อนาถบิณฑิกเศรษฐี
ตอนที่ ๔ เอาเงินปูเรียงเคียงกัน
เจ้าเชตถามกลับว่า “ทำไมถึงต้องใช้พื้นที่มากมายขนาดนั้นล่ะท่านเศรษฐี อุทยานของฉันมีพื้นที่กว้างขวางมาก จะสร้างวิหารอะไรใหญ่โตมาก ทำไมต้องสร้างใหญ่”
ท่านเศรษฐีตอบว่า “หม่อมฉันไม่ได้สร้างหลังเดียว”
“ถึงจะสร้างหลายหลังก็ไม่น่าจะต้องใช้ที่ดินมากมายขนาดนี้” เจ้าเชตกล่าว
ท่านเศรษฐีก็กล่าวว่า “หม่อมฉันนอกจากจะสร้างวิหารถวายพระพุทธเจ้าแล้ว ก็จะสร้างเสนาสนะ ที่พักของภิกษุสงฆ์ สำหรับภิกษุสงฆ์จำนวนเรือนหมื่น จะสร้างที่พักสำหนับภิกษุอาคันตุกะ ที่มาจากทั่วสารทิศกว่าพันรูป ที่จะมาฟังธรรมจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วก็จะสร้างธรรมสภาเพื่อให้ประชาชนเข้ามาฟังธรรม ซึ่งต้องสามารถจุคนได้จำนวนมาก จะสร้างหอฉันอีก เรือนเก็บของ ซุ้มประตู แล้วก็อีกเยอะแยะ แล้วก็ยังต้องเว้นพื้นที่ให้ห่างกันพอประมาณอีก ไม่ใช่ว่าสร้างติด ๆ กัน ต้องสร้างมีระยะ มีช่องไฟ ถึงจะสวยงาม ไม่แออัด เพราะฉะนั้นจึงจำเป็นต้องใช้พื้นที่ทั้งหมดของพระองค์เลยพระเจ้าข้า”
เจ้าเชตกล่าวว่า “เราฟังท่านพูดมานาน ฟังแล้วคิดว่า โอ้! อุทยานนี้เราให้ไม่ได้หรอก นึกว่าท่านจะเอาสักหน่อยก็จะตัดให้สักไร่สองไร่ อะไรอย่างนี้ แต่เล่นเอาหมด เราไม่ได้หรอก แล้วเราก็รักสถานที่นี้มากเหลือเกิน แต่ถ้าท่านต้องการ ท่านต้องซื้อโดยการนำทรัพย์มาปูเรียงติดกัน อย่าให้มีช่องว่างด้วย ทรัพย์มีช่องว่างตรงไหนริบ ถือว่าผิดกติกา และไม่ให้ที่ด้วย ต้องปูให้เต็มพื้นที่ ถ้าทำได้อย่างนี้เราถึงจะขายให้” คือ พูดง่ายๆ ว่า ปฏิเสธอย่างนุ่มนวล อย่างละมุนละไม เพราะว่าตัวก็รักสถานที่นี้มันเป็นที่ร่มรื่น แต่ในใจจริงๆ เจ้าเชตไม่ขาย บอกอย่างนี้ เพราะคิดว่า ยกเว้นเทวดาแล้ว มนุษย์ทำไม่ได้หรอก ที่ตั้งราคาแพงๆ สูงๆ ก็เพราะว่าไม่อยากขายนั่นเอง แต่ว่าพูดผิดคนเสียแล้ว มาพูดกับท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี
“ตกลง พระองค์ทรงขายหรือ หม่อมฉันจะนำทรัพย์มาปูเรียงให้เต็มพื้นที่ขององค์คืนนี้เลย” เอาขนาดนั้นเลย ใจท่านเศรษฐีไม่ใช่คิดดูก่อน แต่คิดทำก่อนตั้งแต่เกิดเป็นเจ้าเชต ไม่คิดว่าจะได้ยิน หรือได้เห็นบุคคลเช่นนี้ในโลกว่า เอ๊ะ! บุคคลอย่างนี้มีด้วยหรือ
เจ้าเชตตกพระทัย “เราพูดเล่น ไม่คิดว่าท่านจะกล้าซื้อจริงๆ ขนาดนั้น เราพูดไปอย่างนั้นเอง คือ อย่างไรก็ไม่ขายหรอก ที่พูดไปอย่างนั้นเพราะคิดว่า อย่างไรท่านเศรษฐีก็คงไม่มีปัญญา หรือไม่มีเงินตรา ไม่มีอารมณ์ด้วย แต่ว่าตอนนี้ท่านมีทั้งเงินตรา เวลา และอารมณ์ อย่างนี้ โอ้ ! ไม่ขายหรอก”
แต่ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐียืนยันอย่างขึงขังปกติท่านเป็นคนสุภาพ อ่อนน้อมถ่อมตน มีใจเอื้อเฟื้อ เมตตา ดวงตาก็อ่อนโยน แต่พอบอกว่า ไม่ขายแค่นั้นทั้งๆ ที่บอกว่าขาย แล้วท่านก็ตกลงแล้ว แล้วก็มากลับคำอย่างนี้ เสียงที่นุ่มก็เข้มขึ้นมาอีกหน่อย มีน้ำหนักขึ้น “ทำไมพระองค์ทำเช่นนั้นไม่ได้ หม่อมฉันไม่ยอมเพราะพระองค์ตกลงราคาไว้แล้ว พูดอย่างไรก็ต้องเป็นอย่างนั้น” ก็เถียงกันอยู่นั่นแหละ
