"ข้าแต่พระราชาผู้ประเสริฐ ขอเชิญเสด็จมาขึ้นราชรถคันนี้ เทพเจ้าชาวดาวดึงส์พร้อมด้วยพระอินทร์ ใคร่จะเห็นพระองค์ เทพเจ้าเหล่านั้นระลึกถึงพระองค์ ประชุมกันรออยู่ที่สุธรรมาเทวสภา"
ตามปกติแล้ว เหล่าเทวดาชั้นสูงๆ จะไม่ลงมาบนโลกมนุษย์ เพราะกลิ่นกายของมนุษย์มีความเหม็นเน่าสำหรับชาวสวรรค์ยิ่งนัก แต่นับเป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์ ที่ชาวสวรรค์อยากพบมนุษย์คนหนึ่งด้วยใจจดใจจ่อ มนุษย์คนนั้นมีคุณวิเศษอะไรหนอ ถึงมีกลิ่นหอมฟุ้งไปถึงสวรรค์ได้เพียงนั้น อีกทั้งเราจะดีใจสักเพียงไหน ถ้าหากมีเทวดานั่งเทวรถที่สว่างไสวมาเชื้อเชิญเราไปเที่ยวสวรรค์ทั้งๆ ที่เรายังมีชีวิตอยู่ จะมีมนุษย์สักกี่คนที่มีโอกาสไปชมสวรรค์ได้ด้วยกายเนื้อ เหมือนดังพระเจ้าเนมิราชบรมโพธิสัตว์ ดังที่ท่านทั้งหลายจะได้อ่านกันในครั้งนี้
จอมราชันย์ผู้ทรงพระยศยิ่งฟ้า
ในอดีตกาล พระเจ้าเนมิราชครองราชย์อยู่ที่กรุงมิถิลา ทรงยินดีในการให้ทาน ทรงบำเพ็ญเบญจศีล สมาทานอุโบสถทุกวันพระ มหาชนตั้งอยู่ในโอวาทของพระองค์ ทำให้ไปบังเกิดในเทวโลกมากมาย เทวโลกชั้นต่างๆ ล้วนเนืองแน่นไปด้วยเทพบุตร เทพธิดา ทำให้ชื่อเสียงเกียรติคุณของพระองค์แผ่ขจรขจายไปถึงสวรรค์ทุกชั้นฟ้า
เมื่อกล่าวถึงสวรรค์ สมัยนั้นเทวดาในสวรรค์ ชั้นดาวดึงส์มาประชุมกันที่ สุธรรมาเทวสภา เทพบุตรเทพธิดาที่เคยเกิดร่วมสมัยครั้งที่เป็นมนุษย์ ครั้นได้มาพบหน้ากัน ต่างทักทายกันว่า "ท่านมาแล้วหรือ วิมานของท่านสว่างไสวจริงหนอ พระเจ้าเนมิราชทรงสอนให้ท่านทำบุญอะไรไว้ จึงได้วิมานที่สวยงามถึงเพียงนี้" จากนั้นต่างพากันกล่าวสรรเสริญคุณ ของพระเจ้าเนมิราชผู้เคยเป็นเจ้าเหนือหัว
ในคืนอุโบสถ พระเจ้าเนมิราชทรงสมาทานอุโบสถศีล ทรงนั่งขัดสมาธิคู้บัลลังก์ ดำริว่า เราให้ ทานมากมายและรักษาศีลมาโดยตลอด ระหว่างผล แห่งการให้ทานกับการประพฤติพรหมจรรย์ อย่างไหน หนอจะมีอานิสงส์มากกว่ากัน ท้าวสักกเทวราชทรงทราบความดำริของพระราชาจึงเสด็จลงจากเทวโลก มาวิสัชนาให้ฟังว่า "การประพฤติพรหมจรรย์ เป็นคุณมีผลมากกว่าทานหลายเท่าสุดจะเปรียบได้ เพราะทำให้หลุดพ้นจากกิเลสได้" แต่ถึงกระนั้น ท้าวสักกะก็ได้ทรงประทานโอวาทต่อไปว่า "แม้ว่าการประพฤติพรหมจรรย์มีผลมากกว่าทาน แต่ก็เป็นสิ่งที่ต้องทำควบคู่ไปพร้อมกัน ขอพระองค์จงอย่าประมาทในธรรมทั้งสอง จงบริจาคทาน รักษาศีล ประพฤติธรรม" ตรัสเช่นนี้แล้ว ก็เสด็จกลับ ขึ้นไปสู่ทิพยสถานวิมาน ไปปรากฏในท่ามกลางมหาเทวสมาคม
