ข้าวต้นกัป ๑
.....ข้าวสาลีทีแรกงอกขึ้นเอง เป็นข้าวขาว ไม่มีเปลือก ไม่มีรำ ไม่ลีบ มีกลิ่นหอมเป็นรวงหุงได้ทันที พอเก็บมาหุงตอนเช้า ตอนเย็นก็เกิดรวงขึ้นมาให้เก็บได้ใหม่ เวลาหุงไม่ยุ่งยาก รูดข้าวจากรวงใส่ภาวชนะแล้ววางไว้บนแผ่นหินชนิดหนึ่ง ข้าวก็เดือดสุกได้เอง ( คงจะเป็นก้อนหินที่มีความร้อนจากใต้ผิวโลก) ข้าวในยุคนั้นเป็นข้าวที่มีรสชาติตามใจผู้บริโภค ไม่ต้องใช้กับแกล้ม มีคุณค่าทางอาหารครบ
ในเวลาที่หมู่มนุษย์บริโภคข้าวซึ่งเป็นอาหารหยาบ ทำให้มีกากอาหาร ร่างกายต้องขับถ่ายทิ้ง จึงมีทวารหนักทวารเบาเกิดขึ้น อวัยวะเพศก็เกิดตามขึ้นมา
๖. เมื่อมีอวัยวะเพศเกิดขึ้น จิตที่เคยมีคุณภาพข่มกามราคะได้ก็เสื่อมลง กามคุณเกิดขึ้นในสันดาน ทำให้สนใจเพศตรงข้าม และเสพเมถุนธรรม
เมื่อสมสู่กันทางเพศ อันเป็นอสัทธรรม ก็ต้องทำอย่างปกปิด ต้องสร้างบ้านเรือนปิดบัง
เมื่อมีบ้านเรือน ก็คิดเกียจคร้าน กระทำการสะสมข้าวสาร ไม่ต้องไปเก็บบ่อยๆ
เมื่อมีความโลภสะสม ข้าวสาลีก็เสื่อมคุณภาพ มีเปลือกมีรำเกิดขึ้น ข้าวที่เก็บไปแล้วไม่งอกขึ้นใหม่
เมื่อข้าวไม่งอก จึงต้องมีการปันเขตกันขึ้น
๗. แบ่งเขตข้าวสาลี ทำให้เกิดการมีเจ้าของ ผู้ที่อยากได้ข้าวสาลีของผู้อื่นก็ทำการลักขโมย เจ้าของจับได้ จึงเกิดการตัดพ้อต่อว่า เมื่อยังไม่เลิกทำ ต่อมาก็มีการกลุ้มรุมทุบตี
๘. การลักขโมย ทำให้เกิดการทำร้ายร่างกาย การครหาติเตียน การพูดมุสาการถูกปรับ การลงอาญา หมู่มนุษย์มีความทุกข์เดือนร้อนคับแค้นใจเกิดขึ้น จึงพากันตั้งหัวหน้า เพื่อให้ปกครองพวกตน
ผู้ได้รับเลือกตั้งให้ดำรงตำแหน่งหัวหน้าปกครองผู้อื่น ต้องเป็นผู้มีสติปัญญารูปร่าง บุคลิกท่วงทีกิริยาสง่าน่าเกรงขาม สามารถว่ากล่าวปกครองคนทั้งปวงได้ ซึ่งได้แก่พระโพธิสัตว์ ผู้มีคุณสมบัติดังกล่าวจะดำรงตำแหน่งเป็นพระเจ้าแผ่นดินผู้ปกครองประเทศต่อจากนั้นพระราชาก็ทรงวางระเบียบแบบแผน และกฎข้อบังคับในทางที่เป็นธรรม เพื่อให้ประชาชนทั้งหลายปฏิบัติ
ในสมัยต้นกัป ประชาชนได้พากันประชุมเลือกพระโพธิสัตว์ขึ้นเป็นพระเจ้าแผ่นดิน ปกครองประเทศ แล้วถวายพระนามว่า พระเจ้ามหาสมมุติ ซึ่งแต่เดิมท่านชื่อว่า “ มนุ” เมื่อพระองค์ได้ทรงปกครองประเทศแล้ว ก็ทรงจัดวางระเบียบแบบแผน และกฎข้อบังคับให้เป็นธรรม เพื่อให้ประชาชนปฏิบัติตาม ประชาชนจึงทำตัวให้อยู่ในโอวาทของท่าน ดุจลูกชายหญิงอยู่ในโอวาทของพ่อแม่ ดังนั้นประชาชนตั้งแต่บัดนั้นจนถึงปัจจุบันนี้จึงได้นามว่า “ มนุษย์” แปลว่า ลูกหลานหรือเหล่าก่อของพระมนุ
