สร้างชีวิตใหม่ด้วยการมองมุมใหม่
ส่งความสุขอย่างถูกหลักพระพุทธศาสนา
ในช่วงเทศกาลปีใหม่ คนไทยส่วนใหญ่นิยมเข้าวัดทำบุญ ในขณะเดียวกันก็มักจะส่งการ์ดอวยพรให้กันและกันด้วย ที่เราเรียกว่า ส.ค.ส. “ ส่งความสุข ” ซึ่งจริงๆ แล้วความสุขจะเกิดได้ก็ต้องมีบุญ เราจึงควรประกอบเหตุด้วยการไปทำบุญก่อน แล้วจึงอธิษฐานจิตให้บุญนั้นนำมาซึ่งความสุขแก่บุคคลอันเป็นที่รักของเรา
ส.ค.ส. ที่ส่งอย่างถูกหลักวิชาอย่างนี้จะศักดิ์สิทธิ์ และคู่ควรกับการเรียกว่า ส.ค.ส. “ ส่งความสุข ” ที่แท้จริง ยิ่งถ้าใครชักชวนกันทำบุญทำกุศล ถือว่าเป็นการให้ความสุข ความปรารถนาดีอย่างถูกหลักพระพุทธศาสนา
เมื่อเราทราบแล้วว่า “ การส่งความสุข ” หรือที่เรียกสั้นๆว่า “ ส.ค.ส. ” นั้น เราจะส่งความสุขได้ก็ต่อเมื่อเราได้ “ ทำบุญ ” ดังนั้น ช่วงเทศกาลวันขึ้นปีใหม่ในแต่ละปี เราชาวพุทธก็ควรเข้าวัดทำบุญหรือจะทำอะไรก็ได้ที่เป็นบุญเป็นกุศล ไม่ว่าจะด้วยการให้ทาน รักษาศีลเจริญภาวนา
การทำทานเราอาจจะให้ทานด้วยการตักบาตรพระสงฆ์ที่บิณฑบาตใกล้บ้าน จากนั้นตั้งใจรักษาศีลเป็นพิเศษในวันพิเศษนั้นๆ ไม่ว่าจะเป็นศีล 5 หรือศีล 8 แล้วก็เข้าวัดฟังเทศน์ฟังธรรม สวดมนต์ เจริญภาวนาเป็นต้น
เหล่านี้คือสิ่งที่ควรทำในเทศกาลปีใหม่ ไม่ใช่ปีใหม่แล้วก็ดื่มฉลองกันด้วยสุรายาเมา ปีนั้นก็จะกลายเป็นปีที่แย่มาก เราควรฉลองปีใหม่ด้วยใจที่สดใส ผ่องแผ้ว หรือใครจะมาอยู่ธุดงค์ ก็ยิ่งได้ทำบุญกุศลร้อยเปอร์เซ็นต์ตลอดทั้งวัน ทั้งกิจวัตร กิจกรรมต่างๆ ทาน ศีล ภาวนา ครบถ้วนบริบูรณ์ ถือเป็นการรับปีใหม่ที่ดีมากทีเดียว
เพื่อนที่ไม่เคยพบหน้า
ในสมัยโบราณ การติดต่อสื่อสารยังไม่สะดวก ไม่มีโทรศัพท์ โทรเลข จึงมีเพื่อนที่ไม่เคยเห็นหน้ากันมาก่อน เช่น เศรษฐีหรือ พระราชา ของสองเมืองที่ได้ยินกิตติศัพท์ซึ่งกันและกัน จึงคบกันเป็นเพื่อนด้วยการฝากข้าวของให้แก่กันและกัน มีข่าวคราวอะไรก็ฝากคนส่งสารไป การฝากข่าวมีสองวิธี คือ “ ฝากโดยวาจา ” และ “ ฝากโดยหนังสือ ” หรือเมื่อพบคนเดินทางมาจากต่างเมือง ก็มักเข้าไปถามไถ่ข่าวคราวที่น่าสนใจ
