บทความบุญ
เรื่อง : พระมหาเสถียร สุวณฺณฐิโต ป.ธ.๙ / พระมหาวิริยะ ธมฺมสารี ป.ธ.๙
ศรัทธา คือ การเชื่อกฎแห่งกรรมที่ว่าทำดีต้อง ได้ดี ทำชั่วต้องได้ชั่วจริง เชื่อผลของกรรมว่า สิ่งที่ทำไปแล้วมีผลจริง เชื่อว่าสัตว์มีกรรมเป็นของตัว ใคร จะดีหรือชั่วก็เพราะการกระทำของตนเอง และเชื่อใน ตถาคตโพธิสัทธา คือพระปัญญาตรัสรู้ของพระตถาคตเจ้า
ศรัทธา... คือ ทรัพย์เครื่องปลื้มใจ เป็นจุด เริ่มต้นของความร่ำรวย รุ่งเรืองไปทุกภพทุกชาติ
ศรัทธา... คือ ต้นหนของการนำตนข้ามพ้นห้วง โอฆสงสาร
ศรัทธา... คือ ทางมาแห่งการได้ฟังธรรมจากพระอรหันต์
ผู้มีศรัทธาในพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ละโลกแล้ว... ย่อมไปสู่สุคติสวรรค์
พระเจ้าอโศกมหาราชผู้อยู่ในความทรงจำของ ชาวพุทธทุกยุคทุกสมัย แต่เดิมทรงมีความเลื่อมใสใน นักบวชนอกพุทธศาสนามาก่อน ทรงเชื้อเชิญนักบวช และปริพาชกมาบริโภคอาหารในพระราชวังเป็นประจำทุกวัน วันหนึ่ง ขณะประทับยืนทอดพระเนตร เห็นพวกนักบวชชีเปลือยซึ่งกำลังบริโภคอาหารอย่าง เมามัน ปราศจากความสำรวม ทรงเกิดความสังเวช แล้วทรงรับสั่งกับพวกอำมาตย์ว่า "นักบวชคนไหนที่พวกท่านคิดว่าดีเลิศ จงไปตามมาให้เราทีเถิด"
สมัยนั้น พวกอำมาตย์ส่วนใหญ่เป็นสาวกของ ศาสนาอื่น ไม่มีใครนับถือพระพุทธศาสนา ต่างก็ไป นำนักบวชของตน เข้ามาในพระราชวัง เช่น พวกอาชีวกและนิครนถ์เป็นต้น แล้วเพ็ดทูลว่า "ขอเดชะ ท่านเหล่านี้เป็นพระอรหันต์ของข้าพระองค์" ส่วนภิกษุสงฆ์นั้นถูกทางการกีดกันให้ไปบำเพ็ญสมณธรรม อยู่นอกเมือง หรือไม่ก็อยู่ประพฤติธรรมตามป่าตาม เขา เพราะเกรงว่า พระเจ้าอโศกทอดพระเนตรเห็นแล้ว จะเกิดศรัทธาต่อพระสงฆ์ ดังนั้น พระเจ้าอโศก จึงไม่ทรงรู้จักนักบวชในพระพุทธศาสนา ถึงกระนั้น เพียงแค่สังเกตอากัปกิริยาก็รู้ว่า นักบวชเหล่านี้ไม่ใช่พระอรหันต์
วันหนึ่ง เหตุแห่ง "ศรัทธาใหม่" ก็ได้บังเกิดขึ้นกับพระเจ้าอโศก ขณะประทับยืนอยู่ที่หน้าต่าง ทรง ทอดพระเนตรเห็น นิโครธสามเณร มีอายุเพียง ๗ ขวบ กำลังเดินผ่านไปทางพระลานหลวงอย่างสงบเสงี่ยม สง่างาม ครั้นทอดพระเนตรเห็นแล้ว ทรงรำพึงว่า "คนทั่วไปมีจิตฟุ้งซ่าน มีส่วนเปรียบเหมือนมฤคที่วิ่งพล่านไป ส่วนทารกนี้ ไม่มีจิตฟุ้งซ่าน การมองดู การเหลียวดู การคู้แขน และการเหยียดแขนของเขา งามยิ่งนัก ภายในของทารกคนนี้ น่าจักมีโลกุตรธรรม แน่นอน" พร้อมกับการทอดพระเนตรเห็นของ พระราชานั่นเอง พระหฤทัยก็เลื่อมใสในสามเณร
