อนาถบิณฑิกเศรษฐี
ตอนที่ ๑๐ เทวดามิจฉาทิฏฐิ
ครั้งนั้นที่บ้านของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี มีเทวดามิจฉาทิฏฐิตนหนึ่ง สิงสถิตอยู่ที่ซุ้มประตูที่ ๔ เทวดาตนนั้นมีความคิดว่า เมื่อท่านเศรษฐีได้อาราธนาพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามารับบิณฑบาตที่เรือนทุกๆ วัน เมื่อท่านเสด็จมาพร้อมเหล่าสาวก ตัวก็ไม่สามารถอยู่ที่ซุ้มประตูได้ ต้องลงมา เพราะอานุภาพของพระพุทธเจ้าและพระสาวก ทำให้ตนเกิดความลำบากและรำคาญใจ จึงไม่อยากให้พระพุทธองค์เสด็จมารับบาตรที่เรือนนี้ต่อไปอีก แต่เทวดานั้น ไม่กล้าไปบอกท่านเศรษฐี เพราะในตอนนั้นท่านเศรษฐียังมีฐานะมั่นคง ยังร่ำรวยอยู่ ถึงบอกก็ไม่เชื่อ จึงต้องหาโอกาส
แล้วโอกาสก็มาถึง เมื่อวิบากกรรมของท่านเศรษฐีมาทำให้ทรัพย์สูญหายไป น้ำเซาะตลิ่งพัง ทรัพย์หายไปในน้ำบ้าง ที่เขากู้เอาไปทำการค้าแล้วไม่เอามาคืนบ้าง เมื่อกำลังทรัพย์ของท่านเศรษฐีน้อยลง ควรจะฟังเราบ้าง
ในคืนนั้นเทวดาตนนั้นจึงได้ไปปรากฎกายลอยอยู่ในอากาศที่ห้องนอนของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ท่านเศรษฐีถามว่า “ท่านเป็นใคร” เทวดาตอบว่า “เรา คือ เทวดาที่สิงสถิตอยู่ที่ซุ้มประตูที่ ๔ ในเรือนของท่าน” ท่านเศรษฐีไม่ได้ตกใจอะไรเลย ถามว่า “ท่านเข้ามาทำไมในยามวิกาล ต้องการอะไร” “มาเพื่อจะมาเตือนสติท่านสิ” เทวดาตอบ ท่านเศรษฐีรับฟังด้วยดี พูดว่า “มาเถอะ จะเตือนอะไรเรา หัวใจเราเปิดกว้าง พร้อมที่จะรับความเห็นที่ท่านจะมาแนะ”
เทวดาบอก “ท่านเศรษฐี ท่านมองอดีตที่ผ่านมาบ้างสิ ท่านจำได้ไหม แต่ก่อนท่านร่ำรวยทรัพย์มาก มีสมบัติมหาศาล แต่ท่านทุ่มเททรัพย์ลงไปในพระพุทธศาสนามากมาย จนเดี๋ยวนี้ท่านยากจนลง ยังไม่เลิกจ่ายทรัพย์อีก ท่านรู้ตัวหรือเปล่า ข้าพเจ้าขอเตือนท่าน ถ้าหากขืนประพฤติอย่างนี้ไม่นานหรอก แม้ข้าวท่านก็จะไม่มีกิน เสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มก็จะไม่มีใช้ ประโยชน์อะไรจากพระสมณโคดม ท่านจงเลิกบำเพ็ญทานเถิด”
ท่านเศรษฐีรับฟัง เพราะใจกำลังเปิดกว้าง พูดเรื่องอื่นได้ แต่มาพูดเรื่องนี้กับผู้ที่ตั้งความปรารถนามาแสนกัป เพื่อตั้งอยู่ในฐานะ เอตทัคคะ ผู้เลิศฝ่ายอุบาสกผู้ถวายทาน ท่านเศรษฐีจึงถาม “นี่คือข้อแนะนำของท่านหรือ” “ ใช่” เทวดาตอบ
ท่านเศรษฐีไล่ทันที “โน่น… ออกจากเรือนของเราไปเดี๋ยวนี้! เดี๋ยว… ก่อนจะไป ฟังก่อนเทวดา เทวดาอย่างท่าน ต่อให้มีร้อย พัน หมื่น หรือ แสนมาพูดอย่างนี้อีก ก็ไม่สามารถทำให้เราคลายความมั่นคงจากพระรัตนตรัยไปได้ คำพูดของท่านไม่เป็นมงคลเลย มีประโยชน์อะไรที่ท่านจะมาอาศัยเรือนของเราอยู่ไป ไป! ไปซะเดี๋ยวนี้เลย” ไล่ไปแล้ว เทวดาจึงเดินคอตก จูงลูกจูงภรรยาไปทั้งครอบครัวเลย ไม่มีเรือนอยู่ เพราะตัวไม่ได้สร้างบุญมา
