พราหมณ์มังคละ
.....ในพระพุทธกาลนี้ พระโพธิสัตว์ของเราเกิดเป็นพราหมณ์ชื่อมังคละ อาศัยอยู่ในกรุงสุรเสนะ ศึกษาจบตามลัทธิของพราหมณ์ เห็นความไร้สาระของสมบัติพัสถาน จึงนำออกบริจาคแก่ผู้ยากจนและผู้ต้องการ แล้วออกบวชเป็นดาบส บำเพ็ญเพียรทำตบะ จนได้ฌานและอภิญญา เหาะไปในอากาศได้ เมื่อได้ทราบข่าวพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นในโลก มีศรัทธาเลื่อมใส จึงเข้าไปถวายบังคมฟังพระธรรมเทศนา จบแล้วได้บำเพ็ญมหาทานใหญ่เหาะไปยังชมพูทวีป เอาผลชมพู่มาถวายพระบรมศาสดา พร้อมด้วยพระสงฆ์สาวก ๙๐ โกฏิ ที่สุรเสนวิหาร
พระบรมศาสดาทรงตรัสพยากรณ์ว่า อีก ๙๔ กัป นับแต่กัปนั้น มังคละดาบสโพธิสัตว์จะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าพระนามว่า โคตมะ พระโพธิสัตว์ดีใจมาก อธิษฐานข้อวัตรบำเพ็ญพุทธบารมีอย่างยิ่งยวดขึ้นไปจนสิ้นชีวิต
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ที่ ๑๗ ที่ตรัสพุทธพยากรณ์
ทรงพระนามว่า พระติสสสัมมาสัมพุทธเจ้า พระสรีระสูง ๖๐ ศอก อายุขัยของมนุษย์ในยุคนั้น ๑ แสนปี ทรงเป็นพระราชโอรสของพระเจ้าชนสันธะ และพระนางปทุมาพระอัครมเหสี แห่งพระนครเขมกะ ทรงครองฆราวาสวิสัยอยู่ / หม่อปี ทรงเห็นนิมิต ๔ ประการ เมื่อพระนางสุภัททาอัครชายาประสูติพระโอรสอานันทกุมารแล้ว ประทับบนหลังม้าทรงชื่อโสนุตตระ เสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์ ทรงบำเพ็ญเพียรอยู่ ๑๕ วัน ( บางแห่งว่า ๘ เดือน) ผู้ถวายข้าวมธุปายาส เป็นธิดาวีรเศรษฐี ที่วีรนิคม นิสีทนสันถัตกว้าง ๔๐ ศอก คนเฝ้าไร่ข้าวเหนียวชื่อ วิชิตสังคามกะ ถวายหญ้า ๘ กำ ประทับนั่งโคนต้นอัสนะ( ประดู่)
พระอัครสาวกคือ พระพรหมเทวะ และ พระอุทยะ พระพุทธอุปัฏฐาก คือ พระสมังคะ ทรงแสดงธรรม ๓ ครั้ง มีสาวกสันนิบาตเกิดขึ้น ๓ ครั้ง ครั้งที่ ๓ ทรงแสดงพระธรรมกถาเรื่องพุทธวงศ์ ในสมาคมพระญาติที่กรุงเขมวดี เสด็จดับขันธปรินิพพานเมื่อพระชนมายุ ๑ แสนพรรษา ณ พระวิหารนันทาราม กรุงสุนันทวดี พระสถูปสูง ๓ โยชน์
พระเจ้าสุชาตะ
ในพระพุทธกาลนี้ พระโพธิสัตว์ของเราเป็นกษัตริย์ทรงพระนามว่า พระเจ้าสุชาตะ ครองกรุงยสวดี เกิดสังเวชพระทัยในความทุกข์จากการเกิด แก่ เจ็บ ตาย จึงทรงสละราชสมบัติทั้งหมดเสด็จออกบวชเป็นดาบส มีฤทธานุภาพมาก ต่อมาเมื่อได้ทรงทราบข่าวพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้นในโลก จึงเสด็จมาเฝ้า ทรงมีศรัทธาเปี่ยมล้น จึงใช้ฤทธิ์นำดอกไม้ในสวรรค์ มีดอกปทุม ดอกมณฑารพ ดอกปาริฉัตตกะ ที่สวนจิตรลดาในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์มาถวายบูชาพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ทรงตรัสพยากรณ์ว่า พระโพธิสัตว์สุชาตะดาบส จะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าพระนามว่า โคตมะ ในอนาคตอีก ๙๒ กัป นับแต่กัปนี้ไป พระโพธิสัตว์ฟังแล้วดีใจยิ่งนัก จึงเร่งบำเพ็ญพุทธบารมีอย่างยิ่งยวดขึ้นไป
