วารสารอยู่ในบุญ ธรรมะออนไลน์

พระธรรมเทศนา ปุจฉา-วิสัชนา บทความข่าว ผลการปฏิบัติธรรม ตักบาตรพระ บาลีน่ารู้ กฏแห่งกรรม ฝันในฝัน บวชพระ

บทความอยู่ในบุญ ความลึกลับ : สิ่งที่วิทยาศาสตร์คาดไม่ถึง

ข้อคิดรอบตัว
เรื่อง : พระมหาสมชาย านวุฑฺโฒ (M.D.; Ph.D.) จากรายการข้อคิดรอบตัว ออกอากาศทางช่อง DMC

 

 

 

ความลึกลับ : สิ่งที่วิทยาศาสตร์คาดไม่ถึง

 

เรื่องเมืองลับแลหรือเรื่องภพซ้อนภพ มีจริงหรือไม่? 


    มีจริง ๆ ไม่ใช่อิงนิยาย สิ่งเหล่านี้มีอยู่จริง เราอย่าไปคิดว่า โลกเรานี้มีอยู่เท่าที่เราเห็น ความจริงมีมิติที่ซ้อนกันอีกมาก ในทางฟิสิกส์ยังพบมิติอีกหลายมิติ ปกติที่เราคุ้นก็คือ ๓ มิติ กว้าง ยาว สูง แกน x, y, z แต่ไอน์สไตน์บอกว่ามีมิติที่ ๔ คือ มีเรื่องเวลาเข้ามาด้วย เขาบอกว่า หากมองในแง่ของเอกภพแล้ว การพูดแค่ ๓ มิติ กว้าง ยาว สูง ไม่มีความหมายอะไรเลย เช่น ถามว่า ตอนนี้คุณหมูอยู่ที่ไหน คุณหมูบอกว่า ผมอยู่ในจุดที่ห่างจากกำแพงด้านข้าง ๒ เมตร ห่างจากกำแพงข้างหลัง ๑ เมตร และห่างจากพื้นขึ้นมา ๒๐ เซนติเมตร เรารู้สึกว่าเรารู้เรื่อง คือ รู้เรื่องเฉพาะในกรอบคือ ห้อง ๆ นี้ แต่ห้องนี้อยู่บนโลก ซึ่งโลก   หมุนรอบตัวเองตลอดเวลา หมุนเร็วด้วย วันเดียวหมุนไป ๔๐,๐๐๐ กม. เส้นรอบวงของโลกประมาณ ๔๐,๐๐๐ กม. แสดงว่าใน ๑ ชั่วโมง โลกจะต้องเคลื่อนที่เป็นระยะทางประมาณ ๑,๖๐๐ กม. ซึ่งเร็วกว่าความเร็วเสียงอีก แล้วโลกยังเคลื่อนที่รอบดวงอาทิตย์ในสุริยจักรวาล ส่วนสุริยจักรวาลก็เคลื่อนตัวอยู่ในกาแล็กซี              ทางช้างเผือก แล้วกาแล็กซีทางช้างเผือกยังมีการเคลื่อนตัวอยู่ในเอกภพนี้อีก 


    ดังนั้น การบอกแต่เพียงว่า คุณหมู       อยู่ห่างจากกำแพงด้านข้าง ๒ เมตร ด้านหลัง ๑ เมตร อยู่สูงจากพื้น ๒๐ เซนติเมตร ไม่มีความหมายอะไรเลย จะต้องบอกว่า ณ เวลาไหนด้วย เพราะพอเวลาเคลื่อนไปอีกแค่เสี้ยววินาที คุณหมูก็อยู่ห่างจากจุดเดิมไปอีกตั้งเป็นร้อย ๆ พัน ๆ เมตรแล้ว ไอน์สไตน์จึงบอกว่าทุกอย่างมีเวลาเข้ามาเกี่ยวด้วย นี่คือมิติที่ ๔ หลังจากนั้นนักฟิสิกส์ยังพบว่ามีมิติอื่น ๆ อยู่อีกมากมาย       ซึ่งเป็นมิติที่เราไม่เจอในภาวะปกติ 


