เรื่องที่ ๘๓ เกือบจะสายเกินไป
คุณปรัธยาน์ภรณ์ สงค์รอด ประชาสัมพันธ์จังหวัดปทุมธานี เล่าว่าเธอเคยมาวัดพระธรรมกายตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๕๒๕ แล้วไม่ได้มาอีก เพราะเชื่อข้อมูลในทางลบ ซึ่งหนังสือพิมพ์ได้เคยเผยแพร่ผิดความจริงเอาไว้ว่า วัดไปไล่ที่ชาวนา
ครั้นเดือนมกราคม พ.ศ.๒๕๓๘ มาปฏิบัติราชการในหน้าที่ประชาสัมพันธ์จังหวัดปทุมธานี ได้มาวัดพระธรรมกายบ้างเป็นบางครั้ง เวลาทางวัดมีกิจกรรมที่ต้องทำข่าว ได้มีโอกาสประสานงานกับนักข่าวภายในพื้นที่ของจังหวัดเกือบ ๕๐ คน จึงพอได้ทราบความจริงของวัดในอดีต ทำให้แก้ความเข้าใจผิดเดิมลงได้
โดยเฉพาะคุณสามารถ จิตสว่าง นักข่าวหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ และคุณสมบัติ ศิริเสรีวรรณ นักข่าวจากหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ประจำจังหวัดปทุมธานี ให้ข้อมูลที่ถูกต้องว่า ความจริงเมื่อมีผู้บริจาคเงินซื้อที่ดินเพื่อขยายวัดในระยะแรกนั้น ทางวัดยังไม่ได้ใช้พื้นที่ จึงให้ผู้เช่านาซึ่งได้รับเงินค่าชดเชยแล้ว อยู่อาศัยไปก่อนชั่วคราว จนกว่าทางวัดจะต้องการใช้ที่ดินจึงให้โยกย้ายออก ครั้นเวลาทางวัดต้องการใช้พื้นที่ ผู้เช่านาบางส่วนได้รับการปลุกปั่นยุยงจากคนภายนอก ให้เรียกร้องค่ารื้อถอนและอื่นๆ เพิ่มเติมจากเงื่อนไขเดิมที่ทำไว้ เมื่อไม่ได้ตามที่คิด พวกยุยงที่ได้รับการจ้างวานมาให้ทำลายวัดเพื่อผลประโยชน์ของตน ก็ยุพวกอดีตผู้เช่านา ให้ทำเรื่องราวต่างๆ เพื่อให้ร้ายวัดขึ้นมา สื่อมวลชนในยุคนั้นไม่ได้สืบสวนให้รอบคอบเสียก่อน พากันประโคมข่าวซึ่งเป็นข้อเท็จทั้งหมด ทางวัดเป็นฝ่ายพระศาสนา ไม่มีโอกาสชี้แจง จึงถูกกล่าวหาอย่างผิดๆ อยู่เป็นเวลานาน แม้กระทั่งมีการฟ้องร้องเป็นคดีขึ้นศาล ซึ่งศาลได้ตัดสินให้ทางวัดชนะความ แต่คนส่วนใหญ่ก็ยังคงเชื่อข่าวเดิมๆ อยู่ไม่เปลี่ยนแปลง ทำให้หมดโอกาสทำบุญใหญ่ไปตามๆ กัน
นับว่าเป็นความโชคดีของคุณปรัธยาน์ภรณ์ ที่ได้ฟังคำชี้แจงที่ถูกต้อง จากนักหนังสือพิมพ์ทั้งสองท่าน ทำให้ได้กลับมาทำบุญต่อที่วัด และได้มีโอกาสสร้างองค์พระธรรมกายประจำตัวประดิษฐานที่แกนกลางมหาธรรมกายเจดีย์ทันก่อนหมดอย่างหวุดหวิด
