คุณยายอาจารย์มหารัตนอุบาสิกาจันทร์ ขนนกยูง ได้ชื่อว่า เป็นผู้ให้กำเนิดวัดพระธรรมกาย ท่านเป็นบุคคลที่โลกจารึกเอาไว้ว่า เป็นดุจดวงอาทิตย์ดวงที่สองที่มีแสงสว่างยิ่งกว่าดวงอาทิตย์ดวงแรก ที่ใช่ว่าจะสว่างแต่เพียงกลางวันเท่านั้น แต่สว่างทั้งกลางวันและกลางคืน ยิ่งกว่านั้น ยังไปส่องแสงสว่างอยู่ภายในใจ ของศิษยานุศิษย์นับหลายแสนคนทั่วโลกในปัจจุบัน และจะส่องแสงสว่างนับจากนี้ ไปนับพันปีสำหรับ ทุกชีวีที่ได้มาอยู่ภายใต้ร่มบุญบารมีของท่าน ที่กล่าวเช่นนี้เพราะ...
นับถอยหลังไป ๓๖ ปี ในวันวิสาขบูชา ปีพุทธศักราช ๒๕๑๓ บนพื้นแผ่นดิน ๑๙๖ ไร่ที่ปลูกต้นไม้แทบไม่ขึ้นเลย และด้วยต้นทุนเพียง ๓,๒๐๐ บาทที่มีอยู่ บวกกับหมู่คณะ รุ่นบุกเบิกประมาณ ๑๐ กว่าคน คุณยายอาจารย์ได้นำหมู่คณะที่มี พระเดชพระคุณหลวงพ่อธัมมชโย ซึ่งตอนนั้นบวชเป็นพระได้เพียงพรรษาเดียว ลงมือสร้างวัด ณ บริเวณท้องทุ่งตำบลคลองสาม อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี ใครเลยจะคิดว่า จาก ๑๙๖ ไร่ จะกลายมาเป็น ๒,๐๐๐ กว่าไร่ได้ ใครเลยจะองอาจหาญกล้าเปล่งวาจาว่า ยายจะสร้างวัดด้วยเงินต้นทุน ๓,๒๐๐ บาท และยังได้พูดกับทุกคนในตอนนั้นด้วยว่า คุณแต่ละคนถ้าฝึกตัวดีแล้ว มีค่ากว่าเงินทองภายนอกมากมายนัก นี่แหล่ะคือต้นทุนของยาย เหมือนยายมีเงินมีทุนอยู่แล้ว เป็นร้อยล้านพันล้าน
จากคำพูดของคุณยายอาจารย์ในวันนั้น วันนี้ลูกหลานของคุณยายอาจารย์ ที่ตามมาสร้างบารมีในภายหลัง ยิ่งได้ตระหนักถึงคุณธรรม คุณวิเศษอันเป็นคุณลักษณะของบุคคล ที่เป็นสัญลักษณ์อันแท้จริง ของความสมบูรณ์พร้อมของหลักธรรม ในพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนานั้น ประกอบด้วยปริยัติ ปฏิบัติ และปฏิเวธ ที่เป็นความอัศจรรย์ อันหมายถึงการเรียนรู้คำสอน ของพระพุทธองค์แล้วลงมือปฏิบัติตาม และสุดท้ายก็ได้ยลผลแห่งการปฏิบัตินั้น ชีวิตของคุณยายอาจารย์ฯ ได้เป็นสัญลักษณ์ที่สมบูรณ์พร้อม ของพระพุทธศาสนาอย่างแท้จริง ชนิดที่ใครๆ เมื่อได้ศึกษาอัตชีวประวัติของท่านแล้ว จะอดอัศจรรย์ไปไม่ได้เลย ว่าคนอย่างท่านจะมีอยู่ ถ้าใครอยากเห็นปาฏิหาริย์ หรือสิ่งมหัศจรรย์ของโลก ต้องศึกษาวิถีดำเนินชีวิต ของคุณยายอาจารย์ เพราะคุณยายอาจารย์คือ บุคคลมหัศจรรย์ในทุกที่ทุกเวลา ที่ท่านดำรงอยู่ ดวงอาทิตย์งดงามในทุกโมงยาม ตั้งแต่อรุโณทัย จนอัสดงคตฉันใด ชีวิตของท่านก็ฉันนั้น
ก่อนที่ท่านจะได้มาพบพระเดชพระคุณหลวงปู่วัดปากน้ำ (พระมงคลเทพมุนี สด จนฺทสโร) เพื่อปฏิบัติธรรมเจริญสมาธิภาวนา ขณะที่ใช้ชีวิตทำมาหากินประสาชาวนาที่นครปฐมนั้น ความขยันหมั่นเพียรความมุ่งมั่น ในการทำนาของท่าน ได้รับการขนานนามจากชาวบ้านทั้งหลายว่า “ จันทร์แข้งเหล็ก ” เพราะภาพของการที่ต้องเดินทางไปนาก่อนใครๆ ในหมู่บ้าน และเมื่อไปแล้วก็มีความละเอียดอ่อน ในการทำนาชนิดที่ชาวนาทั่วไปจะสามารถทำได้ คือ ท่านจะไม่ยอมให้วัชพืชขึ้นแข่งกับต้นข้าวให้เห็นเลย ท่านจะถอนวัชพืช และจะใส่ใจกับข้าวทุกต้น ประหนึ่งว่าแต่ละต้นมัน จะให้ผลผลิตเป็นเล่มเกวียนๆ และก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ ชั่วระยะเพียงไม่กี่ปี ท่านก็สามารถนำผลผลิตไปขาย จนสามารถลบหนี้ล้างสินให้ทางบ้านได้ ท่านจึงได้เป็นเสาหลัก ของพ่อแม่พี่น้อง การที่ท่านทำได้อย่างนี้ อาจกล่าวได้ว่า “ ท่านเป็นต้นแบบของชาวนาทั้งโลกได้ ” หรืออาจกล่าวได้ว่า ท่านเป็นตัวอย่างของชาวโลก ที่สามารถประสบความสำเร็จ ในการทำมาหากินก็ได้ ถ้าเปรียบชีวประวัติของท่าน ในตอนนี้ ก็เปรียบดั่งดวงอาทิตย์ยามอรุโณทัย ที่สวยสดงดงามทีเดียว
ยามเมื่อท่านต้องจากบ้านเข้ากรุงเทพฯ และได้ศึกษาวิชชาธรรมกาย กับพระเดชพระเดชพระคุณหลวงปู่วัดปากน้ำ จนได้รับคำชมจากพระเดชพระคุณหลวงปู่ว่า “ ลูกจันทร์นี้เป็นหนึ่งไม่มีสอง ” โดยวลีประโยคนี้ เป็นประโยคเดียวที่พระเดชพระคุณหลวงปู่วัดปากน้ำ พูดชมคุณยายอาจารย์ฯ ครั้งเดียวและคนเดียวเท่านั้น คำชมนี้ พระเดชพระคุณหลวงพ่อธัมมชโย ท่านได้กล่าวไว้ว่า คุณยายอาจารย์ท่านก็เล่าให้ท่านฟังว่า เมื่อได้ฟังแล้ว ท่านก็นิ่งๆ เฉยๆ ไม่ได้ลิงโลดใจ หรือแสดงกิริยาอาการดีใจออกหน้าออกตาอะไร แต่ก็มีขึ้นได้เพราะความสมบูรณ์พร้อม แห่งวิชชา และจรณะอย่างแท้จริง คือภายนอก ไม่ว่าในเรื่องอะไร ใครก็ตำหนิติเตียนท่านไม่ได้ โดยเฉพาะความสะอาดความเป็นระเบียบเรียบร้อย รวมถึงศีลาจารวัตร และปฏิปทาการดำเนินชีวิตด้วยแล้ว ใครก็ต้องอัศจรรย์ใจ เมื่อได้เห็นความสันโดษเรียบง่าย ความสมถะของท่าน และภายในคือคุณธรรมคุณวิเศษ ก็ยิ่งเป็นบุญตา และบุญตัวสำหรับผู้ได้เข้าใกล้เป็นยิ่งนัก เพราะความศักดิ์สิทธิ์ ของวิชชาธรรมกาย ที่ท่านได้เข้าถึง สามารถเป็นที่พึ่งให้ผู้คนได้อย่างแท้จริง ชีวิตของท่านขณะเมื่อศึกษาวิชชา และทำวิชชาอยู่กับ พระเดชพระคุณหลวงปู่วัดปากน้ำ เป็นประหนึ่งความงดงาม ของดวงอาทิตย์ยามเที่ยงวัน ที่ให้ความสว่างเจิดจ้ายิ่งนัก เพราะนับตั้งแต่ก้าวแรกที่ย่างเท้ามาอยู่กับ พระเดชพระคุณหลวงปู่วัดปากน้ำ คุณยายอาจารย์ฯ ได้ผ่านการฝึกฝนอบรมตนเองทุกๆ ด้าน ไม่ว่าในเรื่องภายนอก และภายใน