    ที่เขาบอกว่าจักรวาลในเปลือกนัท (The Universe in a Nutshell) ก็คือ จากที่เล็ก ๆ   พอคลี่ออกมาเหมือนกับมีโลกที่กว้างใหญ่    ซ่อนอยู่ภายใน เป็นภพซ้อนภพอยู่ อย่าไปคิดว่าต้องมองเห็นถึงจะเชื่อ มองไม่เห็นไม่เชื่อ เพราะแม้แต่ทางวิทยาศาสตร์ปัจจุบันก็ยังมีสิ่งที่     เรามองไม่เห็นอีกมาก และกว่าเราจะทำความเข้าใจได้ก็ไม่ใช่ของง่าย ขึ้นอยู่กับทักษะการคิดวิเคราะห์จับประเด็นของแต่ละคนด้วย เพราะฉะนั้นสิ่งเหล่านี้มีอยู่ ถามว่ามันคืออะไร มีอะไรอยู่ในนั้น เป็นคนอย่างเราหรือเปล่า ตอบว่าไม่ใช่มนุษย์แบบเรา แต่เป็นชีวิตอีกแบบหนึ่ง เป็นอดีตมนุษย์ เช่น เป็นภุมเทวดา 


    เทวดามีหลายชั้น สวรรค์มีอยู่ ๖ ชั้น    ชั้นที่อยู่ใกล้มนุษย์ที่สุดคือชั้นแรก เรียกว่า     ชั้นจาตุมหาราชิกา ในชั้นนี้มีความหลากหลายมาก มีทั้งเทวดาที่อยู่ในวิมาน อยู่บนสวรรค์ ตัวสวรรค์เป็นวิมานโตใหญ่สว่างไสว และยังมีที่อยู่ใกล้มนุษย์เข้ามาอีก คือ พวกอากาศ-เทวดาที่มีวิมานลอยอยู่ในอากาศสูงจากพื้นประมาณ ๑ โยชน์ แต่เรามองไม่เห็นเพราะเป็นของละเอียด แล้วยังมีรุกขเทวดา วิมานอยู่ในต้นไม้ เป็นภพซ้อนภพ ต้นไม้ที่ลำต้นอาจจะแค่เส้นผ่าศูนย์กลางเมตรเดียว วิมานอาจจะใหญ่เป็นสิบเป็นร้อยเมตรก็ได้ แล้วของใหญ่ ๆ ไปอยู่ในต้นไม้เล็ก ๆ ได้อย่างไร มันเป็นของละเอียดซึ่งต่างจากของหยาบ ถ้าของหยาบ ของใหญ่ต้องอยู่ข้างนอก ของเล็กอยู่ข้างใน ถามว่าเป็นไปได้อย่างไร ให้ลองเอากระจกไปส่องดูตึกโต ๆ วางมุมดี ๆ เราจะเห็นตึกหลังใหญ่อยู่ในกระจก ภูเขาทั้งลูกยังอยู่ในกระจกได้เลย  


    แล้วที่ใกล้มนุษย์เข้ามายิ่งกว่ารุกขเทวดาก็คือ ภุมเทวดา อยู่บนพื้นเหมือนกับเรา อยู่ตามจอมปลวกบ้าง โขดหินบ้าง เนินดินบ้าง อยู่บนพื้นราบบ้าง แล้วบางที่เขาอยู่รวมกันเป็นหมู่บ้าน พวกนี้บุญเขาน้อยกว่าเทวดาที่มีวิมาน เลยไม่ได้มีวิมานใหญ่โตอย่างนั้น แต่เป็นบ้านคล้าย ๆ มนุษย์  ส่วนที่ว่าเป็นเมืองลับแล   อะไรต่าง ๆ ก็ทำนองนี้ บางคนเข้าไปจังหวะเหมาะ ๆ ก็หลุดเข้าไปในมิตินั้นได้ หายแว็บเข้าไปอยู่ในนั้น แล้วเจอประสบการณ์มากมาย เช่น ทำไมบางคนเห็นผี บางคนไม่เห็น มันมีจังหวะของมันอยู่ จังหวะที่อารมณ์เหมาะ ๆ    ก็เห็นขึ้นมา ในโลกยังมีสิ่งที่เราไม่รู้อีกมาก     ใครที่ถือว่าวิทยาศาสตร์คือสุดยอด อะไรที่วิทยาศาสตร์อธิบายไม่ได้ ฉันไม่เชื่อ อย่าเพิ่ง ๆ ยังมีเรื่องที่เรายังไม่เข้าใจอีกมาก พระพุทธเจ้าตรัสว่า เรื่องที่เป็นอจินไตยยังมีอีกมาก ให้   เปิดใจศึกษา รับรู้รับฟัง แล้วเราจะเจออะไรดี ๆ อีกมากมาย

