ฉบับที่ 71 กันยายน ปี 2551

อักษรมงคลบนแผ่นทอง

บทความบุญ
เรื่อง : พระมหาเสถียร สุวณฺณฐิโต ป.ธ. ๙  /  พระมหาวิริยะ  ธมฺมสารี  ป.ธ. ๙

 


 

 

 

       ในสมัยพุทธกาล พระเจ้าพิมพิสาร ผู้ครองแคว้นมคธ ทรงมีพระสหายอยู่ท่านหนึ่ง ซึ่งเป็นกษัตริย์เหมือนกัน ท่านมีชื่อว่า "พระเจ้าปุกกุสาติ" ราชาแห่งนครตักกสิลา ทั้งสองได้ติดต่อกันผ่าน พวกพ่อค้าที่นำสินค้าขายไปมาระหว่างเมือง ยิ่งนาน วันเข้ามิตรภาพของทั้งสองพระองค์ก็ยิ่งแน่นแฟ้น แม้ว่าจะไม่เคยเห็นหน้ากันเลยก็ตาม
          ต่อมาพระเจ้าปุกกุสาติได้สั่งให้อำมาตย์ นำผ้ากัมพลหาค่ามิได้ถึง ๘ ผืน ไปถวายแด่พระเจ้า พิมพิสาร พอพระองค์ทอดพระเนตรผ้ากัมพลเท่านั้น ถึงกับทรงทึ่งในความวิจิตรงดงาม เพราะผ้าแต่ละผืน นั้นหลากสีสันและมีสัมผัสนุ่มนวลน่าจับต้องเป็น ยิ่งนัก พระเจ้าพิมพิสารทรงนำไปถวายพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๔ ผืน ที่เหลืออีก ๔ ผืน ทรงเก็บไว้ใช้ส่วนพระองค์ แล้วทรงดำริว่า "สหายเราได้ส่งของหาค่ามิได้มาให้เรา เราก็ควรที่จะมอบสิ่งที่ดีเลิศที่สุดไปให้เช่นกัน ไม่มีสิ่งใดอื่นที่จะทำให้เกิดโสมนัส ปราโมทย์ได้เท่ากับพระรัตนตรัยอีกแล้ว" จากนั้นก็ทรงนำแผ่นทองคำ ซึ่งมีสีสุกปลั่งแวววาว ขนาดพอสมควรมา แล้วบรรจงลิขิตเขียนอักษรลงในแผ่นทองคำนั้น ด้วยการแต้มชาดสีแดงลงไป

ความประณีตในการบรรจุรักษาแผ่นทอง
ไว้ในส่วนแก่นกลาง

         เมื่อทรงเขียนอักษรเสร็จเรียบร้อยก็ทรงม้วนแผ่นทองคำ แล้วพันทับด้วยผ้ากัมพลเนื้อละเอียด ใส่ไว้ในหีบที่แข็งแรง ต่อจากนั้น ทรงเอาหีบไปใส่ใน หีบทองคำใบเล็กๆ แล้วทรงนำหีบทองคำใส่ไว้ใน หีบเงินต่ออีก ส่วนหีบเงินก็ใส่ไว้ในหีบแก้วมณีอีกชั้น ต่อจากนั้น ก็นำไปใส่หีบแก้วประพาฬ หีบแก้วทับทิมหีบแก้วมรกต หีบแก้วผลึก ทรงบรรจุเป็นชั้นตามลำดับอย่างนี้ ต่อจากนั้นก็นำไปใส่ลงในผอบทอง แล้วนำผอบทองไปใส่ในผอบแก่นจันทน์ สุดท้ายจึงเอาไปใส่ไว้ในหีบเสื่อสาน จากนั้นก็ทรงพันหีบด้วยผ้าขาว แล้วประทับตราพระราชลัญจกร ตรัสสั่งอำมาตย์ให้นำเครื่องบรรณาการส่งไปถวายพระเจ้าปุกกุสาติ การที่ทรงปฏิบัติเช่นนั้นก็เพื่อจะสื่อให้เห็น ซึ้งถึงความสำคัญของพระรัตนตรัยที่พระองค์ทรงเคารพบูชาเป็นที่สุด

พลังอักษรบนแผ่นทอง

         ฝ่ายพระเจ้าปุกกุสาติพอได้รับเครื่องบรรณาการ พระองค์ก็ทรงถือเครื่องบรรณาการเสด็จขึ้นปราสาท ไปแต่เพียงผู้เดียว ทรงค่อยๆ แกะออกมาทีละชั้นๆ เมื่อเจอผ้ากัมพลห่อหุ้มเป็นชั้นสุดท้าย ก็ทรงได้เห็น ม้วนแผ่นทองคำสุกปลั่งผิวมันวาว ทรงคลี่เปิดออกดู แสงของแผ่นทองก็ดึงดูดพระเนตรให้เพลิดเพลินอยู่สักครู่หนึ่ง แล้วจึงได้เพ่งพินิจไปยังตัวอักษรในแผ่นทองนั้นจนต้องอุทานว่า "อักษรลิขิตเหล่านี้มีระเบียบดียิ่งนัก ต้องตาต้องใจเราจริงๆ"   