เธอได้เล่าว่า วันนั้นเป็นวันสุดท้ายของการทำบุญสร้างองค์พระธรรมกายปิดแกนกลางมหาธรรมกายเจดีย์ นายแพทย์พรชัยได้แวะมาที่ฝ่ายประชาสัมพันธ์จังหวัดเพื่อติดต่อราชการ และถือโอกาสชักชวนคุณปรัธยาน์ภรณ์ให้ได้ทำบุญสร้างพระธรรมกายประจำตัว ประดิษฐานที่แกนกลางมหาธรรมกายเจดีย์ เพื่อบูชาธรรมพระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ พร้อมทั้งให้ชมพระของขวัญพระมหาสิริราชธาตุของคุณหมอเองด้วย
คุณปรัธยาน์ภรณ์เห็นพระของขวัญแล้ว อยากทำบุญทันที เวลานั้นเย็นมากแล้ว ตนเองก็มีเงินติดตัวอยู่เพียง ๖ พันบาท คุณหมอได้ให้ยืมเงินอีก ๘ พันบาท ลูกน้องให้ยืมอีกเกือบ ๕ พันบาท รวมแล้วก็ยังไม่ครบ ๓ หมื่น ต้องรีบไปกด เอ.ที.เอ็ม. ชนิดเบิกเงินล่วงหน้า เมื่อได้เงินครบ ๓ หมื่นบาท ก็รีบนำไปทำบุญ เรียกว่าเป็นนาทีสุดท้าย ทำให้รู้สึกดีใจมาก
ในวันรับพระของขวัญ คุณปรัธยาน์ภรณ์ติดงานราชการ ก็ขอให้คุณหมอพรชัยช่วยรับแทน ในใจคิดว่าพระมหาสิริราชธาตุของตนคงจะมีธาตุคำแก้วมณีน้อย เพราะอาชีพราชการไม่ร่ำรวยอะไร ก็เป็นจริงตามนั้น มีริ้วทองที่องค์พระด้านข้างและด้านหลัง ซึ่งเป็นเสมือนรัศมีออกมา ซึ่งลักษณะขององค์พระตรงกับอาชีพการงาน เพราะหน้าที่ประชาสัมพันธ์เสมือนกับการปิดทองหลังพระ สำหรับผู้มีอาชีพค้าขายมักจะได้องค์พระที่มีธาตุคำแก้วมณีสีทองเหลืองอร่ามอยู่ด้านหน้าจำนวนมาก
จากนั้นมา เธอได้ตั้งใจชักชวนผู้คนให้ทำบุญสร้างองค์พระภายนอกมหาธรรมกายเจดีย์ ได้แจกหนังสืออานุภาพพระมหาสิริราชธาตุและแผ่นภาพพระมหาสิริราชธาตุ ส่วนมากเป็นคนที่ทำงานบนศาลากลางจังหวัดปทุมธานี จนครั้งหนึ่ง เธอได้ให้ภาพพระมหาสิริราชธาตุแก่คุณบุญรอดไว้ภาพหนึ่ง เพื่อใช้อธิษฐานจิตเวลาพูดชวนคนทำบุญ
เมื่อวันที่ ๕ ตุลาคม ได้ไปพบคุณบุญรอดเพื่อนำหนังสืออานุภาพพระมหาสิริราชธาตุไปให้หนึ่งเล่ม คุณบุญรอดได้บอกว่า "ผมพาญาติไปทำบุญสร้างพระภายนอกได้ถึง ๗ คน แต่ไม่พบพี่ ผมจึงทำบุญกับหลวงพี่ ได้รับใบอนุโมทนาบัตรมาแล้ว แต่พระของขวัญคงจะได้รับราวเดือนมกราคม ๒๕๔๒"
คุณปรัธยาน์ภรณ์แนะนำเพิ่มเติมว่า ให้ชวนใครไปทำเพิ่มอีก ๓ องค์ ให้รวมได้เป็น ๑๐ องค์ คุณบุญรอดจะได้พระคะแนน สุด สุด เป็นพระของขวัญเพิ่มอีก ๑ องค์ คุณบุญรอดก็ไปทำตามจนสำเร็จครบ ๑๐ องค์ คุณบุญรอดปลาบปลื้มใจมาก จึงได้ไปชวนคุณแม่ของสามี รวมทั้งคนอื่นๆ อีกรวมเป็น ๔ ราย