ฝ่ายเหล่าทวยเทพที่มาประชุมกัน ครั้นทราบว่าจอมเทพได้เสด็จไปสนทนากับพระเจ้าเนมิราช ก็อยากพบเห็นพระองค์บ้าง ท้าวสักกะจึงมีเทวบัญชาให้ มาตลีเทพบุตรลงไปเชิญเสด็จพระเจ้าเนมิราชขึ้นมาบนสวรรค์ มาตลีเทพบุตรรับเทพโองการแล้ว ก็เทียมราชรถลงไปยังมนุษยโลกทันที เวชยันต์ราชรถ ได้มาปรากฏพร้อมกับมณฑลของพระจันทร์ แต่ทอแสงสว่างไสวอยู่คนละด้าน ซึ่งขณะนั้น พระเจ้า เนมิราชทรงรักษาอุโบสถศีลในวันเพ็ญ พระองค์ทรงเปิดสีหบัญชรด้านทิศตะวันออก ประทับอยู่ในพระตำหนัก ทรงพิจารณาศีลของพระองค์ที่ไม่มีด่างพร้อยแม้แต่น้อย ฝ่ายชาวเมืองต่างสนทนาปราศรัยกันอย่างมีความสุข เมื่อมองเห็นเทวรถเคลื่อนเข้ามาใกล้ก็ชี้ชวนกันดูด้วยความตื่นเต้น เมื่อมาตลีได้จอดราชรถที่พระสีหบัญชร กล่าวเชื้อเชิญว่า "ข้าแต่มหาราช ขอพระองค์เสด็จมาทรงราชรถคันนี้เถิด เทพเจ้าชาวดาวดึงส์ปรารถนาจะพบเห็นพระองค์ ซึ่งขณะนี้กำลังรอที่สุธรรมาเทวสภา"
เนมิราชทัวร์นรก
พระเจ้าเนมิราชทรงยินดีว่าจะได้เห็นเทวโลกด้วยตาเนื้อ จึงรับสั่งกับมหาชนว่า พระองค์จะไปเทวโลกไม่นาน ขอให้มหาชนทั้งหลายอย่าได้ประมาท ให้หมั่นทำความดีให้มาก ตรัสดังนี้แล้ว จึงเสด็จขึ้นสู่ยานทิพย์ ได้ตรัสบอกมาตลีว่า "เราจะไปเทวโลกอยู่แล้ว ก่อนไปเราถือโอกาสขอไปชมเมืองนรกก่อน อยากรู้คติของผู้ทุศีลว่าเป็นอย่างไร จะได้นำกลับมาเล่าให้พสกนิกรฟัง เพื่อจะได้ตั้งใจทำบุญล้วนๆ ไม่ทำบาปอกุศลกันต่อไป"
มาตลีก็ไม่ขัดข้อง เมื่อเวชยันต์ราชรถ เคลื่อนออกจากเมืองแล้ว ได้เนรมิตนรกขุมต่างๆ เช่นเนรมิตแม่น้ำชื่อเวตรณีให้ได้ทอดพระเนตร แม่น้ำสายนี้เดือดพล่านเปรียบเหมือนเปลวเพลิง นายนิรยบาลในนรกถือศัสตราวุธ หอก ดาบ ไม้ค้อน เป็นต้น ซึ่งลุกโพลงด้วยไฟ เที่ยวประหาร ทิ่มแทงโบยตีสัตว์นรก พวกสัตว์นรก ทนไม่ไหวต่างตกลงใน เวตรณีนรก พระเจ้าเนมิราช ทรงสะดุ้งตกพระทัย เพราะโลกมนุษย์ไม่มี การลงทัณฑ์ทรมานโหดเหี้ยมอย่างนี้ จึงตรัสถามบุพกรรมของสัตว์นรกว่า พวกเขาทำกรรมอะไรไว้
มาตลีทูลว่า "สัตว์เหล่านี้ สมัยที่ยังเป็นมนุษย์ ชอบเบียดเบียนผู้อื่น เที่ยวทรมานและรังแกสัตว์ ตายไปจึงต้องตกในเวตรณีนรกนี่แหละ" จากนั้นขับราชรถต่อไป พระราชาได้พบเห็นสัตว์นรกที่กำลังถูกสุนัขเคี้ยวกิน มีทั้งสุนัขแดง สุนัขด่าง ฝูงแร้ง ฝูงกาที่น่ากลัวมากๆ กำลังเคี้ยวกินสัตว์นรก ครั้นทอดพระเนตรเห็นแล้วถึงกับสะดุ้ง นึกไม่ถึงว่า สัตว์นรกเหล่านี้จะได้รับทุกข์ทรมานแสนสาหัสขนาดนี้
