อนาถบิณฑิกเศรษฐี ตอนที่๑๒ พญามารเนรมิตหลุมถ่านเพลิง

วันที่ 10 มีค. พ.ศ.2548

12-8-64--01.jpg

อนาถบิณฑิกเศรษฐี  ตอนที่๑๒  พญามารเนรมิตหลุมถ่านเพลิง

             ในอดีตกาลสมัยที่พระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ ณ กรุงพาราณสี พระโพธิสัตว์บังเกิดในตระกูลเศรษฐีในกรุงพาราณสี ได้รับการเลี้ยงดูเสมือนเป็นพระราชกุมาร คือ เป็นสุขุมาลชาติเลย พออายุได้ ๑๖ ปีก็เรียนจบศาสตร์ทุกสาขา

12-8-64--06.jpg

              เมื่อบิดาถึงแก่กรรม พระโพธิสัตว์ก็รับตำแหน่งเศรษฐีแทนบิดา สร้างศาลาโรงทาน ๖ แห่ง คือ สมัยก่อนถ้าใครเป็นเศรษฐี เขาจะวัดว่า ใครสร้างโรงทานได้มากกว่ากัน ไม่ใช่ว่าใครเก็บทรัพย์ได้มากกว่ากัน ถ้าบ้านนี้สร้าง ๑ โรง อีกบ้าน ๒ โรง ๑ โรงนั่นอาย พอเดินผ่านมาต้องกระมิดกระเมี้ยนหลบ ๆ ซ่อน ๆ หลังนี้ ๖ โรง คือ ที่ประตูพระนครทั้ง ๔ ทิศ ๔ แห่ง ใจกลางเมือง ๑ แห่ง และที่ประตูบ้านอีก ๑ แห่ง คือ ผ่านมาทางไหน จะกลางเมือง ประตูเมืองก็มาเจอ มาถึงประตูบ้านก็เจอ ทำทานกันให้มากที่สุดกันไปเลย ยุคนี้มนุษย์ไม่เชื่อว่า มีคนอย่างนี้เกิดขึ้นในโลก การเรียนประวัติศาสตร์ชีวิตจึงมีความจำเป็น ซึ่งถูกเก็บไว้ในพระบาลีเราต้องไปเรียนความรู้ตรงนั้น ท่านได้ให้ทานอย่างมากมายพร้อมทั้งรักษาศีลและรักษาอุโบสถด้วย

 

                 อยู่มาวันหนึ่งถึงเวลาอาหารเช้าบริวารก็นำภาชนะใส่อาหารที่ชอบใจ มีรสเลิศต่าง ๆ เข้าไปหาพระโพธิสัตว์ ขณะนั้นพระปัจเจกพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งเพิ่งออกจากนิโรธสมาบัติ ท่านก็ตรวจสอบญาณดูว่า ใครเป็นเจ้าของบุญนี้ เพราะบุญนี้ใหญ่เหลือเกิน ท่านจะไม่ให้ใคร
ด้วยความสงสาร หรือรีบ ๆ ไป จะดูกำลังบุญ ใครเป็นเจ้าของบุญ ก็จะเอาทั้งโลกเลย เอามาไว้ในกลาง แล้วท่านก็สอดญาณมองไป ในวันนี้ ใครสว่างที่สุด ดวงบุญเขาสว่าง มองผ่านความสว่างของดวงบุญไปอีก คราวนี้เห็นเรื่องราวต่าง ๆ มันต้องผ่านอย่างนี้เข้าไปเรื่อย ๆ ผ่านจุดเล็ก ๆ กำเนิดธาตุธรรมเดิมด้วยตาธรรมกายมองไป แล้วก็พบผู้ที่เป็นเจ้าของบุญนั้น

 

                   ขณะนั้นพระโพธิสัตว์กำลังจะเริ่มรับประทานอาหาร พอเห็นพระปัจเจกพุทธเจ้าเท่านั้น เห็นท่านเหาะมา พระโพธิสัตว์ก็ลุกจากอาสนะ แสดงอาการนอบน้อมต่อพระปัจเจกพุทธเจ้าทันที จากนั้นท่านก็หันไปหาบริวาร บริวารก็ถามว่า “นายจะให้ข้าพเจ้าทำอะไร” “เธอจงไปรับบาตรของพระคุณเจ้ามา”

 

