏิบัติของท่าน เห็นอาจารวัตรงดงามน่าเลื่อมใส จึงถวายอาหารแล้วนิมนต์ให้พักในพระราชอุทยาน แล้วบำรุงท่านเป็นประจำ
ในครั้งนั้น มีชายหาฟืนคนหนึ่ง เข้าไปหาฟืนในป่าเพื่อจะนำไปขาย หาฟืนมาได้แล้วจึงขนออกจากป่าเพื่อจะเข้าเมือง แต่มาไม่ทัน ประตูเมืองจะปิดเสียก่อน เพราะป่านั้นอยู่นอกเมือง จึงต้องไปพักที่ศาลเจ้าแห่งหนึ่ง นอนเอาฟืนหนุนหัวอยู่ ที่ศาลเจ้าตัวนี้มีไก่หลายตัว ล้วนแต่แข็งแรง ไม่เป็นโรค ชาวบ้านนำมาปล่อยเอาไว้
ไก่ได้อาศัยอยู่บนต้นไม้ต้นหนึ่ง ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากชายหาฟืนนอนอยู่ พอตอนใกล้รุ่ง ไก่ตัวบนสุดถ่ายมูลมาถูกไก่ตัวที่นอนอยู่ข้างล่าง ไก่ตัวล่างถามว่า “ใครถ่ายรดลงมา”
ไก่ตัวบนรับสารภาพผิดว่าตัวฉันเอง เพราะไม่ทันได้พิจารณา ขออภัยกันแล้วเรื่องก็ยังไม่จบ เพราะตอบด้วยความสุขุมแล้วยังถ่ายต่อลงไปอีก คราวนี้ไก่ตัวล่างโกรธมาก จึงอวดศักดากัน ไก่ตัวล่างคุยอวดอานุภาพว่า “ถ้าใครฆ่าเราแล้วนำเนื้อไปย่างกิน จะได้ทรัพย์ถึง ๑, ๐๐๐ กหาปณะ”
ไก่ตัวบนชักหงุดหงิด เลยคุยบ้างว่า “เจ้าอย่าคุยโวไปเลย ใครได้กินเนื้อสันของข้าจะได้เป็นพระราชา ถ้ากินเนื้อสันนอกจะได้เป็นเสนาบดี แต่ถ้าเป็นหญิงจะได้เป็นอัครมเหสี ส่วนคนที่กินเนื้อติดกระดูก ถ้าเป็นคฤหัสถ์จะได้ตำแหน่งเป็นขุนคลัง ถ้าเป็นบรรพชิตจะได้เป็นพระประจำราชตระกูล” ไก่สองตัวคุยกันเป็นภาษามนุษย์
ปรากฏว่า มนุษย์ที่นอนอยู่ที่ศาลเจ้าตรงนั้น คือ ชายหาฟืน พอฟังก็มีความคิดว่า เราจะจับไก่ฆ่ากิน เขาคิดว่า เมื่อเราได้เป็นพระราชาแล้วทรัพย์ ๑,๐๐๐ กหาปณะก็ไม่จำเป็น
จึงค่อยๆ ปีนขึ้นไปจับไก่ตัวที่นอนอยู่บนกิ่งไม้สูงสุด จากนั้นก็ฆ่าแล้วห่อผ้าไว้ ชายหาฟืนคิดว่า เราจักได้เป็นพระราชาแล้ว รีบเดินเข้าไปสู่เมือง มือหนึ่งถือฟืน อีกมือหนึ่งถือไก่ที่ฆ่าแล้ว เวลานั้นประตูเมืองเปิดพอดี
เมื่อไปถึงเรือนของตนแล้ว จัดการถอนขนไก่ก่อน ล้างน้ำให้สะอาดแล้วใส่หม้อเก็บไว้ วางเอาไว้แล้วไปก่อไฟ นำไก่ไปให้ภรรยา โดยสั่งว่า “เธอจงปรุงเนื้อไก่นี้ให้ดี” ภรรยาจึงจัดแจงเนื้อไก่ แล้วหุงข้าวสวย เมื่อเสร็จแล้วนำไปให้สามีบริโภค ชายหาฟืนกล่าวว่า “เธอ เนื้อไก่นี้มีอานุภาพมาก ถ้ากินเนื้อไก่นี้แล้ว ฉันจักได้เป็นพระราชา เธอกินตรงนี้แล้วจะได้เป็นอัครมเหสี”