ระยะต้นกัป มนุษย์มีอายุยืนยาวมาก ราวอสงไขยปี คือมีเลขหนึ่งอยู่นำหน้า เลขศูนย์ตามหลัง ๑๔๐ ตัว แต่เมื่อมนุษย์เกิดกิเลสเพิ่มมากขึ้น อายุของมนุษย์ก็ลดลงเรื่อยๆ
สำหรับโลกมนุษย์ที่ชื่อ อุตตรกุรุทวีป อายุมนุษย์ลดลงถึง ๑, ๐๐๐ ปี แล้วไม่ลดต่อไปอีก ปุพพวิเทหทวีป ลดลงถึง ๗๐๐ ปี อปรโคยานทวีป ลดลงถึง ๕๐๐ ปี
ส่วนชมพูทวีป จะลดเรื่อยไปจนถึง ๑๐ ปี
ในระหว่างที่โลกมนุษย์เปลี่ยนแปลง และอายุขัยของมนุษย์ลดลงอยู่เรื่อยๆ นั้น บางช่วงเวลาเฉพาะในชมพูทวีป มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบังเกิดขึ้นเพื่อสั่งสอนเวไนยสัตว์ ให้ปฏิบัติตามคำสอน บรรลุมรรคผลนิพพาน เลิกเวียนว่ายตายเกิดในภพสามเป็นครั้งคราว จักรวาลเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ก่อนแตกทำลายอาจมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ ตั้งแต่ ๑- ๒- ๓- ๔- ๕ พระองค์ ไม่เกินนั้น ( ครั้งละ ๑ พระองค์ ไม่ใช่พร้อมกัน)
แต่จักรวาลที่เกิดขึ้นบางแห่งในชมพูทวีปของที่นั่น ไม่มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเกิดขึ้นเลย กระทั่งจักรวาลแตกสลาย อย่างนี้เรียกว่า “ สูญญกัป”
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้เฉพาะในชมพูทวีปของทุกจักรวาล เพราะในทวีปที่เหลืออื่นๆ อีกสามทวีป ประชาชนของที่นั่นไม่มีใครผิดศีลห้า ความทุกข์ยากต่างๆ มีน้อยมาก การสอนให้เห็นความทุกข์ทำได้ยาก
ส่วนในชมพูทวีป มนุษย์มีทั้งดีทั้งชั่วปะปนกัน มีตัวอย่างความทุกข์ยากต่างๆ มากมาย พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงทรงอุบัติขึ้นในโลกนี้
เวลาที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าบังเกิดขึ้นแต่ละพระองค์ อายุขัยของมนุษย์ในเวลานั้นไม่แน่นอน บางพระองค์ตรัสรู้ในยุค( หรือช่วง) ที่มนุษย์มีอายุขัยหลายหมื่นปี บางพระองค์เป็นแค่พันปีร้อยปี แต่จะไม่มีพระองค์ใดตรัสรู้ในยุคที่หมู่มนุษย์มีอายุเกินแสนปี และต่ำกว่าร้อยปี
เพราะมนุษย์มีอายุขัยเกินแสนปี เวลานั้นมนุษย์มีความทุกข์น้อย การสั่งสอนไม่ได้ผล ส่วนเวลาที่มีอายุต่ำกว่าร้อยปี ก็เป็นเวลาที่มนุษย์มีกิเลสหนาแน่นในสันดาน สั่งสอนให้เชื่อฟังยากนัก
เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้และประกาศพระศาสนา วางรากฐานไว้เรียบร้อยแล้ว จึงเสด็จดับขันธรินิพพาน พระพุทธศาสนาก็ตั้งอยู่ระยะหนึ่ง แล้วค่อยๆ เสื่อมสูญอันตรธาน เมื่อคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอันตรธานลง หมู่มนุษย์ก็สิ้นคุณธรรม ประพฤติแต่อสัทธรรม อันเป็นบาปอกุศล อายุของมนุษย์จะลดลงตลอดเวลา โดยอัตราหนึ่งร้อยปี อายุขัยของมนุษย์ลดลง ๑ ปี