                   ทันใดนั้น มารผู้มีใจบาปสั่นสะท้านสะดุ้งพรึบขึ้นมาเลย ลุกขึ้นแล้วก็คิดว่า พระปัจเจกพุทธเจ้านี้ไม่ได้ฉันภัตตาหารมา ๗ วันแล้ว วันนี้เมื่อพระองค์ไม่ได้ฉันก็จะมรณภาพ เราจะต้องทำให้ท่านมรณภาพ และเราจะทำอันตรายทานของท่านเศรษฐีให้พินาศ ไม่ได้คิดอย่างเดียว
เหาะมาด้วย เนรมิตหลุมถ่านเพลิงลึกลงไปประมาณ ๘๐ ศอก บริเวณหน้าบ้านของพระโพธิสัตว์ หลุมถ่านเพลิงนั้นเต็มไปด้วยถ่านเพลิงไม้ตะเคียน มีไฟลุกโชติช่วงประดุจอเวจีมหานรก เนรมิตเสร็จก็ยืนอยู่กลางอากาศ

 

                   บริวารกำลังเดินมาเพื่อจะไปรับบาตรพระปัจเจกพุทธเจ้า เห็นหลุมถ่านเพลิงก็ตกใจกลัวมาก จึงรีบกลับไปหาพระโพธิสัตว์
“เธอกลับมาทำไม”
“นายที่บริเวณหน้าบ้าน มีหลุมถ่านเพลิงใหญ่ลุกโชติช่วงอยู่ทีเดียว”
“ไปรับบาตรพระปัจเจกพุทธเจ้ามา” แต่พอไปถึงหลุมถ่านเพลิงก็ตกใจกลับมาทุกที

 

                    พระโพธิสัตว์คิดว่า “วันนี้วสวัตดีมาร คงต้องการทำทานเราให้ได้รับอันตราย จึงเนรมิตหลุมถ่านเพลิงไว้ แต่มารย่อมไม่รู้ว่า ถึงจะมีมารมาเป็นร้อยเป็นพันก็ไม่สามารถทำให้เราหวั่นไหวได้ วันนี้จะได้เห็นกันล่ะ จะได้รู้กัน เราหรือมารมีกำลังมากกว่ากัน” ใครจะมีอานุภาพ
มากกว่ากัน ขนาดเหาะไม่ได้ เนรมิตอะไรก็ยังไม่ได้ ยังไม่กลัวมารที่เหาะได้เนรมิตอะไรได้

12-8-64--05.jpg

                      เมื่อบริวารไม่ไป ถือเองเลยดีกว่า พระโพธิสัตว์จึงถือถาดภัตตาหารที่ประณีตออกจากเรือนด้วยมือของตนเอง เดินด้วยจิตที่เบิกบานผ่องใส เดินมาถึงปากหลุมถ่านเพลิง แล้วแหงนดูไปบนอากาศ เห็นมารลอยอยู่

จึงถามว่า “ท่านคือใคร”
“เราเป็นมาร” ก็เปิดเผยชื่อด้วยความสุจริตใจ ไม่มีแอบแฝงกันเลย มารก็ถลึงตาใส่ บอกเราเป็นมาร
“ท่านเนรมิตหลุมถ่านเพลิงนี้หรือ”
“เรานี่แหละเนรมิต”
“ท่านเนรมิตเพื่อต้องการอะไร” ถามเลย

“ต้องการทำอันตรายแก่ทานของท่าน แล้วต้องการทำให้ชีวิตของพระปัจเจกพุทธเจ้าพินาศ”
“เราจะไม่ให้ท่านทำอันตรายต่อทานของเรา แล้วจะไม่ให้ทำอันตรายต่อพระปัจเจกพุทธเจ้า เราอยากรู้ว่า เราหรือท่านมีกำลังและอานุภาพมากกว่ากัน”

12-8-64--04.jpg

                       พระโพธิสัตว์จึงยืนที่ปากหลุมถ่านเพลิงแล้ว กล่าวแก่พระปัจเจกพุทธเจ้าว่า “พระคุณเจ้าผู้เจริญ ถึงแม้ข้าพเจ้าจะมีหัวพุ่งลง มีเท้าชี้ขึ้น ตกลงไปในหลุมถ่านเพลิงนี้ก็จะไม่ถอย ขอนิมนต์พระคุณเจ้าจงรับภัตตาหารที่ข้าพเจ้าถวายด้วยเถิด” แล้วก็กล่าวซ้ำอีกว่า “แม้ข้าพเจ้า จะตกนรกมีเท้าชี้ขึ้นเบื้องบน มีศีรษะพุ่งลงเบื้องล่างก็ตาม  ข้าพเจ้าก็จะไม่ทำกรรมอันไม่ประเสริฐ ขอนิมนต์ท่านรับบิณฑบาตนี้ด้วย”

