..... กลุ่มเพื่อนพระยสะ คือ กลุ่มของพระที่เป็นเพื่อนเก่าของพระยสะตั้งแต่ครั้งยังเป็นฆราวาส และได้ออกบวชตามเมื่อพระยสะออกบวช พระกลุ่มนี้มี ๕๔ รูป แต่ที่ปรากฏชื่อและได้รับจัดเข้าเป็นพระอสีติมหาสาวกมีเพียง ๔ รูป คือ พระวิมละ พระสุพาหุ พระปุณณชิ พระควัมปติ ฉะนั้น ในการกล่าวถึงกลุ่มเพื่อนพระยสะ จะกล่าวถึงแต่เฉพาะพระสาวก ๔ รูปนี้เท่านั้น ซึ่งแต่ละรูปมีประวัติที่น่าศึกษาดังนี้
สถานะเดิม พระสาวกทั้ง ๔ รูป เกิดในวรรณะไวศยะ ในตระกูลเศรษฐีแห่งเมืองพาราณสี แคว้นกาสี
ชีวิตฆราวาส ไม่ปรากฏหลักฐานว่าท่านดำเนินชีวิตอย่างไร แต่โดยเหตุที่เป็นบุตรเศรษฐีและเป็นได้ว่า คงดำเนินชีวิตไม่ต่างไปจากพระยสะ กล่าวคือ มีความเป็นอยู่สุขสบายสมบูรณ์พูนสุขทุกประการ มีนางระบำบรรเลงดนตรีขับกล่อมเวลาเข้านอน
การออกบวชและบรรลุโสดาปัตติผล ในพระไตรปิฏกกล่าวถึงการออกบวชของท่านไว้ว่า พระวิมละ พระสุพาหุ พระปุณณชิ และพระควัมปติ เมื่อได้ทราบว่า ยสะ ออกบวช ต่างมีความคิดเป็นอย่างเดียวกันว่า บัดนี้ยสะได้ปลงผมและหนวด นุ่งห่มผ้าย้อมน้ำฝาดออกจากเรือนบวชแล้ว การบวชของยสะคงไม่ใช่ของต่ำต้อย ธรรมวินัยที่ยสะประพฤติคงไม่ต่ำทราม ครั้นแล้วจึงพร้อมใจกันเดินทางไปหาพระยสะ ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวันด้วยความศรัทธา พระยสะได้พาทั้ง ๔ ท่านเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า หลังจากกราบทูลให้ทรงทราบถึงประวัติส่วนตัวของแต่ละท่านแล้วได้ทูลขอให้พระพุทธเจ้าแสดงธรรมให้ฟัง พระพุทธเจ้าได้ตรวจดูอุปนิสัวแล้วก็ได้ทรงแสดงอนุปุพพิกถาและอริยสัจ ๔ ให้ฟังตามลำดับ เมื่อจบพระธรรมเทศนา ทั้ง ๔ ท่านก็ได้ดวงตาเห็นธรรมสำเร็จเป็นพระโสดาบัน ครั้นแล้วได้ทูลขอบวช พระพุทธเจ้าทรงบวชให้ด้วยวิธีบวชแบบเอหิภิกขุอุปสัมปทาอย่างที่ทรงประทานแก่พระปัญจวัคคีย์โดยตรัสว่า
“ พวกเธอจงเป็นภิกษุมาเถิด ธรรมอันเรากล่าวดีแล้ว พวกเธอจงประพฤติพรหมจรรย์เพื่อทำทุกข์ให้หมดสิ้นไปโดยชอบเถิด”
จบพระพุทธดำรัส ทั้ง ๔ ท่านก็ได้เป็นพระสมบูรณ์แบบในพระพุทธศาสนา และปรากฏชื่อว่า พระวิมละ พระสุพาหุ พระปุณณชิ พระควัปติ มานับแต่นั้น
