เรื่องจากพระไตรปิฎก
เรื่อง : มาตา
พระภัททิยเถระ
ผู้สั่งสมบุญพิเศษด้วยการถวายทองคำ
๑
ตลอดเวลาแห่งการเดินทางในสังสารวัฏนั้น ไม่มีอะไรสำคัญกว่า “บุญกุศล” ที่เป็นมิตรแท้ติดตามตัวเราไปได้ทุกภพทุกชาติ ดังนั้นคนที่ไม่สร้างบุญกุศล จึงเป็นคนที่ประมาทในการดำเนินชีวิตยิ่งกว่าความประมาทใด ๆ และผลจากความประมาทนี้ จะนำชะตากรรมที่มืดมนมาสู่ชีวิตของเขา และหากยังดำเนินชีวิตด้วยความประมาทต่อไป ชีวิตก็จะยิ่งมืดมนลงไปเรื่อย ๆ เพราะบุญที่เคยสั่งสมไว้ในอดีตจะค่อย ๆ หมดไปทุกวัน และเมื่อหมดบุญ สิ่งดี ๆ ทั้งหลายก็จะพากันทยอยจากไป ไม่ว่าคน สัตว์ หรือสิ่งของ เพราะไม่มีบุญจะรักษาสิ่งเหล่านั้นไว้อีกแล้ว
ด้วยเหตุนี้ ผู้มีปัญญาทุกยุคทุกสมัยจึงไม่เคยประมาทในการสั่งสมบุญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบุญพิเศษที่จะมีอานิสงส์พิเศษอลังการ ดังตัวอย่างเช่นการสร้างบารมีของพระภัททิยเถระ
๒
ในสมัยของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรา พระภัททิยเถระบังเกิดในครอบครัวที่มีตระกูลสูง เป็นที่เคารพยกย่องจากจากมหาชน สมบูรณ์พร้อมด้วยมนุษย์สมบัติอันเลิศ มีรูปงาม ผิวพรรณวรรณะงามกว่าคนทั่วไป และยังมีมือเท้าที่สวยงามเป็นพิเศษอีกด้วย เพราะท่านใช้มือและเท้าสร้างบารมีมาตลอดหลายภพหลายชาติ
ในชาตินี้ เมื่อท่านมีโอกาสได้ฟังธรรมจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็เกิดจิตเลื่อมใสออกบวชเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนา หลังจากบวชแล้ว ท่านตั้งใจปฏิบัติธรรมอย่างเต็มที่ ใช้เวลาไม่นานก็บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์
๓
เมื่อเป็นพระอรหันต์แล้ว ท่านระลึกถึงบุญที่เคยทำมาในอดีตชาติ เมื่อเห็นบุพกรรมของตนแล้ว ท่านเกิดความปีติยินดี จึงประกาศบุพกรรมว่า
“เมื่อภพชาติที่ผ่านมา เราได้สร้างบุญกับเนื้อนาบุญอันเลิศ คือพระผู้มีพระภาคเจ้า พร้อมกับเหล่าพระสาวก บุญนั้นส่งผลให้เราบรรลุถึงสมบัติทั้งสอง เราเป็นผู้ขวนขวายในวิเวก มีปกติอยู่ในเสนาสนะอันสงัด อริยผลทั้งปวงเราบรรลุแล้ว เราเป็นผู้ไม่มีความเศร้าหมองของจิต พระสัพพัญญูผู้เป็นนายกของโลกทรงทราบคุณทั้งปวงของเราแล้ว คุณวิเศษทั้งหลาย คือปฏิสัมภิทาญาณ ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ เราทำให้แจ้งชัดแล้ว คำสอนของพระพุทธเจ้าเราได้ทำเสร็จแล้ว”
๔
ประวัติการสร้างบารมีที่น่าสนใจของท่านที่ปรากฏอยู่ในพระไตรปิฎกมีดังนี้..
ในสมัยแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่า ปทุมุตตระ พระภัททิยเถระบังเกิดเป็นบุตรของเศรษฐี เมื่อเจริญวัยแล้วก็แต่งงานมีครอบครัวเหมือนดังชาวโลกทั่วไป
วันหนึ่ง บุตรเศรษฐีเห็นชาวเมืองพากัน ไปทำบุญอย่างร่าเริงเบิกบาน เห็นอุบาสกอุบาสิกาไปเข้าเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไปฟังธรรม บำเพ็ญทาน รับสมาทานศีล และมีหลาย ๆ ท่านออกบวชในสำนักของพระบรมศาสดา
เมื่อบุตรเศรษฐีเห็นทุก ๆ คน ขวนขวายในการสร้างบุญ ก็คิดว่า “ตัวเราก็ไม่ควรปล่อยโอกาสให้ผ่านเลยไป ควรจะสร้างบุญพิเศษ สักอย่างหนึ่งให้เต็มที่เต็มกำลัง”
จากนั้น บุตรเศรษฐีก็ส่งคนไปนิมนต์พระบรมศาสดาและภิกษุสงฆ์มาเป็นเนื้อนาบุญ ด้วยความตั้งใจที่จะเอาบุญพิเศษ เขาจึงตระเตรียมไทยธรรมมีบัลลังก์ทำด้วยทองคำมีค่าแสนหนึ่ง ปูลาดด้วยเครื่องลาดที่มีขนยาว เครื่องลาดยัดนุ่น เครื่องลาดมีรูปดอกไม้ ผ้าเปลือกไม้ และผ้าฝ้าย เพื่อถวายพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และจัดสถานที่ ปูลาดอาสนะอันมีค่ามาก มีลวดลายวิจิตรติดกันยาวมาก เพื่อรองรับภิกษุสงฆ์ถึง ๑๐๐,๐๐๐ รูป
๕
เมื่อได้เวลา พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมาพร้อมด้วยพระสงฆ์สาวก หลังจากที่พระพุทธองค์ประทับบนอาสนะที่จัดเตรียมไว้พร้อมกับ หมู่สงฆ์แล้ว บุตรเศรษฐีได้ถวายภัตตาหาร อันประณีตที่เตรียมไว้ด้วยจิตที่เลื่อมใส และถวายบัลลังก์ทองอันสูงค่าแด่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
หลังจากที่พระปทุมุตตรสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงรับเครื่องบูชาแล้ว ก็ทรงมองไปในอนาคตกาลภายภาคหน้า และทรงทราบว่า อานิสงส์ใหญ่ ได้บังเกิดขึ้นกับบุตรเศรษฐีแล้ว พระองค์ทรงปรารถนาที่จะให้บุตรเศรษฐีมั่นใจในผลแห่งบุญที่บังเกิดขึ้น จึงตรัสพยากรณ์ว่า
“ผู้ใดถวายอาสนะทองอันลาดด้วยเครื่องลาดวิเศษมีขนยาวนี้ เราจักพยากรณ์ผู้นั้น ท่านทั้งหลายจงฟังเรากล่าว ผู้นั้นจักได้เป็นท้าวสักกเทวราช ๗๔ ครั้ง มีนางเทพอัปสรแวดล้อมเสวยสมบัติ จักได้เป็นพระเจ้าประเทศราชครอบครองพสุธา ๑,๐๐๐ ครั้ง จักได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ๕๑ ครั้ง จักเป็นผู้มีสกุลสูงในกำเนิดและภพทั้งปวง ภายหลังผู้นี้จักบวชเป็นพระสาวกของ พระสมณโคดมพุทธเจ้ามีนามว่า ภัททิยะ”
๖