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ที่ ๑๘ ที่ตรัสพุทธพยากรณ์
ทรงพระนามว่า พระปุสสะสัมมาสัมพุทธเจ้า พระสรีระสูง ๕๘ ศอก อายุขัยของมนุษย์ในยุคนั้น ๙ หมื่นปี ทรงเป็นพระราชโอรสของพระเจ้าชัยเสน และพระนางสิริมาพระอัครมเหสี แห่งพระนครกสิกะ( กาสี) ทรงครองฆราวาสวิสัยอยู่ ๙ พันปี ทรงเห็นนิมิต ๔ ประการ เมื่อพระกีสาโคตมีอัครชายประสูติพระโอรสอนูปมะแล้ว ทรงช้างพระที่นั่งเสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์ มีผู้ตามเสด็จออกบวช ๑ โกฏิ
ทรงบำเพ็ญเพียรอยู่ ๗ วัน ( บางแห่งว่า ๖ เดือน) ผู้ถวายข้าวมธุปายาส คือ นางสิริวัฑฒา ธิดาเศรษฐีผู้หนึ่ง นิสีสันถัตกว้าง ๓๘ ศอก ทรงรับหญ้า ๘ กำ ที่อุบาสกชื่อ สิริวัฒนะถวาย ประทับนั่ง ณ โคนต้นอามลกะ ( ต้นมะขามป้อม) พระอัครสาวกคือ พระสุรักขิตะ และ พระธัมมเสนะ พระพุทธอุปัฏฐาก คือ พระสภิยะ ทรงแสดงธรรม ๓ ครั้ง มีสาวกสันนิบาติเกิดขึ้น ๓ ครั้ง ครั้งแรก คู่พระอัครสาวกขอบวชและสำเร็จเป็นพระอรหันต์ ครั้งที่ ๒ ทรงแสดงเรื่องพระพุทธวงศ์ ในสมาคมพระญาติของพระเจ้าชัยเสน แห่งกรุงกาสี เสด็จดับขันธปรินิพพานเมื่อพระชนมายุ ๙ หมื่นพรรษา ณ พระวิหารเสนาราม กรุงกุสินาราม พระบรมสารีริกธาตุกระจายเป็นส่วนๆ ไป
พระเจ้าวิชิตาวี
ในพระพุทธกาลนี้ พระโพธิสัตว์ของเราเกิดเป็นกษัตริย์ ทรงพระนามว่า วิชิตาวี แห่งนครอรินทมะ ทรงเข้าเฝ้าพระบรมศาสดาสดับพระธรรมเทศนา ทรงเลื่อมใสเป็นอันมาก จึงถวายมหาทาน แล้วทรงสละราชสมบัติออกผนวชในสำนักพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงศึกษาแตกฉานในพระไตรปิฎกอย่างยิ่ง สามารถตรัสพระธรรมกถาแก่มหาชน พระบรมศาสดาตรัสพยากรณ์ว่า จะได้เป็นพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งพระนามว่า โคตมะ ในอนาคตอีก ๙๒ กัป
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ที่ ๑๙ ที่ตรัสพุทธพยากรณ์
ทรงพระนามว่า พระวิปัสสีสัมมาสัมพุทธเจ้า พระสรีระสูง ๘๐ ศอก อายุขัยของมนุษย์ในยุคนั้น ๙ หมื่นปี ทรงเป็นพระราชโอรสของพระเจ้าพันธุมะ และพระนางพันธุมดี พระอัครมเหสีแห่งพันธุมดีนคร ทรงครองฆราวาสวิสัยอยู่ ๘ พันปี ทรงเห็นนิมิต ๔ ประการ สลดพระทัย เมื่อพระนางสุทัสสนา( หรือพระนางสุตนู) ประสูติพระโอรสสมวัฏฏขันธกุมาร เสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์ด้วยรถเทียมม้า มีข้าราชบริพารตามออกบวช ๘ หมื่น ๔ พัน ทรงทำความเพียรอยู่ ๘ เดือนเต็ม ผู้ถวายข้าวมธุปายาสคือธิดาของสุทัสสนเศรษฐี นิสีสันถัตกว้าง ๕๓ ศอก คนเฝ้าไร่ข้าวเหนียวชื่อ สุชาตะ ถวายหญ้าคา ๘ กำมือ ประทับนั่ง ณ โคนต้นปาฏลี( แคฝอย) พระอัครสาวกคือ พระขัณฑะ และ พระอโสกะ พระพุทธอุปัฏฐากคือ พระอโสกะ ทรงแสดงธรรม ๓ ครั้ง ครั้งแสดงปฐมเทศนา พระอัครสาวกทั้งสองบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ มีสาวกสันนิบาต ๓ ครั้ง เสด็จดับขันธปรินิพพานเมื่อพระชนมายุ ๘ หมื่นพรรษา ณ พระวิหารสุมิตตาราม พระสถูปสูง ๗ โยชน์อยู่ที่นั่น