“ไม่ได้เราไม่ขายหรอก เราก็พูดไปอย่างนั้นเอง ไม่คิดว่าท่านจะเอาจริง ท่านเอาจริง แต่เราพูดเล่น ไม่ได้ ไม่ได้” ในใจของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี นึกถึงแต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระสงฆ์อยากจะเอาบุญใหญ่ เพราะการบังเกิดขึ้นของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ใช่ง่าย และตอนนี้ท่านเป็นพระโสดาบันแล้ว ยิ่งยืนยันอย่างมั่นคงเลยว่า ต้องขายเพราะตกลงกันแล้ว เพราะฉะนั้นผู้ที่จะตัดสินได้จะต้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม
ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีจึงเรียกมหาอำมาตย์ผู้พิพากษามา เอาตุลาการมา แล้วเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมให้มาวินิจฉัยคดีนี้ ปรากฎว่า ผู้พิพากษาท่านมีใจเที่ยงธรรม บอกว่า “การซื้อขายตามที่ตกลงกันนั้น ถือเป็นการซื้อขายที่ชอบแล้ว ตามกฎมณเฑียรบาลของแผ่นดิน ท่านต้องขาย” เจ้าเชตจึงจำใจต้องขายอุทยานให้ท่านเศรษฐีตามราคาที่เสนอไป แต่ก็ยังนึกไม่ออกว่า ถึงแม้เราจะตกลงขาย แล้วก็ได้รับวินิจฉัยว่า ต้องขาย ก็จะดูซิว่า ท่านเศรษฐีจะไปได้ถึงไหน
ส่วนท่านเศรษฐีดีใจมากที่เจ้าเชตยอมตามคำวินิจฉัยนั้น สั่งบริวารทันทีเลย ให้นำเกวียนบรรทุกเงินจำนวนหลายร้อยเล่มเกวียน เพื่อนำมาปูเรียงเต็มพื้นที่อุทยาน สมัยก่อนยังไม่มีธนาคาร เขาฝากทรัพย์ไว้กับแม่พระธรณีขุดดินฝังกัน แม่พระธรณีเป็นนายแบงค์ใหญ่ ฝังกันไปอย่างนั้น เฉพาะเก็บไว้ที่บ้านขนเอามาหมดแล้วก็มาเรียงกันจริงๆ ท่านเศรษฐีเป็นบุคคลที่ประวัติศาสตร์โลกไม่เชื่อว่า จะมีคนอย่างนี้ในโลก สมัยนั้นเขาก็ไม่เชื่อว่า จะมีคนอย่างนี้จริง แต่ว่ามีจริงๆ และมีบันทึกไว้ในพระไตรปิฏกแล้ว
ดังนั้น ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีให้บริวารของตนปูเงินเรียงกัน โดยเริ่มจากภายในออกมาภายนอก เริ่มท้ายสวนก่อน ปูมาเรื่อยเป็นลำดับ ปูมาทุกส่วนจรดกัน เรียงกันอย่างมีระเบียบ ส่วนในบางแห่งที่มีต้นไม้ หรือแอ่งน้ำก็จะเอาเงินกองเอาไว้ โดยกะให้เท่ากับพื้นที่บริเวณของต้นไม้ หรือแอ่งน้ำนั้น เมื่อปูเรียงเต็มพื้นที่อุทยานแล้ว ก็ได้เชิญเจ้าเชตมาดูการปูเงินเพื่อเป็นสักขีพยานว่า “ของแท้ปูชิดอย่างนี้ถูกใจไหม ตามที่ท่านตกลงใช่หรือไม่”
เจ้าเชตบอกว่า “ใช่ ๆ” แล้วท่านเศรษฐีก็ขนเงินมาอีก มาเรื่อยๆ เลย ปูเต็มจนกระทั่งถึงซุ้มประตูทางเข้า ขนมาเรื่อยๆ ด้วยใบหน้าที่สดชื่น ผ่องใส เพราะในใจมีแต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านคิดว่า ทำอย่างไรโลกจะได้รับประโยชน์จากทรัพย์ของเรา เพราะว่า ทรัพย์สินเงินทอง คือ อุปกรณ์การสร้างบารมี