ยกตัวอย่างพระราชามหากัปปินะ ทรงทราบข่าวว่า “ พระพุทธเจ้าบังเกิดขึ้นแล้ว ” จากพ่อค้าที่เดินทางมาถึงเขตแคว้นของพระองค์ พระองค์ถึงกับตะลึงจนตัวชาด้วยความปีติ พอพ่อค้าบอกต่อไปอีกว่า “ พระธรรมเกิดขึ้นแล้วในโลก ” พระองค์ก็ทรงตะลึงตัวชาอีกครั้ง ครั้นพ่อค้าบอกต่อไปอีกว่า “ พระสงฆ์เกิดขึ้นแล้วในโลก ” ก็ทรงตะลึงตัวชาอีกเป็นครั้งที่ สาม จากนั้นพระราชามหากัปปินะ จึงตัดสินใจสละราชสมบัติออกบวชทันที ซึ่งเราจะเห็นได้ว่า คนในสมัยก่อนใจเด็ดจริงๆ
ในยุคนี้ก็มีเพื่อนลักษณะนี้ คือ เพื่อนในโซเชียลเน็ตเวิร์ค รู้จักกันโดยไม่ต้องเจอตัว เห็นแต่รูป บางทีก็ไม่รู้ว่าเอารูปจริงหรือ เอารูปอื่นมาใส่ เรามีวิธีการกลั่นกรองหาเพื่อนที่ดีโดย การนำเรื่องธรรมะมาโพสต์ แชร์สู่กันดู คนไม่ดีก็จะหนีหายไปและจะดึงดูดเพื่อนดีๆ มาหาเรา
ทำอย่างไรดี...ใกล้สิ้นปีแล้วแต่ยังไม่สิ้นปัญหา
สำหรับบางท่านที่รู้สึกว่า ใกล้สิ้นปีแล้วแต่ยังไม่สิ้นปัญหาเสียที ทั้งปัญหาครอบครัว ปัญหาเศรษฐกิจ ปัญหาสังคม ถ้าเรามองไปถึงรากของปัญหาจริงๆ จะพบว่าปัญหาต่างๆ เกิดขึ้นจาก 2 สาเหตุใหญ่ ดังนี้
ปัญหาที่เกิดจากความอยาก
คือ อยากได้อะไรแล้วไม่ได้ดั่งใจ ไม่ได้อย่างที่เราคาดหวังไว้ จึงเกิดความเสียใจ หรือว่าอยากจะเป็นอะไรแล้วไม่ได้เป็นอย่างที่ตัวเองหวังไว้ก็ผิดหวัง เป็นต้น
ปัญหาที่เกิดจากความไม่รู้
คือ “ ไม่รู้วงจรชีวิต ” เมื่อ “ ความอยาก ” กับ “ ความไม่รู้ ” นี้มาประกอบกันจึงเกิดปัญหา เช่น คนที่อยากรวย อยากได้รถ อยากได้บ้าน อยากได้สิ่งอำนวยความสะดวก อยากได้ความเพลิดเพลินจำเริญตาจำเริญใจ พอเกิดความอยากได้ คนทั่วไปเนื่องจากไม่รู้ว่าทำอย่างไรดีถึงจะได้ ไม่รู้ที่มาที่ไปที่แท้จริง ก็จะไปมุ่งที่ผลว่า “ อยาก ได้ ๆ ๆ ๆ ” บางคนพออยากมากๆ เข้า เกิดแรงผลักดันจนกระทั่งไปหาวิธีการในทางที่ผิดก็มี อยากได้มากจนไปขโมยของเขาก็มี จี้ปล้นเขา หรือแสวงหาทรัพย์โดยวิธีการที่ผิดกฎหมายก็มี สุดท้ายก็เกิดปัญหาใหญ่ขึ้นมาอีก
บางคนพออยากได้ตัวบุคคลแล้ว ไม่ได้ดังใจก็ไปทำลายเขา อย่างนี้ก็มี ตัวเองต้องหนีหัวซุกหัวซุน บางทีก็ถึงกับต้องโทษ ติดคุกติดตะราง นี่คือเกิดความอยาก แต่ไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรถึงจะสมความปรารถนา สุดท้ายใจไปเกาะที่ผล ใช้วิธีการผิด ความเสียหายก็เกิด
