หลวงพ่อเจ้าคะ ทำไมปัจจุบันนี้ นักธุรกิจทั่วไป มักจะนิยมอ่านตำราบริหารงาน ของฝรั่งในศาสนาพุทธ ของเรามีหลักคำสอน ซึ่งเกี่ยวกับการบริหารงานบ้างหรือไม่ ?
ความจริงในเรื่องของการบริหารงานนั้น ตำรับตำราทางโลกที่จริงก็ไม่เลวหรอก เพียงแต่ว่ายังไม่สมบูรณ์เท่านั้น
ที่ว่าไม่สมบูรณ์เป็นอย่างไร คือการบริหารทางโลก เขามักมุ่งเน้นที่ความสำเร็จ หรือมุ่งประโยชน์ของตนเองเป็นหลัก พอมุ่งประโยชน์ของตนเองเป็นหลักก็เข้าทำนองที่เรียกว่า มุ่งวัตถุเป็นหลักจนกระทั่งลืมทางด้านจิตใจกันไป
มุ่งที่ความสำเร็จเป็นหลัก คือ มนุษย์ส่วนมากมักจะมุ่งที่ความร่ำรวย มุ่งที่ความเด่นความดัง ของตนเป็นหลัก ส่วนจะไปกระทบใครอย่างไรก็ช่าง เพียงแต่ขอให้เราได้รวย ได้เด่น ได้ดังเท่านั้นก็พอ นี่เป็นแนวทางการบริหารของทางโลก ที่มีสอนอยู่ในตำรับตำราในยุคปัจจุบันนี้
ส่วนพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราทรงทราบดีว่า จริงๆ แล้วมนุษย์เกิดมาเพื่อสร้างบุญสร้างบารมี เกิดมาเพื่อแก้ไขตัวเอง เพราะฉะนั้น พระองค์จึงทรงสอนว่า ถ้าใครมีข้อผิดพลาดติดตัวข้ามภพข้ามชาติมาอย่างไร ก็รีบแก้ไขเสียให้หมดในชาตินี้
แล้วในระหว่างที่ทำมาหากินอยู่ก็ถือโอกาสปรับปรุงตัวเอง ด้วยการสร้างความดี เพื่อเป็นการสร้างภูมิคุ้มกันให้กับตัวเองยิ่งๆ ขึ้นไป
พูดง่ายๆ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงมองว่า มนุษย์ทั้งหลายเกิดมาเพื่อสร้างบารมี เพื่อสร้างความดี เพื่อแก้ไขตัวเองเป็นหลัก ส่วนเรื่องความรวย เรื่องความสำเร็จทางโลกเป็นเพียงแค่ของแถมเท่านั้น
เพราะฉะนั้น ขณะที่บริหารงานก็อย่าไปมุ่งแค่ประโยชน์ตน หรือประโยชน์ทางวัตถุเท่านั้น แต่ให้คำนึงถึงทั้งประโยชน์ตนและประโยชน์ท่าน ทั้งทางด้านวัตถุและทางด้านจิตใจ ไปพร้อมๆ กัน
ที่เรียกว่าประโยชน์ทางด้านจิตใจ หมายถึง นิสัยใจคอที่ไม่ดีก็แก้ไข แล้วเพิ่มพูนบุญกุศลให้ยิ่งๆ ขึ้นไป
นอกจากนั้นยังทรงแนะนำต่ออีกว่า ไม่ว่าจะทำมาหากินอะไร จะบริหารงานอย่างไร ถ้าเห็นช่องทางที่จะทำให้รวยในทางที่ไม่ผิดศีล ไม่ผิดธรรมก็ทำไปเถอะ พระองค์ไม่ตำหนิ
เพียงแต่ให้คำนึงว่างานนั้นๆ จะต้องเพิ่มพูนศีลธรรมให้กับตัวเอง เพิ่มพูนศีลธรรมให้กับเพื่อนร่วมงาน เพิ่มพูนศีลธรรมให้กับสังคม ประเทศชาติ และไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม
นี่คือเป้าหมายหลักของการบริหารงานในพระพุทธศาสนา ซึ่งพวกเราชาวพุทธได้ถูกอบรมบ่มนิสัยกันมาตั้งแต่อ้อนแต่ออกทีเดียว
เมื่อถูกอบรมกันมาอย่างนี้ จึงทำให้บางครั้ง พวกเรามักละเลยที่จะไปปรับปรุงแก้ไขในเรื่องของเทคโนโลยี ละเลยที่จะผลิตเทคโนโลยีใหม่ๆ มาใช้ในการบริหารงาน ทำให้การบริหารงานในส่วนที่เป็นวัตถุของเราล้าหลังเขาไป
แต่กลับมีความก้าวหน้าทางด้านจิตใจมากกว่า คือในระหว่างทำงานไปก็มีน้ำจิตน้ำใจ มีความเมตตากรุณาให้กับเพื่อนร่วมงานไปด้วย
ใครตกทุกข์ได้ยากก็มีจิตกรุณาช่วยเหลือหอบหิ้วลากจูงกันไป เรื่องที่จะปลดออกกันง่ายๆ ลอยแพกันง่ายๆ ไม่มี มีแต่ประคับประคองกันไปจนถึงที่สุดทีเดียว
ยิ่งกว่านั้น ยังพยายามสร้างสามัคคีธรรมให้เกิดขึ้นในบ้านในเมือง ในหมู่คณะ โดยทำงานไปก็ชวนกันทำบุญไป เช่น เดี๋ยวก็ทอดผ้าป่า เดี๋ยวก็ทอดกฐิน เดี๋ยวก็สร้างสาธารณประโยชน์ เป็นต้น
เราเอาความรวยความสำเร็จที่ได้นั้น มาเป็นฐานในการสร้างคุณงามความดี รวยมาเท่าไรก็แบ่งเอาไปใช้ในการทำบุญทำทาน
ทำงานหนักมาเท่าไรก็กลายเป็นการเพิ่มความหนักแน่นให้กับจิตใจ กลายเป็นการเพิ่ม ความเมตตากรุณาแก่กันไปด้วย ซึ่งถือว่าสิ่งเหล่านี้ เมื่อได้มาแล้วมันคุ้มค่ายิ่งกว่าได้สมบัติพันล้าน หมื่นล้าน หรือมหาสมบัติท่วมฟ้าท่วมโลกเสียอีก
เพราะฉะนั้น ขอฝากไว้กับทุกท่านนะ จะทำงานอะไรก็ทำไป จะบริหารงานอย่างไรก็บริหารไป จะใช้วิธีไหนไม่ว่ากัน แต่จำไว้ว่าเมื่อบริหารงานไปแล้ว ศีลธรรมประจำใจมีแต่เพิ่มพูน ที่จะตกหล่นจนทำให้มีโอกาสตกนรกอย่าไปทำ
ส่วนในกรณีที่ว่า เมื่อศีลธรรมเพิ่มพูนขึ้น ในระหว่างนั้ั้นอาจจะต้องใช้จ่ายมากขึ้นไปบ้างก็ช่างประไร ในเมื่อไม่ถึงกับขาดทุนขาดรอน เพียงแค่กำไรหย่อนไปสักหน่อย แต่ว่าภูมิศีลและ ภูมิธรรมเกิดเพิ่มขึ้นมาตั้งเยอะ ยอมเถอะลูก เพราะว่าถ้าทำกันอย่างนี้แล้วจะทำให้ประสบความสำเร็จข้ามภพข้ามชาติกันทีเดียว