อะไรก็แล้วแต่ที่มาถึงท่าน สิ่งๆนั้นจะถูกปรับให้บริสุทธิ์ ให้สมบูรณ์พร้อมในเวลาต่อมา ยกตัวอย่างเช่น เตียงเก่าที่หักๆ พังๆ ซึ่งท่านได้รับเมื่อมาอยู่ ในวัดปากน้ำในช่วงแรก จะได้รับการดูแลเอาใจใส่เป็นอย่างดี จนในเวลาต่อมาไม่กี่วันก็กลายเป็นเตียง ที่สะอาดและสว่างที่สุด จนเป็นจุดศูนย์รวมแห่งสายตาของ ผู้ทำวิชชาด้วยกัน เวลาชีวิตของท่านในตอนนั้น มีเพียงเวลาเดียวคือเวลาหยุดนิ่งทำสมาธิภาวนา เส้นทางเดินของท่านในตอนนั้น คือระหว่างที่พัก สู่โรงงานทำวิชชาเท่านั้น ในเรื่องของอุปกรณ์เครื่องใช้ต่างๆ ที่จำเป็นสำหรับชีวิต ท่านก็มีเท่าที่จำเป็นจริงๆ ที่สักว่ายังชีวิตให้ดำรงอยู่ และดำเนินไปได้เท่านั้นเอง ปัจจุบันเรากำลัง รณรงค์เศรษฐกิจแบบพอเพียง คุณยายอาจารย์ฯ ของเราท่านได้ดำเนิน ปฏิปทานี้มาก่อน ตลอดชีวิตของท่านนานแล้ว อาจกล่าวได้ว่า สิ่งทั้งหลาย ที่มนุษย์ได้คิดออกในแต่ละครั้ง และลงมือทำกันอยู่เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตและสังคมโลกให้ดีขึ้น คือสิ่งที่คุณยายอาจารย์ฯ ท่านได้ทำล่วงหน้าไปแล้ว และได้สรุปเป็นต้นแบบของชีวิต ที่สมบูรณ์ของท่านเองในชาติปัจจุบัน ดังคำพูดของท่านที่ว่า ชาตินี้ ยายจะมีข้อบกพร่องเป็นชาติสุดท้าย ชาติต่อไป ยายจะสมบูรณ์พร้อมทุกอย่าง เพราะชาตินี้ ยายได้ทำเหตุแห่งความสมบูรณ์ได้ครบถ้วนแล้ว คำพูดของคุณยายอาจารย์ฯ ย่อมเป็นจริงทุกประการ ดังการกระทำของท่าน ที่ได้รับคำชมจาก พระเดชพระคุณหลวงปู่วัดปากน้ำ ที่ไม่มีใครได้รับคำชมถึงอย่างนั้นเลย
และเมื่อพระเดชพระคุณหลวงปู่วัดปากน้ำ มรณภาพ ท่านก็ได้ยึดมั่นในคำสั่งของ พระเดชพระคุณหลวงปู่วัดปากน้ำ ที่ให้รอผู้ที่จะมาสืบทอดวิชชาธรรมกาย อยู่ที่วัดปากน้ำ ท่านก็รอ และเมื่อพบพระเดชพระคุณหลวงพ่อธัมมชโยนั่นเอง การเผยแผ่วิชชาธรรมกาย ของท่านที่ได้ศึกษามาหลายสิบปี จึงได้ขยับขยายขึ้น จนปัจจุบันมาเป็นพื้นที่ ๒,๐๐๐ กว่าไร่ ท่านเป็นบุคคลอัศจรรย์ที่เข้าใจ ถึงปัญหาของมนุษย์ และโลกได้อย่างแท้จริง คุณยายอาจารย์ท่านไม่รู้หนังสือ แต่สิ่งที่ท่านสอนแก่ศิษยานุศิษย์ ท่านเรียนรู้มาจากครู คือผู้รู้ที่ยิ่งกว่าผู้รู้ทั้งหลาย นั่นคือพระธรรมกายภายใน ด้วยวิชชาที่เป็นความรู้ที่ยิ่งกว่าความรู้ทั้งหลาย ครูที่ยิ่งกว่าครูทั้งหลาย ความรู้ที่ยิ่งกว่าความรู้ทั้งหลาย นี้นับว่าเป็นการเรียนรู้ ที่สมบูรณ์พร้อม ประเสริฐสุดเลิศสุดในโลก ในอนันตจักรวาล และด้วยความสมบูรณ์พร้อมทุกๆ อย่างของท่าน ไม่ว่าจะเป็นคุณธรรมภายนอก หรือคุณวิเศษภายใน คำว่า “ ผู้ให้กำเนิดวัดพระธรรมกาย