บรรลุอรหัตผล หลังจากบวชแล้ว พระพุทธเจ้ายังคงแสดงธรรมโปรดอยู่เนือง ๆ ไม่ใช้พระสาวกทั้ง ๔ รูป นั้นก็ได้บรรลุอรหัตผล
งานสำคัญ พระวิมละ พระสุพาหุ พระปุณณชิ และพระควัมปติอยู่ในคณะพระธรรมจาริกรุ่นแรกที่พระพุทธเจ้าทรงส่งไปประกาศพระพุทธศาสนา ซึ่งมีอยู่ด้วยกันทั้งหมด ๖๐ รู) บรรดาพระสาวก ๔ รูปนี้ ในคัมภีร์มีกล่าวไว้แต่เรื่องของพระควัมปติว่า ท่านได้เดินทางไปเผยแผ่พระพุทธศาสนาถึงสหชาตินครในแคว้นเจตี ซึ่งอยู่ทางเหนือ
พระควัมปติ คราวหนึ่งได้จำพรรษาอยู่ ณ ป่าอัญชนวัน เมืองสาเกตกับพระพุทธเจ้าและ พระภิกษุสามเณรจำนวนมากปรากฏว่า เสนาสนะไม่พอ พระภิกษุและสามเณรที่ไม่ได้เสนาสนะต้องพากันไปจำวัดตามหาดทรายชายฝั่งแม่น้ำสรภูซึ่งอยู่ใกล้ ๆ วิหาร ตกเที่ยงคืนเกิดฝนตกน้ำหลาก พระเณรต้องหนีน้ำกันจ้าละหวั่น ความทราบถึงพระพุทธเจ้า พระองค์จึงทรงใช้พระควัมปติให้ไปใช้ฤทธิ์กั้นสายน้ำช่วยพระและเณรที่กำลังเดือดร้อน ท่านไปตามพุทธบัญชาแล้วใช้พลังฤทธิ์กั้นสายน้ำไม่ให้ไหลมารบกวนพระและเณรอีก อยู่มาวันหนึ่งท่านกำลังนั่งแสดงธรรมให้เทวดาฟัง พระพุทธเจ้าทอดพระเนตรเห็น จึงตรัสสรรเสริญท่านว่า
เทวดาและมนุษย์ต่างพากันนอบน้อมพระควัมปติ
ผู้ใช้ฤทธิ์ห้ามแม่น้ำสรภูไม่ให้ไหล
พระควัมปติไม่ติดอยู่ในกิเลสและตัณหาใด ๆ
ไม่หวั่นไหวต่ออะไรทั้งสิ้น ล่วงพ้นเครื่อง
ข้องได้ทุกอย่าง เป็นมหามุนีผู้ขึ้นฝั่งแห่งภพได้
อดีตชาติ- เอตทัคคะ พระสาวกทั้ง ๔ รูปนี้มิได้ปรารถนาตำแหน่งเอตทัคคะใด ๆ ไว้แต่อดีตชาติเช่นเดียวกับพระยสะ เพียงแต่ได้ตั้งจิตปรารถนาเพื่อการเป็นพระมหาสาวกไว้เท่านั้น
ในอรรถกถาธรรมบทและอรรถกถาเถรคาถา ( ปรมัตถทีปนี) มีกล่าวถึงเรื่องอดีตชาติของท่านไว้ว่า
คราวที่โลกว่างจากพระพุทธเจ้าคราวหนึ่ง ท่านได้เกิดร่วมกับพระยสะและเพื่อนอีก ๕๐ คน และได้ทำความดีร่วมกันไว้โดยได้เที่ยวเก็บศพไม่มีญาติแล้วนำไปเผาที่ป่าช้า เป็นประจำควมดีนี้ส่งผลให้ท่านได้อสุภสัญญา ( ความสำคัญว่าร่างกายไม่ใช่ของสวยงาม) อันเป็นปัจจัยสำคัญให้ท่านได้ออกบวชและบรรลุอรหันตผลในชาติปัจจุบัน