ในด้านอานุภาพความศักดิ์สิทธิ์ของพระมหาสิริราชธาตุที่คุณปรัธยาน์ภรณ์พบมีดังนี้คือ คุณพ่อของเธออายุ ๘๐ ปี บ่นว่าหัวใจเต้นเร็วแรงจนรู้สึกอ่่อนเพลียมา ๒-๓ วันแล้ว คุณปรัธยาน์ภรณ์จึงใช้วิธีอาราธนาองค์พระมหาสิริราชธาตุแช่ไว้ในน้ำตลอดคืน อธิษฐานจิตให้น้ำนั้นเป็นน้ำมนต์ตามตัวอย่างที่มีคนเคยกระทำแล้วหายป่วย
เมื่อนำน้ำมนต์นั้นมาให้คุณพ่อดื่ม รุ่งขึ้นอาการหัวใจเต้นผิดปกติก็หายไป ส่วนคุณแม่ซึ่งป่วยกระเสาะกระแสะอยู่เสมอ ก็ได้ให้ดื่มน้ำมนต์ด้วย ก็หายป่วยอย่างน่าอัศจรรย์
สำหรับปรากฏการณ์อัศจรรย์ตะวันแก้วในวันที่ ๖ กันยายน พ.ศ.๒๕๔๑ คุณปรัธยาน์ภรณ์ไม่ได้ไปร่วมในเหตุการณ์ แต่เมื่อได้ทราบเรื่องจากผู้อื่นแล้ว ได้นำมาเล่าให้บิดาฟัง
ผู้เป็นบิดาได้ฟังแล้วจึงได้เล่าเรื่องในอดีตเมื่อราว ๕๐ ปีมาแล้วให้ฟังว่า "หลวงพ่อสดท่านเคยอาราธนาพระพุทธเจ้า (พระธรรมกายในอายตนนิพพาน) มาให้คนเห็นกันด้วยตาเนื้อจริงๆ ส่วนใหญ่แล้วเด็กจะเห็นกันมากที่สุด ผู้ใหญ่ที่เห็นมีเป็นจำนวนน้อย พระพุทธเจ้าที่เห็นมักเป็นปางสีหไสยาสน์ ลอยอยู่ในท้องฟ้า
สมัยนั้นผู้คนเล่าลือถึงเรื่องนี้กันมาก คนไทยทุกภาค ทุกจังหวัด หลั่งไหลมากราบขอบารมีหลวงพ่อสดไม่ขาดสาย พ่อเองอยู่บ้านนอก ห่างจากอำเภอบางคล้า จังหวัดฉะเชิงเทรา ถึง ๔๐ กิโลเมตร ต้องแจวเรือ เดินเท้ามาต่อรถประจำทาง ขึ้นรถไฟ และไปวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ ทางเรือจ้าง ก็ไม่ย่อท้อ ยังพากันไปกราบหลวงพ่อสด"
น่าเสียดายที่ปรากฏการณ์ปาฏิหาริย์สมัยหลวงพ่อวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ ไม่มีการบันทึกไว้เป็นหลักฐานให้แน่นอน จึงเป็นเพียงเรื่องเล่าขานต่อๆ กันมา จากคนที่เคยทราบเรื่อง
ต่อมาคุณปรัธยาน์ภรณ์ได้ไปเชิญชวนข้าราชการรุ่นพี่ที่กรมประชาสัมพันธ์ ซึ่งเป็นข้าราชการผู้ใหญ่ระดับ ๘-๙ ให้ทำบุญและได้พูดแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน คุณวิชัย จันทมฤต พูดว่า นอสตราดามุสทำนายไว้ว่า เมื่อโลกจะประสบพิบัติภัยรุนแรงกันทั้งโลก มองมาทางทิศตะวันออกคือทวีปเอเซีย จะเห็นแสงสีทองอร่ามของดวงอาทิตย์ปกคลุมอยู่ อันเป็นดินแดนสงบร่มเย็น เสมือนเป็นโลกใหม่ของมวลมนุษย์ แต่ไม่ได้บอกรายละเอียดอย่างอื่นไว้ จึงทำให้สันนิษฐานกันว่า น่าจะเป็นเรื่องการสร้างมหาธรรมกายเจดีย์ และการเผยแผ่วิชชาธรรมกายให้ผู้คนได้ศึกษาและปฏิบัติตาม นำความร่มเย็นมาสู่โลกมนุษย์อีกครั้งหนึ่ง