         เมื่อทรงไล่อ่านไปเรื่อยๆ พออ่านถึงบทพุทธคุณ เท่านั้น ก็ทรงเกิดปีติแรงกล้าขนลุกชูชัน ทรงปลื้มมากจนไม่อาจจะทรงอ่านต่อไปได้อีก จึงประทับนั่งรอให้ความปลื้มสงบลงก่อน พออ่านไปถึงบทพระธรรมคุณ ก็ทรงปีติเช่นเดิมอีก จนอ่านถึงบทสังฆคุณแล้วก็เกิดปีติล้นพ้นสุดประมาณ ทรงอ่าน แล้วอ่านอีกไม่มีเบื่อเลย เพราะในข้อความเหล่านั้นมีการพรรณนาอานุภาพพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ และพระสังฆคุณ อีกทั้งยังได้พรรณนาถึงความเป็น อจินไตยแห่งพระพุทธเจ้า ตั้งแต่ประสูติจนถึงตรัสรู้ และพรรณนาอานิสงส์ในการบำเพ็ญสมณธรรม ตอนจบได้ตบท้ายว่า "ธรรมดาใครก็ตาม หากได้ ฟังธรรมของพระบรมศาสดาแล้ว บางคนถึงกับละทิ้งราชสมบัติออกบวชไปเลย บางคนก็ทิ้งตำแหน่งสูงๆ เช่นเสนาบดีแล้วออกบวช เพราะศาสนานี้เป็นศาสนาที่จะพาให้ออกจากทุกข์ได้ ดูก่อนปุกกุสาติ เมื่อท่านได้อ่านจบแล้ว หากต้องการ จะบวช ก็ควรที่จะเสด็จออกบวชเถิด อย่าได้รีรอเลย"

          เมื่อพระเจ้าปุกกุสาติทรงอ่านจบทุกบท ก็ ทรงวางแผ่นทองลง แล้วน้อมใจเข้าไปสู่ความสงบ สามารถทำใจหยุดใจนิ่ง จนบังเกิดฌานขึ้นมาได้

 

 

           บัดนี้ พระเจ้าปุกกุสาติทรงมีศรัทธาเปี่ยมล้น ในพระรัตนตรัยแล้ว จึงได้ถือโอกาสประกาศขอออก บวชตามพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่อำมาตย์พากันกราบทูลทัดทาน พระองค์จึงทรงขีดเส้นแบ่งเขตและตรัสสั่งห้ามไม่ให้ใครก้าวล้ำเส้นเพื่อติดตามพระองค์ แล้วออกจากวังไปตามลำพัง พระองค์ตั้งใจ จะไปพบพระสหายที่เมืองราชคฤห์ ทรงดำเนินด้วย พระบาทเปล่าด้วยดำริว่า "พระพุทธเจ้าเสด็จออกแสวงหาโมกขธรรมเพียงลำพัง และไม่เสด็จขึ้นรถหรือ วอ แม้แต่ร่มก็ไม่ทรงใช้เลย" เมื่อกษัตริย์ผู้สุขุมาลชาติอย่างพระเจ้าปุกกุสาติต้องย่างเหยียบไปบนพื้นดินที่ร้อนระอุ ทำให้พื้นพระบาทพุพองแตกเป็นแผล เกิดทุกขเวทนาปวดแสบอย่างจับใจ แต่ก็ข่มไว้ด้วยความสุขในฌาน แล้วเดินทางต่อไปให้ถึงกรุงราชคฤห์ ก่อนที่จะไปถึงตัวเมือง ก็ได้เข้าไปพักค้างแรมที่ โรงปั้นหม้อแห่งหนึ่ง ซึ่งอยู่ในเขตชานเมือง

      ฝ่ายพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเห็นท่านปุกกุสาติ เข้ามาในข่ายพระญาณ จึงเสด็จไปโปรดเพียงลำพัง โดยทรงปกปิดพระรัศมีเพื่อแสดงพระองค์เป็นเพียงภิกษุธรรมดารูปหนึ่ง เสด็จไปที่โรงปั้นหม้อที่ท่านปุกกุสาติพำนักอยู่ แล้วแสดงธรรมโปรดจนท่านได้บรรลุเป็นพระอนาคามี เมื่อทรงจบพระธรรมเทศนา ก็ทรงเปล่งพระฉัพพรรณรังสี ทำให้โรงปั้นหม้อ สว่างไสวเจิดจ้า ท่านปุกกุสาติจึงเกิดปีติไม่มีประมาณ ยิ่งขึ้นไปอีก