12-8-64--03.jpg

                       พระโพธิสัตว์พอสมาทานอย่างแน่วแน่แล้วมือก็จับภัตตาหารอย่างมั่นคง เดินอย่างรวดเร็วไปที่หลุมถ่านเพลิง โอ้โฮ! ประชาชนดูกันเป็นแถวเลย ดอกบัวขนาดใหญ่แผ่กลีบเบ่งบานเต็มที่ผุดเกิดขึ้นจากก้นหลุมถ่านเพลิงที่ลุกโชติช่วงลึก ๘๐ ศอก

 

                       ความอัศจรรย์ จะคู่กับคนอัศจรรย์ เราลองทำตัวเราให้อัศจรรย์สิ เดี๋ยวเราจะเจอของอัศจรรย์ คนที่ไม่ค่อยอัศจรรย์ มักไม่ค่อยเจอของอัศจรรย์ พอคนอัศจรรย์ไปเจอของอัศจรรย์มาเล่าให้คนที่ไม่อัศจรรย์ฟัง ไม่ค่อยจะเชื่อ

 

                       ดอกบัวมาแล้วรองรับเท้าของพระโพธิสัตว์ตลอดทาง เกสรดอกบัวมีขนาดใหญ่ ผุดขึ้นตั้งอยู่เหนือพระโพธิสัตว์ แล้วละอองเกสรดอกบัวก็ฟุ้งลอยลงมาโปรยลงมาตั้งแต่ศีรษะจนทั่วร่างของพระโพธิสัตว์ เสมือนโปรยด้วยละอองทอง พระโพธิสัตว์ยืนบนช่อดอกปทุม ถวายภัตตาหารอันประณีต มีรสอันเลิศลงในบาตรของพระปัจเจกพุทธเจ้า กลับปรากฏว่าดี แทนที่จะยืนบนแผ่นดินถวายอาหารใส่บาตรพระปัจเจกพุทธเจ้ากลับยืนอยู่บนดอกบัวถวาย ท่ามกลางเสียงอนุโมทนาของชนที่มามุงดู

 

                       พระปัจเจกพุทธเจ้า ท่านก็สงบนิ่ง ๆ ใจท่านมั่นคง ท่านกล่าวอนุโมทนาว่า “ขอความปรารถนาของท่าน ที่ตั้งใจไว้ดีแล้วจงสำเร็จประโยชน์เถิด” รับด้วยอาการสงบแล้วก็เหาะขึ้นไปในอากาศ ไปยังเอื้อมเขาคันธมาทน์

 

                       มหาชนต่างมองเห็นพระปัจเจกพุทธเจ้าเหาะไปสู่ป่าหิมพานต์ มารเห็นความเปลี่ยนแปลงของตนก็เศร้า เราไม่ประสบความสำเร็จนึกว่าจะกลัวเรา กลับดีกว่า

 

                        พระโพธิสัตว์ยืนอยู่บนช่อปทุม แสดงธรรมถึงคุณของทานและศีลแก่มหาชนว่า “ทำทานเสียเถิดอย่าไปตระหนี่ ทานคือการให้ ยิ่งให้ยิ่งได้” พอกล่าวแสดงธรรมจบก็กลับสู่เรือนของตน พร้อมด้วยบริวาร ด้วยใจที่มีปีติเบิกบานแล้วก็เร่งบำเพ็ญบุญกิริยาวัตถุทั้งหลายจนตลอดชีวิต

12-8-64--02.jpg

                         พระพุทธองค์ตรัสกับท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีว่า ท่านเศรษฐี ทานที่ท่านทำถูกเทวดาทำให้หวั่นไหวไม่ได้นั้น มันไม่น่าอัศจรรย์ สิ่งที่บัณฑิตทั้งหลายในกาลก่อนกระทำ น่าอัศจรรย์กว่า เพราะเขายังไม่เป็นพระอริยบุคคลเลย พระปัจเจกพุทธเจ้าในครั้งนั้นก็ได้ปรินิพพานแล้ว ท่านมาเพื่อการนี้ เอาบุญมาให้แล้วท่านก็ปรินิพพาน

 

                         พระพุทธองค์ทรงประชุมชาดกว่า เศรษฐีกรุงพาราณสี ผู้ปราบมารยืนอยู่บนช่อดอกปทุม ถวายภัตตาหารแด่พระปัจเจกพุทธเจ้าในครั้งนั้น ได้แก่ เรา ตถาคต นั่นเอง
 

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล Total Execution Time: 0.037585131327311 Mins