"The Science of Meditation"
"วิทยาศาสตร์ (ทางใจ) ของการทำสมาธิ
เป็นสิ่งที่ “ตะลึงโลก” ก็ว่าได้ เมื่อ “ยักษ์ใหญ่” แห่งวงการนิตยสาร ระดับมาตรฐานโลก คือ “TIME Magazine” ฉบับวันที่ ๔ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๔๖ ได้อุทิศเนื้อหา “กว่าสิบหน้ากระดาษ” พร้อม “ภาพประกอบสี่สี” เป็นจำนวนมาก ให้แก่เรื่องราวที่เป็น “แนวโน้มใหม่” ของมวลมนุษยชาติ นั่นก็คือ “สกู๊ปพิเศษ” ว่าด้วย “The Science of Meditation” หรือแปลเป็นไทยง่ายๆ ว่า... “วิทยาศาสตร์ (ทางใจ) ของการปฏิบัติธรรม”
ดาราสาว “Heather Graham” ขึ้นปก นิตยสาร “TIME Magazine” ฉบับวันที่ ๔ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๔
นิตยสาร TIME Magazine นั้น เป็น Magazine ที่มียอดพิมพ์วางจำหน่าย "เดือนละ ๘ ล้านฉบับ" (นำส่ง "สมาชิก ๔ ล้านฉบับ" และ "วางแผง อีก ๔ ล้านฉบับ") ซึ่งยอดนี้ ไม่นับรวม "ผู้อ่านทางอินเตอร์เน็ต" ซึ่งนับจำนวนไม่ได้ อีก "หลายล้านคนทั่วโลก"
"การทำสมาธิ" เป็น "ศาสตร์และศิลป์" ที่แพร่หลายมาตั้งแต่ก่อนสมัยพุทธกาล และยิ่งในสมัยที่ "พระสัมมาสัมพุทธเจ้า" ของเราที่ได้ "ตรัสรู้" ด้วย "สมาธิ" และทรง "สอนสมาธิ" ตลอดพระชนม์ชีพด้วยแล้ว นับได้ว่า ยุคนั้นเป็น "ยุคเฟื่องฟูสูงสุด" ของสมาธิเลยทีเดียว การทำสมาธิในยุคนั้น ทำให้ "บุคคลธรรมดา" กลับกลายเป็น "บุคคลพิเศษ" ที่สามารถนำ "ศักยภาพ" ของมนุษย์ที่ "หลบเร้น... ยาวนาน" ให้ปรากฏได้ทั่วไป เช่น ให้มนุษย์สามารถ "เหาะเหินเดินอากาศ" ได้ เดินทางไป "ภพภูมิอื่น" ก็ได้ หรือแม้กระทั่ง... ทำตนเองให้บริสุทธิ์หลุดพ้น "หมดกิเลส" ก็ยังได้
TIME Magazine "พาดหัว" ไว้อย่าง "น่าทึ่ง" ว่า ...
"นักวิทยาศาสตร์" ก็ "ศึกษาวิจัย" เรื่องสมาธิ...
"แพทย์" ก็ "เชียร์" ให้นั่งสมาธิ...
"ชาวอเมริกัน...นับสิบล้านคน" ก็ "นั่งสมาธิ... ทุกวัน" แม้ว่าส่วนใหญ่ไม่ได้มี "ดวงแก้ว" ไว้ในครอบครองก็ตาม (ตรงนี้ "นักเรียนอนุบาลฝันในฝันวิทยา" จะ "ได้เปรียบ" เพราะว่ามีดวงแก้วกันทุกๆ คน)...
ถามว่า.... "นั่งกันไปทำไม?" ตอบว่า... "ก็มันดีน่ะสิ"
ต่อจากนี้ไป เราจะได้ติดตามเนื้อหาของนิตยสาร TIME Magazine ว่ามีเหตุอะไรที่ทำให้บรรณาธิการนิตยสารพี่เบิ้มของโลก นำเรื่อง "Meditation" มาตีแผ่ ราวกับว่าเป็น "การค้นพบอันยิ่งใหญ่ทางวิทยาศาสตร์" ที่พบสิ่งมีชีวิตอยู่บนดาวอีกดวง ซึ่งสรุปได้ดังนี้...