 

ในทางพระพุทธศาสนากล่าวถึงเรื่องราวของสิ่งมีชีวิตนอกโลก เช่น มนุษย์ต่างดาว ไว้อย่างไร?


    ไม่ต้องสงสัยเลยว่ามนุษย์ต่างดาวมีจริงหรือเปล่า มีจริงแน่นอน พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า ในจักรวาลหนึ่ง ซึ่งก็คือกาแล็กซีหนึ่ง มีดวงดาวที่มีมนุษย์อยู่คล้าย ๆ โลกของเรา ๔ ดวง     โลกเราทั้งใบเรียกว่าชมพูทวีป มนุษย์มีใบหน้าเป็นรูปไข่ ชมพูทวีปไม่ใช่หมายถึงอินเดียเท่านั้น แต่หมายถึงโลกทั้งโลก และยังมีทวีปที่เรียกว่า อุตตรกุรุทวีป เป็นที่อยู่ของมนุษย์เหมือนเรา แต่ตัวใหญ่กว่าเราหน่อย โครงหน้าออกเป็นเชิงสี่เหลี่ยม มนุษย์ในอุตตรกุรุทวีปมีอายุสม่ำเสมอ คือ ๑,๐๐๐ ปี ผู้คนไม่เจ็บป่วย ไม่แก่ อยู่จนครบ ๑,๐๐๐ ปี ก็เสียชีวิตเหมือนนอนหลับไป ตายแล้วไม่ต้องมีพิธีศพด้วย แค่เอาผ้ามาห่อศพวางไว้ แล้วจะมีนกหัสดีลิงค์   ซึ่งมีศีรษะคล้าย ๆ ช้างมาโฉบไป ที่นั่นจึงไม่มีหลุมฝังศพ เวลาแม่คลอดลูกก็สบาย ไม่เจ็บ ถึงเวลาก็คลอดปรื๊ดออกมา ไม่ปวดเลย เด็กเลี้ยงง่ายด้วย เกิดมาไม่กี่วันโตแล้ว เวลาหิวนม ผู้ใหญ่ยื่นนิ้วมือให้ปุ๊บ เด็กดูดจุ๊บ ๆ น้ำนมจากนิ้วมือผู้ใหญ่เข้าปากเลย แล้วคนที่นี่ไม่ต้องทำมาหากิน เพราะมีต้นกัลปพฤกษ์ อยากได้อะไรไปนึกเอา ข้าวสาลีก็ไม่มีเปลือก เกิดปุ๊บโตปั๊บ ไม่ต้องเสียเวลาหุงหาด้วย เพราะมีหิน   ที่พอเอาข้าวสาลีมาวางจะมีความร้อนขึ้นมา   จนข้าวสุก และไม่ต้องหากับข้าว เพราะข้าวอร่อย มีโอชารส มีสารอาหารครบครัน คนทวีปนี้มี ศีล ๕ ครบ ไม่มีโจรขโมย อยากได้อะไรก็นึกเอา เดี๋ยวมาเอง มีอะไรก็เอื้อเฟื้อแบ่งปันกัน ผิวพรรณคนทวีปนี้มีรัศมีเรื่อ ๆ เรือง ๆ ผู้หญิงทวีปนี้สวยมาก เป็นนางแก้ว สวยตลอดกาล เกิดมา พอโตแล้วอยู่อย่างนั้น ไม่เจ็บ ไม่แก่ ไม่มีโรคอ้วน ทุกอย่างพอดิบพอดี ทำให้พระเจ้าจักรพรรดิหลาย ๆ องค์ไปเอามเหสีมาจากอุตตรกุรุทวีป ให้เทวดาเอามาให้บ้าง ไปด้วยจักรแก้วบ้าง 