เมื่อฟังพระดำรัสของพระบรมศาสดาแล้ว มหาปีติก็บังเกิดขึ้นกับบุตรเศรษฐีอย่างไม่มีประมาณ เขาจึงตั้งใจบำเพ็ญบุญตลอดมา และด้วยอานุภาพของบุญที่ตั้งใจสะสมมาโดยตลอด เมื่อละโลกแล้ว บุตรเศรษฐีจึงได้ไปบังเกิด ในสวรรค์ จากนั้นเวียนว่ายตายเกิดอยู่แต่ใน ๒ ภพเท่านั้น คือได้เป็นเทวดาและมนุษย์ โดยไม่ตกลงไปในอบายภูมิเลย และในชาติสุดท้ายก็ได้บรรลุมรรค ผล นิพพาน อันเป็นเป้าหมายสูงสุดของการเดินทางในสังสารวัฏ หลุดพ้นจากกิเลสอาสวะ ห่างไกลจากทุกข์ทั้งปวง
๗
ในบรรดามนุษย์จำนวนมากมายมหาศาลนั้น เมื่อละโลกไปแล้วมีคนได้ไปเกิดในสุคติภูมิน้อยมาก ส่วนใหญ่จะไปเกิดในทุคติภูมิทั้งสิ้น ดังที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเคยตรัสเปรียบเทียบ ไว้ว่า “คนที่ได้ไปเกิดในสวรรค์มีจำนวนแค่เขาโค แต่คนที่ตกนรกมีเท่าขนโค” ดังนั้นการที่พระภัททิยเถระได้เวียนว่ายตายเกิดอยู่แต่ในสุคติภูมิตลอด ต่อเนื่องเป็นเวลานานแสนนาน โดยที่วิบากกรรมซึ่งเคยทำผิดพลาดเอาไว้ไม่สามารถตามมาส่งผลให้ไปเกิดในทุคติภูมิได้เลย จึงเป็นเรื่องที่ยาก
แสนยาก นอกจากนี้ท่านยังได้ไปเกิดเป็นท้าวสักกเทวราชตั้ง ๗๔ ครั้ง ได้เป็นพระเจ้าประเทศราชอีก ๑,๐๐๐ ครั้ง ได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิถึง ๕๑ ครั้ง และได้เกิดเป็นผู้มีสกุลสูงทั้งในสวรรค์และในโลกมนุษย์ สุดท้ายได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ ทั้งหมดนี้ล้วนเกิดจากอานุภาพบุญใหญ่ที่ถวายบัลลังก์ทำด้วยทองคำมีค่าแสนหนึ่ง
ดังที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสพยากรณ์ไว้
หล่อหลวงปู่ทองคำ
องค์ที่ ๗ สำเร็จทุกอย่าง
๘
สำหรับเราแม้มิได้ถวายบัลลังก์์ทำด้วยทองคำมีค่าแสนหนึ่ง แต่เราก็มีโอกาสทำบุญพิเศษเหมือนกัน คือ บุญถวายทองคำหล่อ
รูปเหมือนพระเดชพระคุณหลวงปู่ พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ผู้มีความศักดิ์สิทธิ์อันไม่มีประมาณ เพื่อเป็นถาวรวัตถุไว้สำหรับเผยแผ่พระศาสนา และเป็นเครื่องสักการบูชาของพุทธศาสนิกชน ซึ่งจะช่วยเตือนใจให้คนหันมาทำความดี ทำบุญทำกุศลตามอย่างท่าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่มีเชื้อสายธรรมกาย ที่รอคอยหมู่คณะของพวกเราอยู่
อานิสงส์จากการทำบุญที่ส่งผลอลังการดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น ไม่ใช่สิ่งที่ผูกขาดเฉพาะพระภัททิยเถระหรือบุคคลในพระไตรปิฎกเท่านั้น แต่สามารถเกิดขึ้นกับผู้มีบุญในยุคนี้ได้ด้วย เพราะบุญย่อมส่งผลดีแก่ผู้ทำโดยไม่เลือกยุคสมัย..