บูชาพระคุณด้วยวัตถุธาตุอันบริสุทธิ์

           บัณฑิตในกาลก่อนมิได้ดูเบาในมรดกธรรม คำสอนของพระพุทธศาสนา ซึ่งมีคุณจริง ดีจริง ช่วยให้พ้นทุกข์พบสุขได้แท้จริง และยังได้ทำกิจที่ควรทำ คือ ทำสิ่งสูงค่าให้มีคุณค่าและควรค่าแก่การบูชาของมนุษย์และเทวา เพราะท่านเหล่านั้นได้ เห็นคุณแล้วรู้คุณ จึงต้องประกาศคุณออกมา นับเป็น ต้นบุญต้นแบบแก่อนุชนคนรุ่นหลังให้ได้รับประโยชน์ จากคำสอน

ผู้ที่แสดงออกถึงความกตัญญูกตเวที ต่อครูผู้ค้นพบวิชชาธรรมกาย ก็สมควรจะได้รับการ "จารึกมงคลนาม" ไว้ในจุดที่ตั้งเสถียร คือ ณ บริเวณศูนย์กลางของ พระเดชพระคุณหลวงปู่ พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ผู้ค้นพบวิชชาธรรมกาย

              ในยุคปัจจุบันก็เช่นเดียวกัน พวกเราทั้งหลายได้รู้จักเรื่องราวความเป็นจริงของชีวิต ได้ตระหนักถึง บุญและชีวิตหลังความตาย เพราะการเอาชีวิตเป็นเดิมพันจนเข้าถึงพระธรรมกายของพระเดชพระคุณพระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) แล้วท่านก็ได้ถ่ายทอดความรู้เหล่านั้นมาถึงพวกเรา ทำให้ได้เข้าถึง พระธรรมกายกันมากมาย จึงนับว่าท่านเป็นบุคคล สำคัญของโลกและจักรวาลที่ควรค่าแก่การบูชาด้วย วัตถุธาตุอันบริสุทธิ์ ซึ่งเป็นสิ่งล้ำค่าและคงความ เป็นอมตะ คือการหล่อรูปเหมือนของท่านด้วยทองคำแท้

               ในทำนองเดียวกัน บุคคลผู้ที่แสดงออกถึงความกตัญญูกตเวทีต่อครูผู้ค้นพบวิชชาธรรมกาย ก็สมควรจะได้รับการ "จารึกมงคลนาม" ไว้ในจุด ที่ตั้งเสถียร คือ ณ บริเวณศูนย์กลางของพระเดชพระคุณหลวงปู่ ท่านจะกลั่นชื่อของเราให้ใสสว่าง ทำให้ชีวิตนับจากนี้ไปจะพบแต่ความสว่างไสว รุ่งโรจน์ ร่ำรวย รุ่งเรืองตลอดไป อีกทั้งชื่อที่ได้รับการจารึกนี้จะเป็นชื่อประวัติศาสตร์ที่ถูกจารึกไว้ยาวนานที่สุดในโลก ให้มนุษย์และเทวาได้ยกย่องชื่นชมและอนุโมทนาว่า "ท่านคือผู้ร่วมหล่อรูปเหมือน พระมงคลเทพมุนี ครูผู้ค้นพบวิชชาธรรมกาย" และ ตัวผู้หล่อเองก็จะได้เข้าถึงพระธรรมกาย ได้สร้างบารมีเพื่อปราบมารตามติดท่านไปทุกภพทุกชาติตราบวันถึงที่สุดแห่งธรรม

            อักษรมงคลนี้ ทุกท่านมีสิทธิ์ได้รับการจารึก ขอให้รีบใช้สิทธิ์ก่อนจะหมดสิทธิ์ในบุญศักดิ์สิทธิ์ ได้สร้างบารมีตามติดท่านไปทุกภพทุกชาติตราบวันถึงที่สุดแห่งธรรม.. หลวงปู่วัดปากน้ำเอาชีวิต เป็นเดิมพัน จึงได้เข้าถึงพระธรรมกาย เปิดเผยสิ่งที่ พญามารได้ปกปิดเอาไว้ แล้วถ้าลูกหลานหลวงปู่ ทุ่มเทเอาชีวิตเป็นเดิมพัน เพียงเพื่อให้ได้เป็นส่วนหนึ่ง ของการจารึกชื่อบนแผ่นทอง ณ จุดที่ตั้งเสถียร เชื่อมั่นว่าทุกท่านจะทำได้สำเร็จเป็นอัศจรรย์อย่างแน่นอน

 

บทความนี้ ถูกใจคุณหรือไม่ + -

* * อยู่ในบุญ แนะนำ/เกี่ยวข้อง * *

สิ่งดีๆมีไว้แบ่งปัน อะไรดีๆมีอีกเยอะ กด Like facebook กัลยาณมิตร

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล