ฉบับที่ 71 กันยายน ปี 2551

เมื่อทุกคนใจหยุด พระพุทธศาสนจักรเป็นหนึ่งเดียวกัน เหมือนตะวันที่มีดวงเดียว

สมาธิเปลี่ยนชีวิต
เื่รื่อง : Son Backhome    e-mail : [email protected]
                 

          คำกล่าวข้างต้น คือ มธุรสวาจาอันประเสริฐของพระธรรมาจารย์ไห่เทา พระเถระผู้เปี่ยมด้วยคุณธรรมอันยิ่งใหญ่ มีน้ำใจกว้างขวางดุจมหาสมุทร จากประเทศไต้หวัน ท่านเป็นผู้สร้างปรากฏการณ์แห่งการค้นหาพระสัจธรรมดั้งเดิม จนบังเกิดภาพของชาวพุทธทั้งมหายานและเถรวาทมานั่งสมาธิด้วยกัน วางความเชื่อทางตำราหรือพระธรรมวินัย ที่มีความแตกต่างกันในบางข้อ มาค้นหาความจริงภายในร่วมกัน ด้วยการวางใจไว้ตรงจุดเดียวกัน คือ การทำใจหยุดนิ่งที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ในโครงการปฏิบัติธรรม The Middle Way ภาคภาษาจีน รุ่นพิเศษ ณ สวนสุขสว่าง อำเภอฮอด จังหวัดเชียงใหม่ ระหว่างวันที่ ๒๐ - ๒๖ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๑ จากคำกล่าวเชิญของพระเดชพระคุณหลวงพ่อธัมมชโย เมื่อวันคุ้มครองโลก ๒๒ เมษายน ที่ผ่านมา โดยมีผู้เข้าร่วมปฏิบัติธรรมในครั้งนี้จำนวนทั้งสิ้น ๔๔ ท่าน จาก ๗ สัญชาติ ได้แก่ ไต้หวัน จีน ฮ่องกง สิงคโปร์ พม่า อินโดนีเซีย ไทย แบ่งออกเป็น พระ ๕ รูป สามเณร ๑ รูป ภิกษุณี ๕ รูป โยมผู้ชาย ๕ ท่าน โยมผู้หญิง ๒๘ ท่าน
                                                                                     
         ไม่ว่าแต่ละคนจะมีโจทย์ของชีวิตแตกต่างกันเพียงใดก็ตาม หากใจของผู้คนเหล่านั้นกลับคืน สู่แหล่งแห่งความสงบสุขในกลางกาย เราจักได้ รับ คำตอบที่เสมอเหมือนกัน คือ ความสุขที่สว่างไสว ความหลุดพ้นที่เบาสบาย ดังเช่นผลการปฏิบัติธรรม ของคณะศิษย์หลายๆ ท่าน ของพระธรรมาจารย์ไห่เทา ที่ได้เล่าถึงประสบการณ์ภายในให้ฟัง ดังนี้ พระธรรมาจารย์หุ้ยอิน หัวหน้าวัดสาขาซินเตี้ยน ท่านกล่าวว่า...เดิมทีอาตมาเป็นคนที่ตื่นเต้นและเครียดง่าย เมื่อก่อนก็ฝึกสมาธิมาหลายแบบ แต่ว่าฝึกไปก็แน่นหน้าอกไป หายใจไม่ทั่วท้อง แต่พอได้มีโอกาสมางานวันคุ้มครองโลกกับท่านไห่เทา วันนั้น เป็นวันแรกที่ได้รู้จักและฟังวิธีการนั่งสมาธิเพื่อให้เข้าถึงพระธรรมกาย อาตมาพยายามตั้งใจฟังทุกคำ ที่หลวงพ่อสอนและรู้สึกว่าวิธีการทำสมาธิแบบนี้ ใช่เลย... นั่งเพียง ๑๐ นาทีแรกก็ได้ความสุขแล้ว พอกลับถึงไต้หวัน อาตมาก็พยายามหาศูนย์สาขาของวัดพระธรรมกายเพื่อจะได้นั่งสมาธิต่อ เมื่อได้เบอร์ติดต่อกับพระอาจารย์สุรพรชัย ท่านก็เมตตาสอนธรรมะให้ทุกครั้งที่อาตมาโทรไปถามเรื่องประสบการณ์การนั่งสมาธิ ก่อนมาสุขสว่างครั้งนี้ อาตมาเองก็มีอาการเจ็บขา แต่อาตมาตั้งตารอคอยการมาที่นี่ถึง ๓ เดือน จึงไม่มีอะไรมาขัดขวางได้ แรกๆ ที่มาสุขสว่าง ทุกครั้งที่นั่งก็ปวดเมื่อยไปหมด จนกระทั่งได้ไปนั่งใต้ต้นไทรใหญ่ที่สวนเพชรแก้ว อาตมาก็ภาวนา โอม-มา-นิ-เป-เม-ฮง ไปเรื่อยๆ แค่ลมเย็นของสวนเพชรแก้วพัดโชยมา อาตมาก็เข้า ไปอยู่ในสภาวะแห่งความเบาสบายได้แล้ว แล้วก็รักษาสภาวธรรมนั้นมาตลอด ไม่ว่าจะเดิน ยืน นั่ง นอน โดยทุกครั้งที่นั่งสมาธิอาตมาก็จะภาวนาคาถา โอม-มา-นิ-เป-เม-ฮง พอใจนิ่งก็หยุดภาวนาไปเอง แล้วก็อยู่กับอารมณ์นั้นไปเรื่อยๆ การนั่งสมาธิทำให้อาตมาเปลี่ยนไป ไม่เครียดง่าย ไม่ตื่นเต้นง่าย ความจำดีขึ้น แล้วใจก็นิ่ง ละมุนละไมมากขึ้นด้วย