ในสหรัฐอเมริกา คนอเมริกันสิบล้านคน นั่งสมาธิอย่างสม่ำเสมอ เป็นสองเท่าของสิบปีก่อน สถานที่หลายแห่งในสหรัฐอเมริกา เช่น ที่นิวยอร์ก เปลี่ยนเป็นที่นั่งสมาธิหลายแห่ง จนคนเรียกแถบนั้นว่า เป็น แถบของชาวพุทธ นักเรียนนั่งสมาธิก่อนเข้าห้องเรียนทุกเช้า นักกฎหมาย นักธุรกิจ คนทำงานสาขาอาชีพต่าง ๆ นั่งสมาธิตามที่หน่วยงานของตนจัดให้นั่งอย่างสม่ำเสมอ ดาราภาพยนตร์ นักการเมือง นักเขียน ต่างก็นั่งสมาธิ แม้แต่นักโทษในคุกก็มีห้องนั่งสมาธิ ผู้พ้นโทษมาแล้วจะกลับเข้าคุกน้อยกว่าพวกที่ไม่ได้นั่ง คนไม่เชื่อเรื่องสมาธิกลายเป็นคนกลุ่มน้อยในสหรัฐอเมริกาไปเสียแล้ว คนเหล่านี้นั่งสมาธิ เพราะ ทำให้ร่างกายและจิตใจผ่อนคลาย สุขภาพดีขึ้น ชีวิตดีขึ้น ทำให้สร้างความสามัคคีปรองดองให้เกิดขึ้น
การนั่งสมาธิทำให้ร่างกายมีสภาวะเหมือนก่อนจะหลับแต่ไม่ได้หลับ มีสติรู้ตัวอยู่เสมอ และทำให้จิตใจสดชื่นแจ่มใส สมาธิยังช่วยขจัดความขัดแย้งในจิตใจ ทำให้ใจอยู่นิ่ง ท่ามกลางความสับสนว่าจะเอาอย่างไรดี เมื่ออยู่นิ่งแล้วจะเข้าใจสถานการณ์และเรื่องราวต่างๆ ได้ดีขึ้น ยอมรับมันด้วยความสงบและมีความสุขมากขึ้น และเป็นเหตุผลที่ทำให้แพทย์แห่งมหาวิทยาลัย ฮาร์วาร์ด เข้าใจว่า ทำไมมนุษย์ถึงนั่งสมาธิมาหลายพันปีแล้ว
แพทย์ก็แนะนำให้คนไข้นั่งสมาธิเป็นประจำและสม่ำเสมอมากขึ้น เพราะผลการทดลองทางวิทยาศาสตร์ จากการสแกนคลื่นสมอง พบว่า สมองจะมีระบบปิดกั้นเรื่องราวต่างๆ ไม่ให้เข้ามา และไม่ส่งเรื่องเข้าไปย่อยในส่วนลึกของเนื้อสมองอย่างเคย แต่ทำให้ระบบลิมบิค ซึ่งเป็นส่วนควบคุมด้านอารมณ์และความจำดีขึ้น ทำให้อัตราการเต้นของหัวใจ ลมหายใจ และการเผาผลาญในร่างกายเป็นปกติ
สมาธิช่วยทำให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันโรคได้มากขึ้น สามารถรักษาโรคร้ายแรงเรื้อรัง เช่น โรคหัวใจ เอดส์ มะเร็ง ความดันโลหิตสูง โรคใจสั่น
คนไข้โรคมะเร็ง เอดส์ และเจ็บปวดเรื้อรัง ๑๔,๐๐๐ คน ไม่ต้องกินยาแก้ปวด สมาธิยังรักษาจิตใจที่ปั่นป่วน กดดัน สมาธิสั้น วุ่นวายไม่อยู่นิ่งอีกด้วย
นอกจากนี้ พลังของสมาธิยังสามารถรักษาคนไข้ที่เป็นโรคผิวหนังอักเสบร้อนแดงให้มีผิวใสขึ้นเป็น ๔ เท่าของผู้ที่ไม่ได้นั่งสมาธิ
นักเขียนที่เคยกินยาแก้เครียดมาเกือบจะตลอดชีวิต เมื่อนั่งสมาธิก็ไม่จำเป็นต้องพึ่งยาอีกต่อไป
ผู้กำกับการแสดงและดาราภาพยนตร์ ฮอลลีวู้ด ก็นั่งสมาธิ ทำให้ลดความกดดันจากอาชีพและความเป็นคนดังมีชื่อเสียง และทำให้มีความสุขมากขึ้น รู้ตัวมากขึ้น มองเห็นสิ่งต่างๆ มากขึ้น พัฒนาบุคลิกภาพให้สง่างามและดูมีอำนาจมากขึ้น มองเห็นตัวเองได้มากขึ้น และรู้ว่าควรแก้ไขข้อบกพร่องของตัวเองได้อย่างไร เพียงแต่นั่งเงียบ และทำให้จิตใจสงบเท่านั้น
นักการเมืองที่มีชื่อเสียง เช่น ฮิลลารี คลินตัน พูดถึงสมาธิ อัล กอร์ นั่งสมาธิและแนะนำให้ทุกคนนั่งสมาธิด้วย
ไทมส์ ฉบับวันที่ ๔ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๔๖