ศีลข้อ ๒
เรื่อง :หลวงพ่อทัตตชีโว
ศีลข้อ ๒ (ตอนที่ ๓)
โทษความสกปรก, ความชั่วสากล ต้นเหตุทำลายศีล ๕
บรรยายโดยหลวงพ่อทัตตชีโวรองเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย
แด่ พระวิทยากรโครงการหมู่บ้านรักษาศีล ๕
วันเสาร์ที่ ๕ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๗ เวลา ๑๔.๓๐-๑๖.๐๐ น.
ณ ศาลาสตมานุสรณ์ (ศาลาทรงไทย) วัดปากนํ้า เขตภาษีเจริญ กรุงเทพมหานคร
โทษความสกปรก
จากที่กล่าวมาในเรื่องประเภทบุคคลตามโอกาสละเมิดศีล ท่านจะเห็นได้ว่า สิ่งแวดล้อมปัจจุบันคือ สะอาด-เป็นระเบียบ หรือ สกปรก-ไร้ระเบียบ มีผลต่อการรักษาศีลมาก ความสกปรกมีความร้ายกาจมาก ตรงนี้กระผมอยากขออธิบายขยายความ เพราะความสะอาด ความสกปรก เป็นต้นเหตุที่ทำให้รักษาศีลได้-ไม่ได้ ทำไมจึงกล่าวเช่นนี้ เพราะมนุษย์เกิดมาพร้อมกับความสกปรก
โทษความสกปรก
สกปรก
สะอาดไม่พอ
จัดระเบียบสิ่งของเครื่องใช้ไม่ได้
จัดระเบียบความคิดไม่ได้
จัดลำดับขั้นตอนการพูดไม่ได้
การใช้คำ-น้ำเสียง-อิริยาบถ ๔ ไม่สุภาพ
การแต่งกาย-กิริยามารยาทมักง่าย
มักง่ายทุกเรื่อง แม้เรื่องเพศ
ไม่ตรงเวลา
ไม่มีสมาธิ
เซลล์ในร่างกายตายนาทีละประมาณ ๓๐๐-๔๐๐ ล้านเซลล์ ของเสียที่เกิดจากเซลล์ตายแสดงออกมาเป็นสิ่งสกปรกที่ออกจากตัวเรา เช่น ขี้ไคล ขี้มูก ปัสสาวะ อุจจาระ ฯลฯ กายจึงสกปรกเป็นนิจ เมื่อปัจจัย ๔ คือ อาหาร ที่อยู่อาศัย เครื่องนุ่งห่ม ยารักษาโรค มาโดนกายเรา สิ่งเหล่านั้นก็สกปรกไปด้วย เสื้อผ้า จีวร อาหาร กุฏิ ก็สกปรกไปด้วย ก็เลยพาลไม่จัดระเบียบสิ่งของเครื่องใช้ไปด้วย เพราะมันสกปรกไม่อยากหยิบไม่อยากจับ ทั้งบ้าน ทั้งกุฏิ ก็ทั้งรก ทั้งไร้ระเบียบ อารมณ์ก็ไม่ดี หงุดหงิดอยู่เสมอ โดยไม่รู้สาเหตุว่ามาจากอะไร จึงทำอะไรมักง่าย ชุ่ย ๆ ส่ง ๆ ทำพอเสร็จ แต่ไม่ทำให้ดี
อานิสงส์ความสะอาด
สะอาดพอ
จัดระเบียบสิ่งของเครื่องใช้ได้
จัดระเบียบความคิดได้
จัดลำดับขั้นตอนการพูดได้
การใช้คำ-น้ำเสียง-อิริยาบถ ๔ สุภาพ
การแต่งกาย-กิริยามารยาทสุภาพ ประณีต
สำรวมระวังทุกเรื่อง
ตรงต่อเวลา
มีสมาธิมั่นคง