        กัลฯ หลิน จิ้ง จื๊อ อุปัฏฐากใหญ่ของวัดสาขาซินเตี้ยน กล่าวว่า จริงๆ แล้ว ดิฉันเป็นคนชอบนั่งสมาธิ แล้วก็พยายามแสวงหาวิธีนั่งสมาธิมาหลายวิธี ซึ่งแต่ละวิธีก็ไม่เคยไปเรียนได้เกิน ๓ ครั้ง เพราะรู้สึกว่าไม่ใช่ จนกระทั่งได้เดินทางมาวัดพระธรรมกาย ในวันคุ้มครองโลกที่ผ่านมา ซึ่งวันนั้นเป็นวันที่ดิฉันไม่เคยคาดฝันมาก่อน ภาพพลังศรัทธาของสาธุชนที่หลั่งไหลมาทำบุญนั่งสมาธิ วันนั้นเป็นวันที่ดิฉันไม่เคยคาดฝันมาก่อน ภาพพลังศรัทธาของสาธุชนที่หลั่งไหลมาทำบุญนั่งสมาธิ ทำให้ดิฉันมั่นใจว่านี่ ต้องเป็นวิธีการนั่งสมาธิที่ถูกต้องและเป็นสิ่งที่กำลังแสวงหาจริงๆ ยิ่งได้ฟังวิธีการนั่งสมาธิของหลวงพ่อ ก็รู้สึกว่าง่ายไม่ยากเลย
จึงนำมาปฏิบัติเองทุกวันที่บ้านก่อนนั่ง ดิฉันจะขอพรจากหลวงปู่และคุณยาย ช่วยคุมบุญให้นั่งสมาธิได้เป็นผลสำเร็จ เพื่อจะได้มีพลังชวนเพื่อนคนอื่นที่ไต้หวันให้มานั่งสมาธิแบบนี้บ้าง จากนั้นก็จะทำความรู้สึกว่าลืมทุกอย่าง ลืมเรื่อง งาน และไม่รู้จักว่าตัวเองเป็นใคร ไม่มีหลิน จิ้ง จื๊อ คนนี้อยู่ แล้วดิฉันก็นั่งเรื่อยๆ ค่ะ มีความสบาย อยาก นั่งอย่างนี้ไปอีกนานๆ แม้จะปวดเมื่อยบ้างแต่ก็จะนั่ง เพราะเชื่อมั่นในหลวงพ่อและการนั่งสมาธิแบบนี้ค่ะ

         กัลฯ เฉิน เซิง ไฉ นักธุรกิจนำเข้าข้าวรายใหญ่ของไต้หวัน กล่าวว่า หลังจากที่ภรรยาของผมคือ กัลฯ หลิน จิ้ง จื๊อ กลับจากวัดพระธรรมกายก็มาสอนให้ผมนั่งสมาธิครับ เธอบอกว่าวิธีนี้นั่งแล้วดี สบาย วันที่เทพธิดาสอนนั้น ผมบอกว่ายังไม่รู้สึกอะไร แต่วันต่อมาหลังเลิกงานก็มาลองนั่งเองอีกครั้ง นั่งไป ก็โยกไป แต่โยกไปก็เบาๆ สบายๆ เบาอย่างกับลอย ได้ ยิ่งโยกก็ยิ่งหมุนเร็ว แล้วก็ยิ่งมีความสุขมากๆ แต่ ก็กลัวมากๆ เช่นกันครับ ผมก็เลยลืมตาขึ้น ปรากฏ ว่าไม่เห็นมีอะไร เลยนั่งต่อ ทุกวันนี้ผมนั่งสมาธิกับภรรยาทุกวัน โดยจะตื่นตี ๕ มานั่งด้วยกันประมาณ ๔๐ นาที ตอนนี้เวลาไปทำงานใจผมก็นิ่งขึ้น ถ้าเป็น เมื่อก่อนหากลูกน้องคนไหนทำอะไรไม่ถูกใจ ขัดหู ขัดตา ก็จะโกรธ โมโห พูดไม่เพราะทันที แล้วเขาก็ ไม่อยากจะฟัง แต่เดี๋ยวนี้ผมไม่โกรธ พูดนิ่งๆ แต่ปรากฏว่าเขาเชื่อฟังมากกว่าเดิมเสียอีกครับ

          กัลฯ เฉิน เหม่ จวิน อาจารย์มหาวิทยาลัยฉือจี้ กล่าวว่า ดิฉันเป็นลูกของคุณพ่อเฉิน เซิง ไฉ และคุณแม่หลิน จิ้ง จื๊อค่ะ เคยนั่งสมาธิมาตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๔๒ โดยเอาใจมาวางไว้ที่ระหว่างคิ้ว แล้วก็นั่งแบบนี้มาเรื่อยๆ พอมาถึงสุขสว่าง ก็พบเจ้าหน้าที่ที่มีแต่เสียงหัวเราะและรอยยิ้มตลอดเวลา ซึ่งดิฉันก็ ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าคนที่นี้ ทำไมเขายิ้มกันได้ตลอด จึงเก็บความสงสัยนี้ แล้วก็ลองนั่งตามที่พระอาจารย์ แนะนำ ทำกายใจให้เบาสบาย นั่งไปก็ได้อารมณ์สบาย แล้วก็พบว่ามีองค์พระกลางแสงสว่างอยู่ตรงหน้า ซึ่ง ดิฉันก็พยายามอาราธนาท่านมาไว้กลางท้อง แต่ยิ่งพยายามทุกอย่างก็กลับมลายหายไป พระอาจารย์จึง แนะนำให้เอาใจไว้ที่กลางท้องแล้วดูเฉยๆ เดี๋ยวท่าน อยากมาในท้องก็จะมาเอง ดิฉันก็เลยนั่งสมาธิแบบทำใจนิ่งๆ ไปเรื่อยๆ ตอนนี้ดิฉันทราบแล้วว่าทำไม ลูกหลวงพ่อจึงยิ้มเก่ง เพราะนั่งสมาธิแล้วมีความสุข และคิดว่าต่อไปดิฉันคงจะยิ้มเก่งตามทุกคนได้แน่ๆ


          กัลฯ หลิน เหม่ เจิน กล่าวว่า ดิฉันเคยทำงานเป็นพยาบาลมาก่อน แต่ปัจจุบันเป็นอุบาสิกาอยู่ที่วัดสาขาที่ซินเตี้ยน เมื่อได้รับฟังความยิ่งใหญ่และพลังศรัทธาของสาธุชนวัดพระธรรมกาย ในงานบุญ วันที่ ๒๒ เมษายน ทำให้ดิฉันเกิดความสนใจใน วัดพระธรรมกาย เมื่อท่านธรรมาจารย์จ้านจื้อมอบหนังสือหนึ่งไม่มีสองให้อ่าน แล้วชวนมาสุขสว่าง ดิฉันก็ไม่ปฏิเสธ จึงได้มาที่นี่เป็นครั้งแรก ที่สุขสว่าง สวยงามมากๆ วันแรก ตอนบ่ายๆ ดิฉันก็นั่งสมาธิอย่างปีติและสบาย แต่วันหลังดิฉันเริ่มเมื่อยมากๆ พระอาจารย์ก็เมตตาบอกว่าให้ทำใจสบายๆ เอาความสนใจไปอยู่ที่เสียงนกร้อง เสียงลมพัด เสียงธรรมชาติแทนไปก่อน พอดิฉันทำตาม โดยฟังเสียง ธรรมชาติแบบไม่คิดอะไร ดิฉันก็เข้าสู่สภาวะที่ไม่มีตัวตน ไม่รู้สึกปวดอะไร รู้สึกว่ามือก็ไม่มี แขน ขาก็ไม่มี แล้ววันที่ได้ไปสวนเพชรแก้ว เพียงแค่แป๊บเดียว ก็เข้าสู่สภาวะนั้นอีก ไม่อยากลุกออกจากที่นั่งเลย นั่งไปเรื่อยๆ ดิฉันก็เห็นความสว่างเหมือนพระอาทิตย์ ยามเที่ยงวัน พอออกจากสมาธิแล้ว ความรู้สึกกายเบาก็ยังอยู่ มีความสุข สบายใจค่ะ

          กัลฯ โหว อี้ เจิน กล่าวว่า ช่วงปีก่อนนั้น ดิฉันป่วยตรงเส้นประสาทของกระดูกบริเวณบั้นท้าย ไป รักษาที่ญี่ปุ่น หมอก็บอกว่า อีก ๕ ปีจะต้องได้นั่งรถเข็นแน่นอน ซึ่งปกติแล้วไม่ว่าดิฉันจะนั่งหรือเดิน ก็ปวด จึงไม่อยากไปต่างประเทศเท่าไรนัก แต่ ดิฉัน ก็มาปฏิบัติธรรมในครั้งนี้ และตัดสินใจว่าถ้านั่งไม่ได้ ก็จะเดินเล่นเอา แล้วก็พกยาแก้ปวดกับกอเอี๊ยะ มาเพียบเลยค่ะ แต่พอมาถึงดิฉันก็นั่งสมาธิได้ไม่ว่าขาจะเจ็บหรือไม่ ดิฉันก็พยายามทำตามที่หลวงพี่สอน ตั้งแต่เริ่มต้น โดยปล่อยกายใจให้เบาสบาย จนกระทั่ง รู้สึกได้ว่ากายได้อยู่ในท่าที่สบายทั้งตัวแล้ว แล้วขณะนั้น ดิฉันก็รู้สึกเหมือนไม่มีร่างกายอยู่ เลยจับขาตัวเองว่ายังอยู่หรือเปล่า ปรากฏว่าเราก็ยังนั่งอยู่ วันต่อมา หลังจากรับประทานอาหาร ดิฉันก็นั่งสมาธิ ตามที่พระอาจารย์สอน ไม่นานก็มองเห็นดวงตะวัน ตะวันจะค่อยๆ เคลื่อนผ่านดิฉันไป แล้วก็กลายเป็น รุ้งงาม ในใจขณะนั้นรู้สึกสงบ สบายมาก ดิฉันตั้งใจว่ากลับไปไต้หวันคราวนี้จะนั่งสมาธิอย่างต่อเนื่อง แล้วจะบอกให้คนอื่นมานั่งสมาธิบ้าง เพราะดิฉันพบ แล้วว่า การนั่งสมาธิไม่เพียงแต่สามารถรักษาโรคทางกายได้เท่านั้น แต่ยังรักษาโรคทางใจของมนุษย์ ได้ด้วย กราบขอบพระคุณพระเดชพระคุณหลวงพ่อ เป็นอย่างสูงที่เมตตาสอนพวกเรานั่งสมาธิ และได้สร้างสถานที่ที่เหมาะสมแก่การนั่งสมาธิเฉกเช่น สุขสว่าง ซึ่งห้อมล้อมไปด้วยแมกไม้และธรรมชาติเช่นนี้           ชาวพุทธจากทั่วโลกต่างฝันถึงวันแห่งการรวมเป็นหนึ่งของพระพุทธศาสนามาเนิ่นนาน สิ่งที่เกิดขึ้นจากปรากฏการณ์การร่วมใจในการปฏิบัติธรรมของชาวพุทธต่างนิกายทั้งมหายานและเถรวาทในครั้งนี้ คือ สัญญาณบ่งบอกว่า วันแห่งการรอคอยจักสิ้นสุดลงแล้ว ดวงแก้วแห่งพระพุทธศาสนาจักโชติช่วงดุจดวงตะวัน และเราจะเห็นดวงแก้วดวงนั้น ณ จุดเดียวกันคือศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ แหล่งแห่งความรู้แจ้งและจุดแห่งการหลุดพ้นอันเป็นสากลที่ทุกคนเข้าถึงได้
 
บทความนี้ ถูกใจคุณหรือไม่ + -

สิ่งดีๆมีไว้แบ่งปัน อะไรดีๆมีอีกเยอะ กด Like facebook กัลยาณมิตร

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล