นิสัยเห็นแก่ตัว เกิดจากสาเหตุอะไร และถ้าเจอเพื่อนร่วมงานประเภทนี้ ควรจะวางตัวอย่างไร
นิสัยเห็นแก่ตัวมี ๒ สาเหตุใหญ่ ๆ ด้วยกัน
สาเหตุแรก เป็นสันดาน คือ นิสัยที่ติดตัวข้ามภพข้ามชาติมา ถ้าเจอประเภทนี้หนักหน่อย
สาเหตุที่ ๒ เป็นสาเหตุที่เกิดขึ้นในชาตินี้ คือ เกิดจากสิ่งแวดล้อมไม่ดี ตั้งแต่การเลี้ยงดูสมัยเด็ก ๆ พ่อแม่ดูแลไม่ดี ก็เลยทำให้ลูก ๆ อาจจะต้องแย่งชิง ต้องทุบตีกัน สิ่งเหล่านี้ในที่สุดก็ค่อย ๆ สั่งสมขึ้นมา
แล้วกลายเป็นนิสัยเห็นแก่ตัว นอกจากการเลี้ยงดูหรือสิ่งแวดล้อมและ คนรอบข้างไม่ดีแล้ว ยังมีอีกสาเหตุหนึ่ง คือ ตัวเขาเองก็ไม่ดีด้วย เช่น บริหารงาน บริหารเงิน ไม่เป็น ผลสุดท้ายเศรษฐกิจฝืดเคือง เลยกลายเป็นคนเห็นแก่ได้ เห็นแก่ตัวเข้ามาอีก
ตรงนี้ต้องมองภาพกันชัด ๆ ว่า คนเห็นแก่ตัวที่ไปเจอนั้น เขาเป็นคนเห็นแก่ตัวประเภทไหน ไม่อย่างนั้นแก้ไม่ถูก บางคนเป็นลูกเศรษฐี รวยแสนรวย แต่เข้า supermarket ไปขโมย อย่างนี้ไม่ใช่นิสัยแต่เป็นสันดานข้ามชาติ ความเห็นแก่ตัวที่เกิดจากสันดานข้ามชาตินี้แทบจะหมดทางแก้ ส่วนพวกที่การเลี้ยงดูไม่ดี สิ่งแวดล้อมตั้งแต่เล็กไม่ดี พวกนี้พอมีทางแก้ ส่วนพวกที่บริหารงาน บริหารเงินไม่เป็น นิสัยเห็นแก่ตัวประเภทนี้เพิ่งมาเกิดทีหลัง ตรงนี้มีทางแก้มากกว่า
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสเอาไว้ว่าความเห็นแก่ตัวเป็นกิเลสในตระกูลโลภะ แต่ว่าโลภ หนักไปหน่อย ก็เลยเป็นสิ่งเหล่านี้ขึ้นมา
ถ้าต้องเจอคนเห็นแก่ตัวในที่ทำงาน จะจับเขาย้ายไปก็ไม่ได้ เราจะย้ายตัวเองออกไปก็ไม่แน่ ว่าจะมีตำแหน่งให้ เราก็ย้ายไม่ได้ ยังต้องอยู่ด้วยกัน เมื่อต้องอยู่กับคนพาล ปู่ ย่า ตา ทวด ให้ข้อคิดไว้อย่างนี้
ข้อแรก ให้อดทน
ข้อที่ ๒ ให้ทำตัวเหมือนคนผิงไฟ คือ หน้าหนาวถ้าไม่เข้าใกล้เตาผิงมันก็หนาว แต่เข้าใกล้มากนักก็ไม่ใช่ผิง กลายเป็นย่าง เดี๋ยวจะพอง จะสุก ต้องมองตรงนี้ให้ดี หนีกันไม่พ้นก็เว้นวรรค ให้ดี แล้วก็ทนกันไป และในขณะที่ทนกันไปก็ตีกรอบเรื่องวินัยให้ดี ใช้วินัยเป็นเส้นแบ่งพรมแดน มีขอบเขต จะใช้วินัยเรื่องเวลา วินัยเรื่องการเงิน หรือวินัยเรื่องอะไรก็ตามที่เราจะต้องทำงาน ร่วมกัน เมื่อเราตีกรอบวินัยเอาไว้ดีแล้ว ก็เท่ากับไม่ใกล้ไม่ไกล แค่เตาผิง ไม่ใช่เตาย่าง
จากนั้นก็สังเกตว่าที่มาของนิสัยของเขาอยู่ในกลุ่มไหน แล้วก็แผ่เมตตา และหาวิธีแก้กันเป็น ข้อ ๆ ไป
ข้อแรก ประเภทที่ใช้เงินไม่เป็น สอนวิธีบริหารงาน บริหารเงินให้ ก็ลงตัว
ข้อที่ ๒ การเลี้ยงดูไม่ดี แก้ยากขึ้นมาหน่อย ต้องใช้เวลาปรับสิ่งแวดล้อม และแผ่เมตตา ให้มาก ๆ นึกว่าเลี้ยงลูกก็แล้วกัน ค่อย ๆ แก้ไขกันไป
ข้อที่ ๓ พวกที่เห็นแก่ตัวขนาดหนัก คงจะต้องปล่อยให้หลวงพ่อท่านจัดการ ถ้าหลวงพ่อท่านเทศน์แล้วก็ยังเอาไม่อยู่ เอาไว้ให้ยมบาลเทศน์แทนก็แล้วกัน ก็ต้องยอมรับกันว่าคนที่จะแก้สิ่งเหล่านี้ได้เด็ดขาด ต้องเป็นผู้ที่หมดกิเลส เป็นพระอรหันต์ หรือเป็นพระเถระที่ทรงภูมิรู้ภูมิธรรม จริง ๆ
คนที่ไม่เชื่อว่านรกสวรรค์มีจริง จะอธิบายให้เขาเข้าใจแบบเป็นเหตุเป็นผลง่าย ๆ ได้อย่างไร?
เรื่องนรก เรื่องสวรรค์ เป็นเรื่องที่มีจริงก็จริงอยู่ แต่การที่จะอธิบายให้ใครเชื่อก็ไม่ง่ายนัก เพราะว่าคนที่จะเข้าใจ จะรับฟังได้ง่าย จะต้องมีพื้นใจผ่องใสมาพอสมควร
คนที่มีใจผ่องใสพอสมควรมีใครบ้าง
๑. เด็กตั้งแต่วัยเด็กเล็ก ตั้งแต่ชั้นอนุบาลจนกระทั่งชั้น ป. ๖ เด็กเหล่านี้ยังไม่ได้แปดเปื้อนอะไร ยกเว้นไปอยู่ในสิ่งแวดล้อมไม่ดี ไปเจอยาเสพติดเสียก่อน แบบนี้แย่หน่อย ถ้าไม่อย่างนั้นแล้วใจเด็ก ๆ จะใส ถ้าจะสอนเรื่องนรกสวรรค์ เด็กจะรับได้ง่าย
๒. ส่วนอีกพวกหนึ่ง คือ พวกผู้ใหญ่ที่ยังไม่เคยไปแตะต้องอบายมุข ไม่เคยไปจมอยู่ใน วงเหล้า ไม่เคยไปท่องกลางค่ำกลางคืนในแหล่งที่ไม่เหมาะสม ไม่เคยไปจมอยู่ในวงไพ่หรืออะไรทำนองนี้ พวกนี้ถ้าพูดเรื่องนรก เรื่องสวรรค์ ค่อนข้างจะรับได้ง่าย เพราะใจยังไม่แปดเปื้อนมาก
อย่างไรก็ตาม ในโลกปัจจุบันนี้เนื่องจากอบายมุขแพร่หลายมาก ไม่ว่าใครจะใจมืด ใจบอด ใจเปื้อนขนาดไหน เราก็มีหน้าที่ที่จะต้องทำความเข้าใจที่ถูกต้องให้แก่เขาให้ได้ในเรื่องนรก เรื่องสวรรค์ เพราะว่าอย่างไรเขาก็อยู่ร่วมโลกกับเรา บางทีก็เป็นญาติเรา เป็นเพื่อนเรา เรารู้เห็นอะไร ดี ๆ ก็อยากจะให้เขาได้รู้ได้เห็นความดีนั้น ๆ ตามเราไปด้วย
ด้วยหัวใจของกัลยาณมิตรที่เปี่ยมล้นอย่างนี้ ก็มีข้อคิดฝากพวกเราไว้ว่า ในการที่จะไปอธิบายให้ใครเข้าใจว่านรกมีจริง สวรรค์มีจริง ต้องถามตัวเราก่อนว่า เรามีความเชื่อมั่นในเรื่องนรกสวรรค์ขนาดไหน ถ้าความเชื่อมั่นตรงนี้ของเรายังไม่เต็มร้อย ก็ยากที่จะดึงใครให้เข้าใจถูกในเรื่องนรกสวรรค์ได้ แต่ถ้าเรามีความเข้าใจในเรื่องนรกสวรรค์เต็มร้อยการที่เราจะชักชวนใคร ให้เหตุผลกับใครก็ง่ายขึ้น เพราะเราจะรู้เหตุผลที่จะนำมาชักจูงเขาได้ด้วยตัวเองจากการถามตัวเองว่า เมื่อก่อนนี้เราก็ไม่ค่อยจะเชื่อเหมือนกัน แล้วทำไมวันนี้เราจึงได้เชื่อ ถ้าถามตัวเองได้อย่างนี้ เดี๋ยวคำตอบจะผุดขึ้นมาเองอีกเหมือนกัน
สำหรับหลวงพ่อนั้น เมื่อก่อนก็สงสัยว่านรกมีจริงไหม สวรรค์มีจริงไหม ก่อนที่จะบวชก็เที่ยว ไปตระเวนถามหลวงพ่อ หลวงปู่ตามวัดต่าง ๆ บางรูปบอกว่าท่านก็ไม่รู้เหมือนกัน บางรูปบอกว่า มีจริง ยืนยันเลย พอถามท่านว่า "หลวงพ่อ หลวงปู่ เคยไปเห็นมาหรือครับ" ท่านตอบหลวงพ่อ ชัดเลยว่า "ไม่เคยหรอก" อ้าว! ไม่เคยแล้วทำไมหลวงพ่อเชื่อว่ามี ท่านบอกว่าพระไตรปิฎกบอก ทำไมหลวงพ่อเชื่อพระไตรปิฎกขนาดนั้น ท่านตอบหลวงพ่อมาว่า ผู้ที่บันทึกพระไตรปิฎกเป็นพระอรหันต์หมดกิเลส ท่านไม่หลอกเราหรอกไม่รู้จะหลอกไปทำไม ก็เป็นเหตุผลที่น่าเชื่อได้ระดับหนึ่ง แต่ลึก ๆ หลวงพ่อยังเชื่อไม่เต็มร้อย เพราะท่านเองก็ไม่เคยไปเห็นมา
จนกระทั่งมาเจอคุณยายอาจารย์มหารัตนอุบาสิกาจันทร์ ขนนกยูง ครูบาอาจารย์ของพวกเรา ครั้งแรกที่หลวงพ่อไปเจอตอนนั้นหลวงพ่อยังเป็นนักศึกษาอยู่ หลวงพ่อถามคุณยายว่า "นรกสวรรค์ มีจริงไหม" คุณยายตอบชัดเจนเลย "มีสิคุณ เมื่อยายเข้าถึงธรรมกายใหม่ ๆ องค์พระชัดใส ยายเข้าธรรมกายไปเยี่ยมพ่อยาย ยายอาราธนาพระธรรมกายให้ศีลแก่พ่อ ตอนนั้นไฟนรกมันดับชั่วคราว พอพ่อของยายตั้งใจรับศีลเท่านั้น บุญที่เคยทำมาในอดีตชาติ ที่เกิดจากการให้ทาน