ศูนย์กลางธรรมกายแห่งโลก ” ที่ปัจจุบันเป็นเหมือนร่มไม้ใหญ่ ให้นกกาคือผู้คนทั้งหลาย ได้มาแสวงบุญสร้างบารมี จึงเป็นคำที่เหมาะและสมกับความบริสุทธิ์ความวิเศษ พร้อมที่โลกต้องจารึกเอาไว้ ตราบนานเท่านาน และนับวันแม้คุณยายอาจารย์ไม่ได้อยู่เป็น ร่มโพธิ์ร่มไทร เพราะสังขารล้วนมีอันแตกสลายไปตามกาลเวลา แต่คำสอนก็ดี วัตรปฏิบัติอันงดงาม สะอาดบริสุทธิ์ตลอดชีวิต ของท่านก็ดี หรือที่ยิ่งกว่านี้ก็คือ ความเป็นหนึ่งไม่มีสอง ในวิชชาธรรมกายที่ท่านได้เข้าถึง อานุภาพความศักดิ์สิทธิ์บริสุทธิ์ที่ท่านได้อธิษฐานจิตเอาไว้ ยังคงเป็นความศักดิ์สิทธิ์ และตราตรึงเป็นมรดกธรรม ล้ำค่าที่กาลเวลา ไม่อาจให้แตกสลายไปได้เลย และนับวันเมื่อใครก็ตาม ได้มายังวัดพระธรรมกาย ผืนแผ่นดินอันศักดิ์สิทธิ์นี้ จะได้เห็นปาฏิหาริย์อันเกิดจาก ความสะอาดบริสุทธิ์ จากความศักดิ์สิทธิ์ของคุณยายอาจารย์ ที่ท่านได้สร้างวัดให้เป็นวัด สร้างพระให้เป็นพระแท้ และสร้างคนให้เป็นคนดี
เนื่องในโอกาสวันคล้ายวันเกิด ของคุณยายอาจารย์ฯในปี พ.ศ. ๒๕๔๙ นี้ ซึ่งตรงกับวันพฤหัสบดีที่ ๑๙ เดือนมกราคม เพื่อเป็นการให้ศิษยานุศิษย์ นำโดยพระเดชพระคุณหลวงพ่อธัมมชโย ได้บุญใหญ่จากการระลึกถึงพระคุณอันยิ่งใหญ่ จึงได้พร้อมใจกัน ทั้งโลกถวายภัตตาหาร เป็นสังฆทานตั้งแต่วันที่ ๑๙ มกราคม ถึง ๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๙ รวม ๑๖ วัน การขวนขวายสั่งสมบุญกุศลทั้ง ๑๖ วัน นอกจากเป็นการสร้างอามิสบูชาซึ่งเป็น การบูชาที่มีต่อครูคือคุณยายอาจารย์แล้ว ก็ยังได้น้อมนำบุญนี้ กราบบูชาธรรม พระเดชพระคุณหลวงปู่วัดปากน้ำ ตลอดจนปฐมาจารย์คนแรกของท่านคือ คุณยายอาจารย์มหารัตนอุบาสิกาทองสุข สำแดงปั้นอีกด้วย นี้ก็เป็นบุญใหญ่ที่เหล่าศิษย์ จะได้รับกับท่านทุกๆ ปี ความกตัญญูต่อผู้ให้ชีวิตใหม่ในเส้นทางธรรมนี้เอง จะเป็นผังชีวิต ที่ทำให้ติดตามตามติด ท่านสร้างบารมีไปได้ทุกภพทุกชาติ เพราะในที่สุดของชีวิต การจะได้มาเกิดเป็นอาจารย์ และลูกศิษย์กัน บุญที่ได้สั่งสมแล้วน้อมบูชาท่านนี้เอง คือหลักวิชชา ที่จะส่งผลให้สำเร็จสมหวังได้ ยิ่งกว่าสิ่งอื่นใด ปฏิบัติบูชาที่มหาปูชนียาจารย์ท่านปรารถนา การเข้าถึงธรรมกายของเรา ก็เป็นการบูชา ที่ต้องปฏิบัติบูชาท่านให้สมบูรณ์พร้อมไปพร้อมๆ กับอามิสบูชา
ชีวิตของคุณยายอาจารย์ฯในยามนี้ หากเปรียบเหมือนอาทิตย์อัสดง ก็ย่อมเป็นอาทิตย์ ดวงพิเศษที่หายไป จากท้องฟ้าแต่มาปรากฏแจ่มชัดอยู่ในใจของผู้เป็นศิษย์ และผู้มาเยือน วัดพระธรรมกาย ตลอดไปนานแสนนาน