มาตลีทูลบอกบุพกรรมว่า "สัตว์เหล่านี้เคยเป็น คนใจบาป มักด่าบริภาษเบียดเบียนสมณพราหมณ์ ผู้ประพฤติดีปฏิบัติชอบ ใช้วาจาเหมือนหอกเหมือนดาบ คอยทิ่มแทงเชือดเฉือนคนอื่นบ้าง กล่าวกระทบกระเทียบให้เขาเจ็บใจบ้าง ครั้นละโลกแล้ว จึงมาเป็นสัตว์นรกถูกฝูงสุนัขฝูงกาเคี้ยวกิน" จากนั้นได้ขับราชรถเพื่อดูขุมอื่นๆ ต่อไป ซึ่งสร้างความตื่นเต้นระทึกให้กับพระเจ้าเนมิราชเป็นอย่างยิ่ง
เนมิราชทัวร์สวรรค์
ฝ่ายท้าวสักกเทวราชทรงตรวจดูว่า ทำไม มาตลีจึงมาช้ากว่าปกติ ก็รู้ว่ามาตลีมัวพาไปชมนรกขุมต่างๆ แต่การเที่ยวเมืองนรกนั้น แม้หมดอายุขัยของพระเจ้าเนมิราช ก็ยังไม่สามารถสำรวจได้หมด พระองค์จึงส่งเทพบุตรอีกองค์หนึ่งให้ไปตามมาตลีมาเข้าเฝ้าด่วน เทพบุตรองค์นั้นจึงรีบเหาะไปแจ้งให้มาตลีเทพบุตรทราบ ขณะที่ราชรถกำลังมุ่งหน้าสู่เทวโลกนั้น พระเจ้าเนมิราชทอดพระเนตรเห็นวิมานของเทพธิดาองค์หนึ่ง ปราสาท ทั้งหลังทำด้วยแก้วมณี กว้าง ๑๒ โยชน์ ประดับด้วย เครื่องอลังการ มีอุทยานและสระโบกขรณี แวดล้อม ด้วยหมู่นางอัปสร ๑,๐๐๐ นาง เปิดมณีสีหบัญชร แลดูภายนอกด้วยใบหน้าที่อิ่มเอิบเบิกบาน
มาตลีทูลบุพกรรมให้ฟังว่า "เทพธิดาชื่อ วรุณี เมื่อยังอยู่ในมนุษยโลก ได้เกิดเป็นลูกของนางทาสี นางมีจิตเลื่อมใส ต่อภิกษุสงฆ์ ได้ถวายภัตตาหารโดยเคารพ ด้วยอานิสงส์แห่งการบริจาคทาน ที่เปี่ยมล้นด้วยศรัทธา ในครั้งนั้น นางจึงได้มาบันเทิงอยู่ในวิมาน อันรุ่งเรืองสว่างไสวแห่งนี้"
มาตลีเทพสารถีได้ขับราชรถต่อไป พระเจ้าเนมิราชทอดพระเนตรเห็นวิมานทองทอแสงสว่างไสว จึงถามถึงบุพกรรมกับมาตลีว่า พวกเขาได้ทำบุญอะไรไว้ มาตลีก็ทูลตอบว่า "เทพบุตรเหล่านี้ เมื่อยังเป็นมนุษย์เป็นอุบาสกผู้มีศีล ได้สร้างวัดวาอาราม ขุดบ่อน้ำ สระน้ำและทำสะพาน ได้ปฏิบัติตนต่อพระสงฆ์โดยเคารพ ถวายจีวร บิณฑบาต คิลานปัจจัยและเสนาสนะ ด้วยใจที่เลื่อมใส ได้รักษาอุโบสถศีลทุกวันโกนวันพระ เป็นผู้สำรวมในศีล จึงมาบันเทิงอยู่ในวิมานแห่งนี้"
เมื่อเทวรถนำเข้ามาในเขตดาวดึงส์พิภพแล้ว เหล่าทวยเทพก็ออกมาต้อนรับด้วยความยินดี ท้าวสักกะทรงเชิญให้เสวยทิพยสมบัติร่วมกัน แต่พระเจ้าเนมิราชทรงปฏิเสธว่า "สิ่งใดที่ได้มาเพราะผู้อื่นมอบให้ สิ่งนั้นเปรียบเหมือนยวดยานที่ยืม เขามา หม่อมฉันไม่ปรารถนาสิ่งซึ่งผู้อื่นให้ บุญที่หม่อมฉันทำเองย่อมเป็นทรัพย์ที่จะติดตาม หม่อมฉันไป หม่อมฉันจะกลับลงไปในโลกมนุษย์เพื่อทำกุศลให้มาก" จากนั้น ทรงแสดงธรรมแก่เหล่าเทวดาที่มาประชุมกัน ทรงประทับอยู่บนสวรรค์ ๗ วัน ตามเวลาในโลกมนุษย์ ซึ่งเท่ากับเวลาเพียงไม่กี่นาทีบนสวรรค์ จากนั้นทรงอำลากลับสู่มนุษยโลก ตามเดิม