นอกจากนั้นอรรถกถาเถรคาถา ( ปรมัตถทีปนี) ยังได้กล่าวเพิ่มเติมถึงเรื่องอดีตชาติของพระควัมปติไว้อีกว่า ท่านได้พบพระพุทธเจ้าในอดีตหลายพระองค์ด้วยกัน เฉพาะที่ปรากฏพระนามมีอยู่ ๓ พระองค์ คือ พระพุทธเจ้าสิขี พระพุทธเจ้าโกนาคมนะ และพระพุทธเจ้ากัสสปะ
ชาติที่พบพระพุทธเจ้าสิขีนั้น ท่านเกิดเป็นนายพรานเนื้อ ขณะตระเวนล่าเนื้ออยู่ในป่าได้พบพระพุทธเจ้าสิขีแล้วเลื่อมใสได้ทำบุญสำคัญ คือ บูชาพระพุทธเจ้าด้วยดอกไม้นานาพรรณ จากชาตินั้นบุญส่งผลให้ไปเกิดอยู่ในเทวโลกเป็นเวลานานครั้นมาเกิดเป็นมนุษย์อีกท่านก็ได้ทำบุญอื่น ๆ สนับสนุนอย่างต่อเนื่อง ท่านเวียนว่ายตายเกิดในภพภูมิต่าง ๆ จนมาถึงพุทธุปบาทกาลของพระพุทธเจ้าโกนาคมนะ
ชาติที่พบพระพุทธเจ้าโกนาคมนะนั้น ท่านให้สร้างฉัตรและให้ยกพื้นขึ้นในพระเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้า ภายหลังที่พระองค์เสด็จดับขันธปรินิพพานแล้วเพื่อถวายเป็นพุทธบูชา จากชาตินั้นบุญส่งผลให้เวียนว่ายตายเกิดในภพภูมิต่าง ๆ จนมาถึงพุทธุปบาทกาลของพระพุทธเจ้ากัสสปะ
ชาติที่พบพระพุทธเจ้ากัสสปะนั้น ท่านเกิดในครอบครัวเศรษฐี ตระกูลของท่านเลี้ยงวัวไว้หลายฝูงโดยจ้างพวกโคบาลไว้เลี้ยงดู ส่วนท่านก็รับผิดชอบโดยเที่ยวตรวจดูตามฝูงโคเวลาที่พวกโคบาลต้อนออกไปหากินในทุ่งหญ้า ทุกวันที่ออกไปนั้นท่านได้เห็นพระอรหันต์รูปหนึ่ง พระอรหันต์รูปนี้หลังจากบิณฑบาตในหมู่บ้านแล้วก็จะออกมาฉันนอกหมู่บ้าน วันหนึ่งท่านเห็นแล้วเกิดความคิดขึ้นว่าพระคงจะร้อนจึงชวนพวกโคบาลสร้างปะรำมุงด้วยกิ่งซึกถวายพระอรหันต์ พระอรหันต์ได้นั่งฉันภัตตาหารทุกวันในปะรำไม้ซีกนั้น จากชาตินั้นบุญส่งผลให้ท่านไปเกิดเป็นเทวดาอยู่ในสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา ที่บริเวณใกล้ประตูวิมานมีไม้ซึกขึ้นเป็นป่าใหญ่ออกดอกสวยงามบานสะพรั่งส่งกลื่นหอมอบอวนตลอดปี ท่านเวียนว่ายตายเกิดเป็นเทวดาและมนุษย์อยู่พุทธันดรหนึ่งจนมาถึงพุทธุปบาทกาลของพระพุทธเจ้าพระองค์ปัจจุบัน ท่านได้มาเกิดเป็นบุตรเศรษฐีเป็นสหายของพระยสะ ครั้นออกบวชก็ได้บรรลุอรหัตผล ดังกล่าวแล้ว