จากนั้น จึงทรงสั่งพวกอำมาตย์ไปนิมนต์สามเณร สามเณรได้เดินอย่างสำรวมไปตามปกติ เมื่อได้รับคำเชิญแล้ว ก็เดินเข้าไปนั่งใกล้ราชบัลลังก์ พระเจ้าอโศกทอดพระเนตรดูลีลาทุกท่วงท่าที่ น่าเลื่อมใสของสามเณรแล้ว ถึงกับน้อมถวายอาหาร ของพระองค์เองที่ข้าราชบริพารเตรียมไว้สำหรับให้เสวยแด่สามเณรนิโครธด้วยความนอบน้อม
เมื่อสามเณรฉันเสร็จ พระเจ้าอโศกตรัสถามว่า "พ่อเณร ท่านรู้พระโอวาทที่พระศาสดาทรงประทาน แก่พวกพ่อเณรหรือไม่" สามเณรถวายพระพรว่า "มหาบพิตร อาตมภาพรู้แต่เพียงโดยย่อ" จากนั้นก็ กล่าวธรรมเพียงบทสั้นๆ ว่า "อปฺปมาโท อมตํ ปทํ, ปมาโท มจฺจุโน ปทํ ความไม่ประมาทเป็นทางไม่ตาย ความประมาทเป็นทางแห่งความตาย" จากนั้น ก็เทศน์ด้วยสำเนียงที่ไพเราะเพราะพริ้ง นี่ขนาด ถ่อมตนว่ารู้น้อยแล้ว แต่เทศน์ได้ยอดเยี่ยมมาก ไพเราะทั้งเบื้องต้น ท่ามกลาง และเบื้องปลาย พระราชาพอได้สดับแล้ว ก็ปลื้มปีติในธรรมที่สามเณรน้อยได้แสดง ทรงรับสั่งว่า "พ่อเณร ขอให้หยุดพระธรรมเทศนาแต่เพียงเท่านี้ก่อน โยมจะขอถวายภัตตาหารแก่พ่อเณร ๘ ที่" สามเณรถวายพระพรว่า "อาตมภาพจะนำภัตตาหารเหล่านั้นไปถวายพระอุปัชฌาย์"
"พ่อเณร อุปัชฌาย์นี้คือคนเช่นไร" "มหาบพิตร ผู้ที่เห็นโทษน้อยใหญ่แล้วตักเตือนให้ระลึกชื่อว่า อุปัชฌายะ" "พ่อเณร โยมจะถวายภัตตาหารอีก ๘ ที่ให้นะ" "อาตมภาพจะถวายภัตตาหารเหล่านั้นแก่ พระอาจารย์" "พ่อเณร พระอาจารย์ คือคนเช่นไรล่ะ" "มหาบพิตร ผู้ที่ให้ศิษย์ตั้งอยู่ในธรรมที่ควรศึกษาในพระศาสนาชื่อว่าพระอาจารย์" "ดีละ พ่อเณร โยมจะถวายภัตตาหารอีก ๘ ที่" "อาตมภาพจะถวายภัตตาหารเหล่านั้นแด่ภิกษุสงฆ์"
เมื่อสามเณรได้กล่าวสรรเสริญคุณของพระสงฆ์ ทำให้พระเจ้าอโศกเกิดพระราชศรัทธาเป็นอย่างยิ่ง แล้วทรงนิมนต์ สามเณรมาฉันอีกในวันรุ่งขึ้น สามเณร ก็ได้พาพระภิกษุ ๓๒ รูปเข้ามาในพระราชวังเพื่อฉันภัตตาหาร ต่อมาพระองค์ทรงรับสั่งให้ เพิ่มภิกษุมากขึ้นทุกวันๆ แล้วสามเณรได้แนะนำให้พระราชา พร้อมทั้งข้าราชบริพารดำรงอยู่ในไตรสรณคมน์และ ให้สมาทานศีลห้า ท่านได้เข้าไปเทศน์สอนธรรมะ แนะนำการทำสมาธิภาวนาในพระราชวังเป็นประจำ ทำให้พระเจ้าอโศก พร้อมทั้งข้าราชบริพารต่างก็เกิด "ศรัทธาใหม่" หันมานับถือพระรัตนตรัยอย่างไม่คลอนแคลน ทั้งนี้เพราะพลังศรัทธา ที่เกิดมาจาก สามเณรน้อยนิโครธนั่นเอง