พระเจ้าเนมิราชทรงเล่าถึงสมบัติของ ทวยเทพและนรกขุมต่างๆ ที่ไปเห็นมา ตรัสสอนเหล่าพสกนิกรให้ตั้งใจทำทาน รักษาศีลกันเป็นประจำ ทำให้มหาชนไปบังเกิดในเทวโลกมากมาย หลังจากที่ทรงปกครองแผ่นดินด้วยทศพิธราชธรรม แล้ว ทันทีที่ทรงพบพระเกศาหงอก พระองค์จึงเสด็จออกผนวช ทรงเจริญเมตตาพรหมวิหาร จนตลอดอายุขัยและได้ไปบังเกิดในพรหมโลก
ทัวร์นรก-สวรรค์ด้วยธรรมกาย
จากเรื่องนี้ เราจะเห็นว่า เรื่องนรกสวรรค์ไม่ใช่เป็นเพียงแค่เรื่องที่แต่งขึ้นมาให้อ่านสนุกๆ เท่านั้น แต่เป็นเรื่องจริงที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงไปรู้เห็น แล้วนำมาบอกเล่าให้ฟัง พบเห็นอย่างไรก็นำมา บอกเล่าให้เราได้ฟังกัน ถ้าอยากรู้อยากเห็นกันจริงๆ ให้หมั่นฝึกฝนใจให้หยุดนิ่งจนเข้าถึงพระธรรมกาย ย่อมไปรู้ไปเห็นได้เช่นกัน หลวงปู่วัดปากน้ำของเราท่านพูดไว้ชัดเจนว่า "เข้าถึงธรรมกายเมื่อไร ไปนรกก็ได้ ไปสวรรค์ก็ได้ ไปสำรวจดู จับมือถือแขนกันได้ ไต่ถามชื่อและบุพกรรมกันได้ "แม้ คุณยายอาจารย์ฯ ก็เคยบอกเอาไว้ว่า "ยายอาศัยธรรมกายไปช่วยพ่อขึ้นจากนรก" ครูของเราท่านยืนยันไว้ชัดเจนเช่นนี้แล้ว ขอให้พวกเราหมั่นปฏิบัติธรรมเพื่อให้เข้าถึงพระธรรมกายให้ได้ทุกคน จะได้หายสงสัยในนรกสวรรค์กันเสียที
อีกประการหนึ่ง โลกสวรรค์เป็นที่พักระหว่างทางในสังสารวัฏ หากใครตั้งใจสั่งสมบุญเป็นนิตย์ ย่อมสามารถได้ทิพยสมบัติมาครอบครอง ทั้งนั้น โดยอาศัยโลกมนุษย์เป็นที่ประกอบเหตุทำความดี ดังนั้น นักสร้างบารมีทุกท่านควรสั่งสมบุญไว้มากๆ บุญอันใดที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อ คุณครูไม่ใหญ่ได้ชักชวนให้พวกเราทำ ก็ให้ทุ่มเทแรงกายแรงใจทำกันไปเถิด ชีวิตหลังความตายของเรานอกจากจะได้ไปสวรรค์ชั้นดาวดึงส์แล้ว ยังจะได้เลื่อนชั้นไปสู่ดุสิตบุรี วงบุญพิเศษเขต บรมโพธิสัตว์ ซึ่งเป็นที่พักระหว่างทางของการสร้างบารมีอีกด้วย เราจะเวียนวนอยู่ใน ๒ ภพภูมิเท่านั้น จนกว่าบารมีเต็มเปี่ยม สามารถปราบมารประหารกิเลสให้สิ้นเชื้อไม่เหลือเศษ รื้อสัตว์ขนสัตว์ ไปสู่ที่สุดแห่งธรรมกันทุกคน
"สวรรค์ไม่ได้เป็นเพียงอยู่ในอกนรกไม่ได้เป็นเพียงอยู่ในใจ แต่เป็นภพภูมิที่สามารถพิสูจน์ได้ด้วยการทำใจหยุดนิ่ง"
|