การรักษาศีล การทำภาวนา ตั้งแต่ชาติก่อน ๆ ตามมาทัน พอนึกถึงบุญเก่าออกแล้วตั้งใจรับศีลจากพระธรรมกายเท่านั้น บุญเก่าบุญใหม่มาบรรจบกัน พาพ่อยายพ้นนรกได้ แล้วก็เนื่องจาก พ่อยายทำบุญทำทานอย่างอื่นไว้บ้างเหมือนกัน ก็มีวิมานเก่า ๆ อยู่ในสวรรค์ชั้นต้น พ่อยายก็ไปอยู่บนสวรรค์กับเขาได้เหมือนกัน"
หลวงพ่อได้ยินคุณยายพูดว่าไปรู้ไปเห็นมาจริง หลวงพ่อเชื่อท่าน เลยถามต่อไปว่า อย่างผมจะมีโอกาสไปรู้ไปเห็นนรกสวรรค์บ้างไหม คุณยายตอบชัด ได้สิคุณ ยายอ่านก็ไม่ออก เขียนก็ไม่ได้ หนังสือก็ไม่ได้เรียน แต่ว่าเอาชีวิตเป็นเดิมพันในการฝึกสมาธิกับหลวงปู่วัดปากน้ำ ในที่สุดยายก็เห็นนรก ได้เห็นสวรรค์ได้ คุณยังหนุ่มยังแน่น การศึกษาทางโลกก็มี เพราะฉะนั้นถ้าคุณตั้งใจฝึกจริง ๆ ทำไมจะไม่ได้ เดี๋ยวคุณก็ได้
เมื่อได้ผู้ที่สามารถเห็นนรกสวรรค์มายืนยัน แล้วยังให้กำลังใจอีก หลวงพ่อก็เชื่อ แต่เชื่อ ๙๙ เปอร์เซ็นต์ ไม่ครบร้อย แล้วทำอย่างไรจะครบร้อย ก็มีทางเดียว คือ ลงมือฝึก ทำภาวนาอย่างจริง ๆ จัง ๆ แล้วให้ตัวเราไปเห็นเองจึงจะครบร้อย ตั้งแต่นั้นมาหลวงพ่อก็ตั้งใจฝึกภาวนาเรื่อยมา จบการศึกษาแล้วหลวงพ่อก็เลยมาบวช นี่ก็เกือบ ๔๐ พรรษาแล้ว ยิ่งบวช ยิ่งสนุก ยิ่งบวช ยิ่งมั่นใจว่านรกมีจริง สวรรค์มีจริง
แต่สำหรับใครที่เขายังไม่เชื่อ ก็คือยังไม่เชื่อ แต่อย่างน้อยที่สุดสำหรับพวกเราที่จะไปชวนใคร เราก็ต้องฝึกให้ได้ แม้ยังไม่เห็นนรก ไม่เห็นสวรรค์ แต่ว่าฝึกแล้วได้ความสว่างข้างใน เราก็พอจะรู้แล้วว่า ถ้าจะไปเห็นนรก เห็นสวรรค์ได้ ก็ต้องเห็นโดยอาศัยความสว่างที่เราฝึกได้นี่แหละ ฝึกเข้าไป วันหนึ่งก็จะเห็นอย่างที่คุณยายเห็น อย่างที่พระอรหันต์ท่านเห็น แล้วถ้ามีประสบการณ์เกี่ยวกับเรื่องนรกสวรรค์มากน้อยแค่ไหนก็เล่าให้เขาฟังได้ ถ้าเขามีปัญญาพอ เขาก็รู้ว่าเราไม่ได้โกหก รู้ว่าเราตั้งใจฝึกจริง ก็พอจะคุยกันได้ เมื่อคุยกันได้ก็ชวนเขาฝึกด้วย วันหนึ่งเขาจะสัมผัสได้ด้วยตัวเอง วันนั้นเขาจึงจะเชื่อ แต่ถ้าแค่พูดกันแล้วจะให้เขาเชื่อร้อยเปอร์เซ็นต์ เป็นไปไม่ได้