ถ้าสิ่งของยังจัดระเบียบไม่ได้ ก็จัดระเบียบความคิดไม่ได้ ที่บอกว่าเด็กไทยคิดไม่ได้ ฟ้องเลยว่ามาจากบ้านที่สกปรก ถ้าเด็กมาจากบ้านที่สะอาดจะคิดเป็น เพราะการที่จะทำบ้านให้สะอาดได้ ก็ต้องกวาด ต้องปัด ต้องเช็ด ต้องถู การปัด กวาด เช็ด ถู คือบทฝึกให้จัดระเบียบเป็น เพราะฉะนั้นสามเณรที่ไม่ได้ฝึกหัดทำความสะอาดก็จะจัดระเบียบความคิดไม่เป็น เรียนให้ตายก็ไม่ได้ดี ถ้ายังจัดระเบียบสิ่งของไม่ได้ก็คิดไม่เป็น ถ้าคิดไม่เป็น เมื่อถึงคราวพูดก็จัดลำดับการพูดไม่เป็น เมื่อจัดลำดับการพูดไม่เป็น การใช้คำ การใช้นํ้าเสียงก็จัดไม่ได้ คำที่จะพูดกับครูบาอาจารย์ก็ต้องเลือกอย่างหนึ่ง พูดกับพ่อกับแม่ พูดกับเพื่อนก็เลือกใช้คำอีกอย่างหนึ่ง เพราะฉะนั้นถ้าใครจัดระเบียบความคิดไม่ได้ คำพูดก็จัดไม่ได้ นํ้าเสียงก็จัดไม่ได้ อิริยาบถก็จัดไม่ได้ ความสุภาพก็จะหมด ตกลงความไม่สุภาพของมนุษย์ที่เรานึกว่าเป็นมารยาท แท้ที่จริงคือการจัดระเบียบท่าทางไม่ได้ ต่อไปนี้แม้แต่การแต่งกาย การนุ่งการห่ม ก็จะจัดไม่ได้ ซึ่งเรียกว่า มักง่าย คำคำนี้อย่าดูเบา มักง่ายคืออะไร คือ จะคิด จะพูด จะทำอะไร ไม่คิดเอาดี ไม่คิดรับผิดชอบ เอาแต่สะดวกเข้าว่า ห่มก็มักง่ายนุ่งก็มักง่าย ตากกมักง่าย มักง่ายก็คือไม่รับผิดชอบ เป็นลักษณะของไร้สัจจะกับขาดสติสัมปชัญญะ
มักง่าย
มักง่าย หมายถึง คิด พูด ทำอะไร ๆ ก็ไม่คิดเอาดี
ไม่คิดรับผิดชอบ เอาแต่สะดวกเข้าว่า ซึ่งก็คือ ไร้สัจจะ ขาดสติสัมปชัญญะ
หรือ
ขาดทั้งกำลังใจ ขาดทั้งสติ ขาดทั้งปัญญานั่นเอง
กล่าวอีกอย่าง มักง่ายเป็นการกระทำที่ขาดทั้งกําลังใจ ขาดทั้งปัญญา ซึ่งไม่น่าเชื่อ ความไม่สุภาพก็จะเกิดขึ้นมาเอง วัยรุ่นจะเป็นแบบนี้ คือยืนก็น่าดีด เดินก็น่าดีด นั่งก็น่าดีด นอนก็น่าเหยียบ ว่าแล้ววัยรุ่นก็ยกพวกตีกัน ก็มาจากตรงนี้ คือไม่สะอาด ไม่จัดระเบียบ แต่ว่าถ้าต่างเพศ ยืนก็น่าดีด เดินก็น่าดีด นั่งก็น่าดีด นอนก็น่าปลํ้า การละเมิดทางเพศก็ตามมา ศีลข้อ ๓ ก็พัง
ที่สำคัญเรื่องของเวลาเป็นของที่มองไม่เห็นแต่มันมี เวลาเป็นเรื่องที่บริหารจัดการยาก ใครทำงานไม่ทันแล้วจะไปทันกินได้อย่างไร เมื่อไม่ทันกิน ความมั่นใจก็หมด เมื่อความมั่นใจหมด ความกล้าสู้หน้า การเผชิญกับความจริงก็ไม่มี ใครที่เป็นคนไม่ตรงต่อเวลา อะไรจะเกิดขึ้น ต้องมีข้อแก้ตัวครับ ข้อแก้ตัวทุกข้อโกหกทั้งนั้น เพราะฉะนั้นคนไม่ตรงต่อเวลามักจะต้องแก้ตัว เมื่อแก้ตัวก็จะต้องโกหก