ผู้ที่เข้าใจหลักธรรม แม้ยังไม่ถึงหมดกิเลส ความอยากก็มีอยู่ไม่หมดไป แต่ว่าเริ่มเข้าใจและควบคุม ความอยากของตนเองให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสมได้ ไม่ปล่อยให้ความอยากกำเริบจนกระทั่งดึงตัวเองไปทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เรียกว่า มีความเข้าใจความจริงของโลก และชีวิตว่า “ เราอยากจะได้ แต่จะได้หรือไม่ขึ้นอยู่ที่เหตุ ” คือ บุญในตัวเราเองมีมากพอหรือไม่นั่นเอง
เมื่อเกิดความอยากได้อะไรก็ต้องประกอบเหตุ แทนที่จะเอาใจไปเกาะที่ผลว่า “ อยากได้ ๆ ๆ ๆ ” เท่านั้น พอได้ก็ดีใจ ประเดี๋ยวเดียวก็อยากได้อย่างอื่นอีกแล้ว แต่พอไม่ได้ก็เสียใจ
เราควบคุมความอยากให้มีเพียงพอประมาณ ขณะเดียวกันก็ต้องเข้าใจด้วยว่า จะให้ได้ในสิ่งที่ต้องการต้องประกอบเหตุด้วย คือ ทั้ง “ เหตุในอดีต ” คือ บุญที่เราสั่งสมไว้ กับ “ เหตุในปัจจุบัน ” คือ ความขยันหมั่นเพียร ความวิริยะอุตสาหะ แล้วสุดท้ายเราก็จะได้ในสิ่งที่เราปรารถนา และประสบความสำเร็จ
ความดีที่เราทำวันนี้เอง จะเป็นบุญเก่าสั่งสมไว้ในวันพรุ่งนี้ต่อไป เมื่อเรามีบุญเก่ากับบุญใหม่ประกอบกันแล้ว สิ่งดีๆที่เราหวังไว้ก็จะได้สมความปรารถนา
กล่าวโดยสรุปคือ ปัญหาเกิดจาก “ ความอยาก ” และ “ ความไม่รู้ ” ของมนุษย์ เราสามารถแก้ไขได้ด้วยการลดระดับความอยากให้อยู่ในเกณฑ์ที่พอเหมาะ แล้วเพิ่มพูนความรู้จริงของโลกและชีวิตให้มากขึ้น ปัญหาก็จะทุเลาเบาบาง ลงไปได้ในที่สุด
-----------------------------------------------------------------------
หนังสือเล่ม "เพราะไม่รู้สินะ" โดยพระมหาสมชาย ฐานวุฑโฒ
"จะทนทุกข์ไปทำไม ในเมื่อคุณสามารถลิขิตชีวิตตนเองได้ เพียงเปลี่ยนวิธีคิด ลองมองโลกในอีกมุมที่ต่างไป ลองเปลี่ยนพฤติกรรมเล็กๆ น้อยๆ ในชีวิต คุณอาจได้คำตอบว่า ความสุขนั้นหาได้ง่ายๆ ถ้าคุณคิดได้และคิดเป็น"
วางแผงจำหน่ายแล้วที่
ซีเอ็ดบุ๊ค
https://www.se-ed.com/product-search/เพราะไม่รู้สินะ.aspx?keyword=เพราะไม่รู้สินะ&search=name
ร้านนายอินทร์
https://www.naiin.com/product/detail/141416/เพราะไม่รู้สินะ
Book Smile
http://www.booksmile.co.th/ศาสนา-ปรัชญา/เพราะไม่รู้สินะ.html