ต่อมา พระราชาทรงรับสั่งให้สร้างวัดอโศการาม และทรงรับสั่งให้สร้างเจดีย์ ๘๔,๐๐๐ องค์ทั่วอินเดีย การเป็นยอดพุทธอุปัฏฐากนั้น สามารถกล่าวได้ว่า "บรรดาผู้บริจาคมหาทานให้แก่พระศาสนานั้น ไม่มีใครที่จะมีการบริจาคที่ยิ่งใหญ่เสมอกับพระองค์เลย" ด้วยเหตุนี้ พระองค์จึงนับเป็นองค์ศาสนูปถัมภกที่สร้าง ความเกรียงไกรให้พระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองจนถึงขีดสุด
ในอดีตชีวิตของมหาราชที่ทรงมีฝ่ามือเปื้อนเลือดและมีศรัทธาในนักบวชนอกพุทธศาสนามาก่อน ต่อมาเมื่อทรง "เกิดศรัทธาใหม่" เข้าใจความเป็นจริงของชีวิตแล้ว จึงทรงเปลี่ยนพระองค์เองให้ทรงธรรม และเปลี่ยนแว่นแคว้นให้ เป็นอาณาจักรแห่งธรรม ผลงานที่เด่นชัดที่สุด คือ ทรงบุกเบิกขยายธรรมะกว้างไกลด้วยการส่งสมณทูตเผยแผ่พระพุทธศาสนา ไปยังดินแดนต่างๆ จรดเอเชียกลาง ทำให้เกิดแนวทางแก่อนุชนรุ่นหลังในการปักหลัก พระพุทธศาสนาที่เป็น ปึกแผ่นมาจนถึงปัจจุบัน
จะเห็นได้ว่า ภาพแห่งความน่าเลื่อมใสของบุคคลเพียงคนเดียว ได้กลายเป็นพลังศรัทธาที่นำ พาชีวิตไปสู่แสงสว่างให้กับ ผู้คนมากมายได้อย่างน่าอัศจรรย์ เรื่องของศรัทธานั้น มีความสำคัญต่อชีวิต ทุกคน ถ้าคนเรามีศรัทธาต่อบุคคลใดหรือสิ่งใดแล้ว จะทุ่มเททำสิ่งต่างๆ เพื่อบุคคลนั้นหรือสิ่งนั้นๆ โดย เอาชีวิตเป็นเดิมพัน...
...ยอดเขาแม้สูงเสียดฟ้า ก็ไม่อาจต้านทานพลังศรัทธาของมนุษย์ที่จะปีนป่ายไปถึง...
...อุปสรรคจะหนักหนาสาหัสเพียงใด ขอเพียง มีใจศรัทธาก็สามารถพิชิตอุปสรรคนั้นได้...
ขณะเดียวกัน กิเลสร้ายที่ฝังแน่นอยู่ในใจเราจะมากน้อยปานใด ขอเพียงมี "ตถาคตโพธิสัทธา" ก็สามารถที่จะมุ่งมั่น ฝึกหัดขัดเกลาและทำอาสวกิเลส ให้หลุดร่อนออกไปจากใจได้
โดยเฉพาะ... ถ้าหากยอดนักสร้างบารมีทุกท่านมี "พลังศรัทธาในปณิธานของมหาปูชนียาจารย์ ผู้มุ่งสร้างบารมี เพื่อปราบมารรื้อสัตว์ขนสัตว์ไปสู่ที่สุด แห่งธรรม" จะต้องฝึกฝนตนเองในทุกรูปแบบสร้างบารมีอย่างเอาชีวิตเป็นเดิมพัน ในภพชาติปัจจุบันก็ต้องร่วมด้วยช่วยกันในการจะเป็นส่วนหนึ่งของการ สร้าง "ศรัทธาใหม่ในโลกใบเก่า" ให้กับมนุษยโลก ซึ่งมีมากกว่า ๖ พันล้านคน
ในโลกการสื่อสารไร้พรมแดนนี้ นับจากนี้เป็นต้นไป ทุกๆ ภาพแห่งการสร้างบารมีสุดหัวใจของ พวกเรา ไม่ว่าจะเป็นภาพของเด็กดี V-Star มาทำความดีกันร่วมล้าน หรือภาพของมหาสังฆสมาคม ที่มาประพฤติธรรมร่วมกัน จะเป็นภาพเด่นที่สุดกว่า ภาพใดๆ ที่ตราตรึงอยู่ในจิตใจของชาวโลกให้เขาอยากมาแสวงหา ซึ่งจะส่งผลให้ได้รู้จักศรัทธาใหม่ เมื่อใดที่ชาวโลกเริ่มทำใจหยุดนิ่ง เข้าถึงสันติสุข ภายใน และได้เข้าถึงพระรัตนตรัย "ศรัทธาที่แท้จริง" ได้บังเกิดขึ้นในใจของมนุษยชาติแล้ว...