ออกไปแล้วอย่านึกว่าจะไปสร้างกระต๊อบ ไม่ได้ เพราะว่าเขาสำเร็จด้วยบุญ ไม่ใช่เห็นต้นหมากรากไม้อะไรมามุงๆ ลานๆ แบบมนุษย์ มาทำเพิงหมาแหงนอะไรต่างๆ นอนไม่ได้ เห็นต้นไม้ว่างๆ จะไปสิงไม่ได้ เพราะเจ้าของเขามีอยู่ ไปบ้านไหนไม่ได้ หมดสิทธิ์ กลายเป็นเทวดาจรจัดอย่างนั้นลำบาก ต้องเจออย่างนี้บ้าง จึงได้สำนึกว่า การพูดในสิ่งที่ไม่เป็นสิริมงคล ย่อมนำความทุกข์มาสู่ตนได้
เพราะฉะนั้นถ้าเราปรารถนาในภูมิที่สูงขึ้นไป อย่างเช่นจะไปสู่ที่สุดแห่งธรรมนั้น เราต้องสร้างบุญอย่างมากมายมหาศาลกันไปเลย ความปรารถนาอยากจะเป็นอะไร ใครๆ ก็ปรารถนาได้ แต่จะได้เมื่อสร้างบุญ ทุกคนไม่ว่าผู้หญิง ผู้ชาย เด็กเล็ก ปรารถนาจะเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งในอนาคตก็ได้ แต่จะเป็นได้ต้องสร้างบุญบารมีให้ครบหลักสูตร จึงจะได้บรรจุตำแหน่งในการเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะมีสูตรสำเร็จว่า ถ้าทำครบขนาดนี้จึงเป็นได้ แล้วก็มีหลายแบบ มีพระปัญญาธิกพุทธเจ้า พระสัทธาธิกพุทธเจ้า และพระวิริยาธิกพุทธเจ้า การสร้างบารมีก็เป็นเท่าๆ ขึ้นไปเรื่อยๆ
ดังนั้น การสร้างบารมีที่จะไปถึงที่สุดแห่งธรรม จึงไม่ใช่เรื่องที่ใครจะอธิษฐานไม่ได้ หรือว่าเป็นเรื่องเกินไป แม้แต่ปรารถนาอยากจะให้ได้สมบัติจักรพรรดิตักไม่พร่อง ถ้าคนที่เข้าใจก็ไม่มีปัญหา แต่คนที่ไม่มีความรู้ ไม่ค่อยเข้าใจ คิดว่ามีด้วยหรือสมบัติที่ตักไม่พร่อง มีแต่ว่าตักแล้วไม่มีเหลือ แต่มีผู้มีบุญในกาลก่อน ทำบุญแล้วก็อธิษฐานจิตอย่างนั้นๆ จึงได้มาเป็นแล้ว
เทวดามิจฉาทิฏฐิฟังท่านเศรษฐีผู้เป็นพระโสดาบัน ออกปากขับไล่แล้วอยู่ไม่ได้ เลยพาครอบครัวออกจากเรือนท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี เดินคอตกไปเลย แม้จะลอยไปในอากาศแต่ก็คอตกๆ ได้รับความลำบากมาก เรายังโชคดีถ้าไม่มีที่อยู่ ยังทำเป็นเพิงหมาแหงนได้ แต่เทวดาต้องเป็นอยู่ได้ด้วยบุญของตัว ทำมาหากินก็ไม่ได้ ทำอะไรก็ไม่ได้ ถ้าไม่มีบุญไปเนรมิตอะไรก็ไม่ได้ และที่ถูกเขาไล่ออกเพราะหมดบุญ บุญมันหรี่ลงไปเรื่อยๆ ลำบากเป็นเทวดาจรจัดทั้งครอบครัวไปแล้ว
เทวดารู้สึกสำนึกผิดว่า เราไม่น่าใช้วาทกรรมอย่างนั้น วจีเราไม่เป็นมงคลเลย นำความทุกข์มาให้ เลยคิดว่า ขืนอย่างนี้เราและครอบครัวลำบากมาก เราต้องไปขอโทษ ให้ท่านเศรษฐียกโทษให้เรา แล้วเราจะได้กลับไปอยู่ที่เดิม ตอนนี้คิดได้แล้ว แต่การที่จู่ๆ จะเข้าไปหาท่านเศรษฐีเลยไม่ได้ ต้องอิงผู้ใหญ่ ต้องให้ผู้ใหญ่เดินหน้า เขาว่าเดินตามหลังผู้ใหญ่ หมาไม่กัด