    ส่วนมนุษย์ในปุพพวิเทหทวีปก็สวย โครงหน้าออกงอน ๆ หน่อย หน้าผากนูน งอนขึ้นมานิด ๆ ออกเป็นเชิงสามเหลี่ยมหน่อย ๆ ส่วนอมรโคยานทวีปหรืออปรโคยานทวีป มนุษย์มีใบหน้าออกกลม ๆ อายุเฉลี่ยประมาณ ๕๐๐ ปี แต่ชมพูทวีปหรือโลกที่เราอยู่นี้ มนุษย์มีอายุเฉลี่ยต่ำสุด ๑๐ ปี จนถึงอสงไขยปี แล้วเป็นโลกที่มีทั้งคนดีสุด ๆ ขนาดพระเจ้าจักรพรรดิหรือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และคนที่แย่สุด ๆ ขนาดธรณีสูบ มีครบทุกอย่างอยู่ในชมพูทวีป 


    เพราะฉะนั้นให้รู้ไว้ว่า เฉพาะกาแล็กซีทางช้างเผือกยังมีดวงดาวที่มีมนุษย์อยู่คล้าย ๆ โลกเราอีก ๓ ดวง และยังมีดาวเคราะห์น้อย   ที่มีมนุษย์อยู่ เป็นดาวที่เล็กลงมาคล้าย ๆ     ดวงจันทร์อีก ๒,๐๐๐ ดวง ไม่ใช่น้อย ๆ เลย แต่เนื่องจากกาแล็กซีใหญ่มาก ตอนนี้เทคโนโลยีอวกาศของมนุษย์จึงเดินทางไปได้แค่ดวงจันทร์ ดาวอังคาร แต่จะไปถึงดาวเคราะห์ที่ไกลหน่อย เช่น ดาวพฤหัส ดาวเสาร์ เริ่มยากขึ้นไปเรื่อย ๆ ยังไม่ต้องพูดถึงการเดินทางข้ามสุริยจักรวาล เรายังเหมือนกับเป็นเด็กอนุบาลที่เพิ่งฝึกหัด    ในจักรวาลอันกว้างใหญ่ไพศาล ขอให้รู้เถิดว่ามนุษย์ต่างดาวมีแน่นอน รอแค่เพียงว่า เมื่อไรเทคโนโลยีของมนุษย์จะไปถึง เราจะได้รู้เห็น ซึ่งในช่วงชีวิตเราวิทยาศาสตร์คงก้าวไม่ทัน   จุดนั้นแน่ ๆ แต่ถ้าใครอยากรู้มีวิธี ให้นั่งสมาธิ ตั้งใจปฏิบัติธรรม แล้วเราก็จะมีสิทธิ์ไปรู้ไปเห็น        สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ได้


คำว่าอจินไตยหมายถึงอะไร?  


    อจินไตย แปลว่า เรื่องที่ไม่ควรคิด เพราะเกินภูมิปัญญาของมนุษย์ที่จะใช้ความคิดปกติไปคิดได้ คิดแล้วจะมีส่วนแห่งความเป็นบ้า การตั้งประเด็นปัญหา รวบรวมข้อมูล ทดลอง วิจัย สุดท้ายก็สรุป ใช้ไม่ได้กับเรื่องอจินไตย 


    สิ่งที่เป็นอจินไตยมีทั้งหมด ๔ เรื่องใหญ่ ๆ คือ


    ๑. พุทธวิสัย คือ เรื่องที่เป็นเรื่องใหญ่   ของพระพุทธเจ้า เช่น พระพุทธเจ้าทรงมี     พระสัพพัญญุตญาณ ทรงรู้แจ้งโลก มนุษย์เราทั่วไปเป็นคนมีปัญหา เมื่อมีปัญหาแล้วไม่รู้     คำตอบก็ต้องพยายามแสวงหาคำตอบ กว่าจะ  ได้คำตอบบางทีเป็นปี บางทีเป็นสิบเป็นร้อย      เป็นพันปี หาทั้งชีวิตก็ไม่เจอ แต่พระพุทธเจ้าไม่ใช่ สำหรับพระองค์คำตอบมีมากกว่าคำถาม เวลามีใครถามปัญหา ถามปุ๊บพระองค์ทรงตอบทันที ไม่ต้องเสียเวลาวิเคราะห์วิจัย เพราะ   ทรงมีพระสัพพัญญุตญาณ รู้แจ้งสรรพสิ่ง ในเวลาเสี้ยววินาที ทรงระลึกชาติของสรรพสัตว์ทั้งหลายได้ล้านชีวิต ล้านชาติ คือ แต่ละคนรู้เป็นล้าน ๆ ชาติ เรื่องนี้เราจะมาคิดด้วยเหตุผลธรรมดาไม่มีทางคิดออก เพราะเป็นพุทธวิสัย  


    ๒. ฌานวิสัย คือ วิสัยของผู้มีฌาน เช่น การเหาะได้ เราคิดออกไหม ตามปกติต้องมี       แรงโน้มถ่วง ถ้าไม่มีเครื่องบิน ไม่มีจรวด แล้วเหาะไปได้อย่างไร แต่ท่านเหาะไปแล้ว หรือการหายตัวก็เหมือนกัน หายตัวไปได้อย่างไร อยู่ ๆ เดินทะลุกำแพงไปได้อย่างไร คิดหา   เหตุผลให้หัวแตกก็คิดไม่ออก ท่านบอกว่า    อย่าไปคิด คิดแล้วจะมีส่วนแห่งความเป็นบ้า เป็นวิสัยของผู้มีฌานสมาบัติ ไม่ต้องถึงขนาดพระพุทธเจ้าหรอก 


    ๓. กรรมวิสัย คือ วิสัยของกฎแห่งกรรมการให้ผลของกรรมซับซ้อนมาก บางคนนึกว่าการทำกรรมดีเหมือนมีเงินฝาก ทำกรรมชั่วเหมือนถอนเงินมาใช้ มีตัวแดงขึ้น ถึงคราวหลับตาลาโลก ก็เอาตัวดำตัวแดงมาเทียบกันดู ถ้าตัวดำเยอะ บุญมากกว่าบาปก็คงไปสวรรค์ ถ้าตัวแดงเยอะ บาปมากกว่าบุญก็คงไปนรก แต่ในความเป็นจริงการให้ผลของกรรมไม่ได้ง่ายอย่างนั้น บางคนเคยทำบาปกรรมมามาก แต่ก่อนตายมีพระมาโปรด จิตก็เลยผ่องใสไปสวรรค์ก่อน แต่บาปกรรมที่ทำไว้ก็ไม่ได้หายไปไหน เมื่อไรผลบุญตรงนั้นหมด จากเทวดาไม่ได้มาเกิดเป็นคนนะ สามารถตกนรกได้เลย เรื่องของกรรมมีความซับซ้อน ทั้งกรรมดีกรรมชั่วอยู่ในใจของเรา รอจังหวะแสดงผล