คนที่เคยโกหกหนึ่งครั้งจะต้องโกหกตัวเองอย่างน้อย ๓ ครั้ง มันเป็นสัดส่วนของมัน คือ หนึ่ง ต้องเตรียมเรื่อง ถ้าไม่เตรียมเรื่องแล้วจะเอาอะไรมาโกหก สอง พอเจอหน้าก็โกหกตามแผน จบไหม ไม่จบครับ สาม ต้องตามจำ เดี๋ยวถูกจับได้ว่าโกหก ถ้าเรื่องนั้นสำคัญต้องตามจำเป็นปี ไม่ใช่หนึ่งต่อสาม อาจจะเป็นหนึ่งต่อห้า หนึ่งต่อสิบ
โกหกบ่อย ๆ หรือไม่ตรงเวลาบ่อย ๆ สิ่งที่ตามมาจะเป็นอย่างไร สิ่งที่ตามมา แม้วันหลังพูดจริงก็ยังสงสัยว่า เมื่อกี้ที่พูดมาจริงหรือโกหก เพราะฉะนั้นถ้าจะทำเรื่องโครงการรักษาศีล ต้องฝึกเรื่องการตรงต่อเวลาให้ดี มิฉะนั้นจะต้องมีการโกหก เป็นการละเมิดศีลข้อ ๔ และถ้าพลาดโกหกอย่างนั้น สมาธิก็หมด เมื่อสมาธิในการทำงาน ในการทำมาหากินหมด ก็จะเครียด เบื่อบ้าน เบื่องาน เบื่อแม้กระทั่งคู่ครอง แล้วจะไปไหนดี หนีปัญหาครับ เดี๋ยวไปนั่งกินเหล้าดีกว่า ไปนั่งเล่นการพนันดีกว่า อบายมุขมาครับ ศีล ๕ ข้อ รักษาไม่ได้แล้ว อาจเสียหายลุกลามเลยไปถึงครอบครัว แตกแยกได้
ความชั่วสากล ต้นเหตุทำลายศีล ๕
การที่ใครจะรักษาศีล ๕ ได้ ต้องเคี่ยวเข็ญเรื่องการทำความสะอาดเบื้องต้นก่อน ไม่อย่างนั้นศีลข้อ ๑ ก็รักษาไม่ได้ ไม่ต้องพูดถึงศีล ๔ ข้อ ที่เหลือ คนคนไหนถ้าตัวเองสกปรก พระรูปไหนถ้าปล่อยให้ตัวเองสกปรก สิ่งนี้จะเกิดขึ้น คือขี้หัวของมนุษย์ แมลงตัวเล็ก ๆ มดตัวเล็ก ๆ ก็ชอบ ขี้ตาของเรา มดตัวเล็ก ๆ แมลงหวี่ แมลงวันมันก็ชอบ ขี้หูมันก็ชอบ ขี้มูกออกมาเขียว ๆ มันก็ชอบ ขากถุยออกมามันก็ชอบ อึออกมามันก็ชอบ ขี้ไคลจากตัวเรามันก็ชอบ ตกลงสิ่งสกปรกที่หลุด
ออกจากตัวมนุษย์คืออาหารของสัตว์เล็กสัตว์น้อย
เพราะฉะนั้นยิ่งตัวเองสกปรกมากเท่าไร ในกุฏิสกปรกมากเท่าไร ก็คือมีอาหารของสัตว์เล็กสัตว์น้อยมากเท่านั้น มดจะชุม แมลงหวี่แมลงวันจะชุม แมลงสาบจะชุม หนูจะตามมา จิ้งจกก็จะมา ถ้ากุฏิไหนสกปรก พระกุฏินั้นสกปรก วันหนึ่ง ๆ คงเหยียบมดในกุฏิตายไปหลายตัว แล้วถ้าบ้านโยมสกปรกจะเป็นอย่างไร โยมก็ต้องหาทางแก้ ยิ่งได้ยาฆ่าแมลงกะโหลกไขว้ยิ่งดีเลย เพราะฉะนั้นครัวชาวบ้านส่วนใหญ่ต่างเตรียมยาฆ่าแมลงกะโหลกไขว้ไว้ฆ่ามด ฆ่าแมลงหวี่เรียบร้อยแล้ว นั่นคือกับข้าวที่ได้มาฉันอาจมียาฆ่าแมลงปนเปื้อนอยู่ทุกมื้อ เพราะฉะนั้นถ้าไม่ฝึกให้โยมรักษาศีล ท่านก็จะฉันอาหารที่ปนเปื้อนยาฆ่าแมลงไปทุกวัน ๆ นี้คือของจริงครับ แต่ถ้าจะให้โยมรักษาศีลข้อ ๑ ได้ ก็ต้องฝึกให้โยมทำความสะอาดให้เป็น เลิกสกปรกให้ได้ก่อน ถ้ายังไม่เลิกสกปรกก็ยังต้องฆ่าสัตว์กันต่อไป นี่เป็นสาเหตุที่ทำไมรักษาศีลข้อ ๑ ไม่ได้ ทั้ง ๆ ที่ไม่มีใจอยากฆ่า
แท้ที่จริงชาวบ้านส่วนมากมักหลงผิดคิดว่า การที่สัตว์แมลงมารบกวนตนถึงบ้าน ล้วนเป็นความผิดของสัตว์เหล่านั้นทั้งสิ้น หาได้คิดไม่ว่าเป็นความผิดของตน เพราะความสกปรกจากตัวคน จากบ้าน เป็นอาหารรสเลิศของสัตว์ เป็นตัวเรียกเชื้อเชิญให้สัตว์ขึ้นบ้าน เมื่อมันมา เราก็ฆ่ามัน ฆ่าแล้วเดี๋ยวชุดต่อไปมันก็มาอีก เพราะความสกปรกของเรายังทิ้งเกลื่อนอยู่ มันต้องมาอีกแน่ ๆแล้วจะป้องกันไม่ให้มันมาได้อย่างไร ก็ต้องทำความสะอาดให้ดี ใครยังไม่ได้กวาดกุฏิ ถูกุฏิทุกวัน อย่าเพิ่งไปสอนชาวบ้าน ให้ศีลโยมไปก็ไม่ออกฤทธิ์หรอกครับ บ้านไหนไม่กวาดทุกวัน ไม่ทำความสะอาดทุกวัน ถึงรับศีลไปก็รักษาไม่อยู่ เทศน์ให้ปากหัก ให้ศีลจนตาลปัตรหัก เขาก็รักษาศีลไม่ได้
บ้านใดเมื่อยังสกปรกอยู่ บ้านนั้นก็ยังต้องฆ่าสัตว์ ยังจัดระเบียบไม่ได้ เมื่อจัดระเบียบไม่ได้สมบัติที่มีอยู่ก็เก่าง่าย เสียง่าย หยิบใช้ก็ไม่สะดวก หายก็ไม่รู้ แล้วทำอย่างไร ก็มีไม่พอใช้ หามาเพิ่มโดยสุจริตมันช้า หาได้แต่ก็ไม่ทันใจ ก็ต้องลักสิ สมบัติเก็บไม่ดีมันสกปรกง่าย วางไม่เป็นระเบียบ หยิบใช้ยาก แต่ขโมยเห็นง่าย พอขโมยเห็นคิดอย่างไรรู้ไหม ว่าจะเลิกขโมยแล้วเชียวนะ มาวางล่อไว้แบบนี้ มันดูถูกฝีมือ ก็เลยต้องกลับมาขโมยอีก ส่วนพวกที่ถูกขโมยของหลาย ๆ ครั้ง ก็เอาคืนโดยขโมยของของคนอื่นบ้าง
อีกเรื่องหนึ่ง สมบัติควรจะใช้ได้นาน ๆ แต่ไม่หมั่นทำความสะอาด จัดเก็บไม่เป็นระเบียบ พอจะใช้ก็หาไม่เจอ ก็ต้องซื้อใหม่ รายจ่ายก็เพิ่มขึ้น ทำงานหารายได้เพิ่มเท่าไรก็ไม่พอใช้ เมื่อหาซื่อ ๆ ตรง ๆ ไม่พอ ก็ลักเขา โกงเขา แล้วศีลข้อ ๒ ก็พัง พระจะเทศน์ก็เทศน์ไป แต่เราไม่รักษา ตกลงถ้าจะให้บ้านไหนรักษาศีลได้ต้องเคี่ยวเข็ญเรื่องความสะอาดครับ ท่านดูตรงนี้ และถ้าทำความสะอาดได้แล้วก็ต้องจัดระเบียบด้วย มิฉะนั้นเก็บไม่เป็นก็ไม่พอกิน ต้องโกงก็เลยรักษาศีลไม่ได้อีกนั่นแหละ..
(อ่านต่อฉบับหน้า)