    ถ้ากรรมชั่วแสดงผลก็เหมือนระเบิดเวลา ตูมขึ้นมาก็เกิดเหตุเภทภัย บางทีถึงขั้นเสียชีวิต บางคนทำดีมาตลอดทำไมอยู่ ๆ เกิดอุบัติเหตุตาย หรือถูกลงโทษกลั่นแกล้งจนตาย ทำไม   ทำดีไม่เห็นได้ดี บางคนคิดอย่างนี้ สิ่งที่เขาเจอแม้ไม่สมควรแก่เหตุในปัจจุบัน แต่สมควรแก่กรรมที่เขาเคยทำมาในอดีต เพราะในอดีตเขาเคยทำกรรมไม่ดีเอาไว้ ถึงคราวพอระเบิดตูมเกิดเรื่องเลย ถ้าเราจะไปคิดเรื่องกรรมแล้วละก็ เป็นบ้าเปล่า เพราะมันซับซ้อนมาก จะเข้าใจเรื่องนี้ได้ต้องตั้งใจนั่งสมาธิจนกระทั่งเกิด   ญาณทัสนะ แล้วไปดูตอนนั้นถึงจะเข้าใจ ไม่ใช่รู้ด้วยจินตมยปัญญาหรือปัญญาจากความคิด แต่เข้าใจด้วยภาวนามยปัญญา คือ ปัญญา   จากการทำสมาธิภาวนาที่เรียกว่ารู้แจ้ง ถึงจะเข้าใจสิ่งเหล่านี้ได้ 


    ๔. โลกวิสัย คือ เรื่องของโลก เช่น โลกนี้โลกหน้ามีไหม นรกสวรรค์มีจริงหรือเปล่า เป็นต้น คิดให้หัวแตกก็คิดไม่ออก ถ้าอยากรู้ต้องนั่งสมาธิจนเกิดญาณทัสนะแล้วค่อยไปดู 


    ทั้งหมด ๔ หัวเรื่องใหญ่นี้เป็นเรื่องที่     ไม่ควรคิด คิดแล้วจะมีส่วนแห่งความเป็นบ้า ให้ตั้งใจประพฤติปฏิบัติธรรมจนเกิดญาณทัสนะ จึงจะไปรู้ไปเห็นได้  

 

อีกนานไหมที่วิทยาศาสตร์จะก้าวตามทันพุทธศาสตร์?


    พุทธศาสตร์ คือ เรื่องที่ว่าด้วยความจริงของโลกและชีวิตทั้งหมด ถามว่าเมื่อไรวิทยาศาสตร์จะทันพุทธศาสตร์ ก็ต้องบอกว่า เมื่อวิทยาศาสตร์สามารถรู้ทุกอย่างโดยไม่เหลือข้อคลางแคลงใด ๆ อีกเลย ซึ่งคงอีกนานมาก ๆ และความจริงก็คือ วิทยาศาสตร์พยายามศึกษาเรื่องราวต่าง ๆ ด้วยความคิด ด้วยเหตุผล ด้วยจินตมยปัญญา หรือปัญญาขั้นที่สอง (ปัญญาขั้นแรกเกิดจากการฟัง เรียกว่าสุตมยปัญญา) ซึ่งไม่มีทางที่จะรู้แจ้งสรรพสิ่งได้ แต่ปัญญา    ขั้นที่สามหรือภาวนามยปัญญา คือปัญญาที่  เกิดจากการทำสมาธิภาวนาจะสามารถรู้แจ้งสรรพสิ่งได้ 


    สรุปได้ว่าเมื่อวิทยาศาสตร์ก้าวหน้า     มากขึ้น เราจะเข้าใจโลกและชีวิตมากขึ้น และความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์จะพิสูจน์ว่า     สิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้เป็นความจริงมากขึ้น      เรื่อย ๆ อย่างไรก็ตาม วิทยาศาสตร์ไม่มีวัน      ทันพุทธศาสตร์โดยบริบูรณ์ได้เลย ได้แค่      เข้าใกล้มากขึ้นกว่าเก่าเท่านั้นเอง

 

 

 

 

บทความนี้ ถูกใจคุณหรือไม่ + -

บทความอยู่ในบุญทั้งหมด ฉบับที่ ๑๕๖ เดือนตุลาคม ๒๕๕๘

สิ่งดีๆมีไว้แบ่งปัน อะไรดีๆมีอีกเยอะ กด Like facebook กัลยาณมิตร

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล