หลวงพ่อตอบปัญหา
เรื่อง : หลวงพ่อทัตตชีโว
หลวงพ่อตอบปัญหา
ถาม : ถ้าเรารักตัวเอง อยากจะพัฒนาชีวิตตัวเองให้ดีขึ้น ควรเริ่มต้นจากตรงไหน อย่างไร ?
ตอบ : เมื่อคิดจะพัฒนาตนเองให้ดีขึ้น ต้องรู้จักตนเองให้ชัดก่อน จึงจะรู้ว่า จริง ๆ แล้วชีวิตเราต้องการอะไร เรามีความดีอะไร และมีความบกพร่องตรงไหน ที่จะต้องแก้ไขและพัฒนาให้ดีขึ้น วิธีมองตนเองให้เห็นตัวเอง แล้วพัฒนาตนเองได้จริง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอนไว้ โดยในเบื้องต้นให้คนเราพินิจพิจารณาความจริงของชีวิต ซึ่งมีความจริงว่า
ชะราธัมโมมหิ ชะรัง อะนะตีโต เรามีความแก่เป็นธรรมดา ยังไม่ล่วงพ้นความแก่ไปได้,
พยาธิธัมโมมหิ พยาธิง อะนะตีโต เรามีความเจ็บเป็นธรรมดา ยังไม่ล่วงพ้นความเจ็บไปได้,
มะระณะธัมโมมหิ มะระณัง อะนะตีโต, เรามีความตายเป็นธรรมดา ยังไม่ล่วงพ้นความตายไปได้,
เราแต่ละคนต่างก็มีความแก่ ความเจ็บ ความตายเป็นธรรมดา เราเกิดมาแล้วไม่ได้มีชีวิตอยู่ยืนยาวไปตลอด เดี๋ยวก็แก่ เดี๋ยวก็เจ็บ เดี๋ยวก็ตาย แล้วความตายก็ไม่มีเครื่องหมายบอกเตือนให้รู้ล่วงหน้า ส่วนความแก่นั้นเริ่มต้นมาตั้งแต่วินาทีแรกที่เราคลอด พอเราคลอดปุ๊บ เท่ากับนับถอยหลังแล้วว่า จากวินาทีนี้ไปเชิงตะกอนรออยู่แล้ว รู้ว่าวันหนึ่งจะได้มีโอกาสใช้เมื่อพิจารณาความจริงของชีวิตอย่างนี้แล้ว จะรู้ว่าเรามีเวลาไม่มาก การดำเนินชีวิตนี้จะประมาทไม่ได้
สัพเพหิ เม ปิเยหิ มะนาเปหิ นานาภาโว วินาภาโว, เราจะต้องพลัดพรากจากของรักของชอบใจด้วยกันหมดทั้งสิ้น,
สมบัติอะไรต่อมิอะไรที่เราหามาได้ในโลกนี้ ให้รู้ว่าสักวันหนึ่งก็ต้องมีอันพลัดพรากจากกันไป ไม่มีใครหรืออะไรที่จะอยู่กับเราไปได้ตลอด พิจารณาความจริงอย่างนี้แล้ว ความตระหนี่หวงแหนใด ๆ จะได้ลดน้อยถอยลง และรู้จักตัดออกไปจากใจได้ เพราะฉะนั้นสมบัติอะไร ก็เอาแต่พอควร ไม่ลุ่มหลงทุ่มเทสะสมของพวกนี้มากเกินไป
กัมมัสสะโกมหิ กัมมะทายาโท, เรามีกรรมเป็นของตน เป็นทายาทแห่งกรรม,
ทุกอย่างที่เราทำมีผลที่จะตามมาเกิดแก่เรา ทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับเราเป็นผลมาจากการกระทำที่เราทำไว้ก่อนหน้านี้ เราเป็นทายาทคือเป็นผู้ได้รับมรดกของกรรมนั้น
กัมมะโยนิ กัมมะพันธุ, มีกรรมเป็นกำเนิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์,
มีกรรมเป็นกำเนิด หมายความว่า ถึงวันหนึ่งเราก็ต้องลาโลกนี้ไป ส่วนจะไปถือกำเนิด หรือไปเกิดในที่ใดต่อไปนั้น ขึ้นกับกรรมที่เคยทำไว้นำไป ตราบใดที่กิเลสในตัวยังไม่หมด ยังไปไม่ถึงนิพพาน ผลของกรรมดีหรือบุญที่เราได้สะสมไว้ทุกวันจะพาเราไปเกิดในสุคติ คือ โลกมนุษย์หรือโลกสวรรค์ ซึ่งจะประณีตมากหรือน้อย ก็แล้วแต่กำลังบุญ ถ้าบาปที่ทำไว้มีกำลังมากกว่าบุญ บาปก็จะส่งผลนำไปเกิดในทุคติภูมิต่าง ๆ อาจจะเป็นสัตว์เดรัจฉาน เปรต อสุรกาย สัตว์นรก แล้วแต่กำลังบาปที่ทำมาส่งผล
มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ นอกจากกรรมนำให้เราไปเกิดในที่ต่าง ๆ กันแล้ว ยังเลือกให้ด้วยว่าจะไปเกิดอยู่กับใคร เรามีกรรมใกล้เคียงกับใคร ก็ไปอยู่ด้วยกับคนที่มีกรรมประเภทเดียวกันนั้น มีกรรมประเภทที่เป็นบุญ ก็ไปอยู่กับคนที่ชอบทำบุญ ถ้ามีกรรมเป็นประเภทบาปก็ไปอยู่ด้วยกันกับคนที่ชอบทำบาป
ในสุคติโลกสวรรค์ ที่อยู่ของผู้มีบุญนำไปเกิดก็ยังมีหลาย ๆ ชั้นต่างกันไปตามรายละเอียดของบุญที่ทำไว้ ทำกรรมดีไว้ทั้งทาน ศีล ภาวนาอย่างเต็มที่ ก็อยู่ที่สวรรค์ชั้นดุสิต ถ้าทำกรรมดีโดยเฉพาะทาน ก็มีที่อยู่ที่ชั้นจาตุมหาราชิกา ถ้าทำกรรมดีไว้ทั้งทานและศีลก็ไปอยู่แถวชั้นดาวดึงส์ ถ้าทำกรรมดีไว้ทั้งทาน ศีล สมาธิก็นั่งบ้าง เช่น ยามมีทุกข์ก็นั่ง ถ้าไม่มีทุกข์ ก็ปล่อยเพลิดเพลินไปบ้าง ก็ไปอยู่สวรรค์ชั้นยามา เป็นต้น
กัมมะปะฏิสะระโณ, มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย,
มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย เมื่อละโลกนี้ไปแล้ว แม้ได้ไปสู่สุคติโลกสวรรค์ ความเป็นอยู่ในโลกสวรรค์ก็อาศัยบุญที่ทำไว้ยามมีชีวิตไปเป็นเครื่องหล่อเลี้ยงในสวรรค์ชั้นต่าง ๆ เหล่านั้น แม้เป็นเทวดาก็ต้องกินอาหาร แต่เป็นอาหารทิพย์ ซึ่งอาหารทิพย์ล้วนเกิดขึ้นด้วยผลบุญที่เจ้าตัวทำบุญทำทานเอาไว้ตอนมีชีวิตทั้งสิ้น จึงเรียกว่ามีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย ใครสร้างบุญมาดี ก็มีอาหารทิพย์รสเลิศ มีวิมานสวยงามตระการตา มีบริวารมากมายคอยดูแลรับใช้เป็นที่พออกพอใจ มีเครื่องประดับรับรองเกียรติยศ
ถ้ายามมีชีวิตในโลกมนุษย์ชอบทำบุญจัดดอกไม้บูชาพระรัตนตรัย ถวายหลวงพ่อหลวงพี่สร้างบรรยากาศในการฟังเทศน์ฟังธรรม พวกนี้ก็กลายมาเป็นเครื่องประดับในทิพยวิมานของเรา เมื่อเห็นก็ให้ความชื่นใจ ทำให้ระลึกนึกถึงบุญที่ทำไว้ตอนเป็นมนุษย์ได้อีก ความปลื้มในบุญก็ทับทวี กรรมที่เป็นบุญเหล่านั้นเป็นที่พึ่งอาศัย คือ เป็นสิ่งแวดล้อมที่ดีให้เราได้อย่างนี้
คนเราจะอายุสั้นหรืออายุยืนก็ขึ้นอยู่กับบุญที่ทำเอาไว้ คนเราบางคนตายเพราะหมดบุญ บางคนตายเพราะหมดอายุบ้าง บางคนหมดบุญก่อนทั้งที่ยังไม่หมดอายุ บางคนยังหนุ่มยังสาวอยู่ยังไม่หมดอายุ เพราะตัวถังคือร่างกายนี้ยังอยู่ได้อีกนาน แต่ว่าพอดีบุญหมดเสียก่อน จึงตายตั้งแต่อายุยังน้อย
บุญเป็นอาหารของมนุษย์ แต่เป็นอาหารใจเช่นเดียวกับที่เป็นอาหารของเทวดา คนเรามี ๒ ส่วน คือ กายกับใจ ข้าวเป็นอาหารหล่อเลี้ยงกาย บุญที่ทำไว้ ก็เป็นอาหารสำหรับหล่อเลี้ยงใจ
รถจะแล่นไปได้ต้องมีอาหาร ๒ ส่วน คือ น้ำมันเชื้อเพลิงส่วนหนึ่งและไฟฟ้าในแบตเตอรี่อีกส่วนหนึ่ง ถ้ามีน้ำมันแต่ไม่มีไฟฟ้าในแบตเตอรี่ รถก็ไม่แล่น มีไฟฟ้าเต็มแบตเตอรี่ แต่ไม่ได้เติมน้ำมัน รถก็แล่นไปไม่ได้เช่นกัน ต้องมีครบทั้งสองอย่าง รถจึงจะแล่นไปตามที่ต้องการได้
คนก็เช่นกัน กินข้าวได้แต่ว่าบุญหมดก็ต้องตาย ถ้ายังมีบุญแต่ไม่ยอมกินข้าวก็ต้องตายเหมือนกัน ต้องมีครบ ๒ ส่วน ชีวิตจึงจะดำรงอยู่ได้
มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัยที่กล่าวข้างต้น คือ มีบุญเป็นที่พึ่งอาศัย ส่วนมีบาปเป็นที่พึ่งอาศัยก็มีเช่นกัน เคยเห็นไหมบางคนอายุยืน แต่ว่านอนร้องโอย ๆ อยู่บนเตียง นอนมาเป็น ๑๐ ปี เป็นง่อยบ้าง เป็นขี้เรื้อนบ้าง เป็นอัมพาตบ้าง ลุกก็ไม่ขึ้นแต่ว่าไม่ตาย อย่างนี้เป็นผลของบาปเลี้ยง บาปกรรมที่ทำไว้ในอดีตตามมาส่งผลเลี้ยงไว้ให้ไม่ตาย แต่อยู่ด้วยความเดือดร้อนทนทุกข์ทรมาน
คนเรามีกรรมทั้งที่เป็นบุญเป็นบาปเป็นที่พึ่งอาศัยของคนคนนั้น ใครทำบาป บาปก็เลี้ยง ใครทำบุญ บุญก็เลี้ยง คนมีอายุยืนมี ๒ จำพวก อายุยืนเพราะบาปก็มี แม้มีชีวิตยืนยาวแต่อยู่ไม่เป็นสุข ขณะที่คนมีบุญ อายุยืนและสุขภาพพลานามัยแข็งแรงดี เรื่องเลวร้ายนึกไม่ออก นึกได้แต่เรื่องดี ๆ ตื่นเช้าขึ้นมาก็คิดแต่จะสร้างบุญสร้างกุศลกันไป ขณะที่อีกคนตื่นขึ้นมา ก็คิดที่จะก่อกรรมก่อเวรให้วุ่นวายกันไป ขึ้นอยู่ว่าใครจะเลือกทำอย่างไร
ยัง กัมมัง กะริสสามิ, เราทำกรรมใดไว้
กัลยาณัง วา ปาปะกัง วา, ดีหรือชั่วก็ตาม
ตัสสะ ทายาโท ภะวิสสามิ, เราจะต้องเป็นผู้รับผลของกรรมนั้น.
ตรงนี้ดูให้ดี กรรมนอนหัวค่ำและตื่นเช้ามืดกับกรรมนอนดึกและตื่นสายไม่เหมือนกันนะ ทำเป็นเล่นไป ใครลุกขึ้นมาตักบาตรทุกเช้า ๆ ไม่เคยขาด ได้บุญสั่งสมไปทุกวัน ๆ บุญนั้นก็จะเป็นสายสมบัติติดตามเราไปทุกภพทุกชาติ แต่ใครที่ตื่นสายนอนตาแฉะ ก็หมดโอกาสสั่งสมบุญในตอนเช้าของแต่ละวันไป
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอนให้ดูความแก่ ความเจ็บ ความตาย ความพลัดพราก แล้วให้ดูกรรมที่ตัวทำตั้งแต่ตื่นเช้าจนกระทั่งเข้านอน ต้องทบทวนดูกรรมคือบุญบาปที่ตัวทำเอาไว้ ต้องเตือนตัวเองอย่างนี้ จึงจะเป็นผู้ให้โอกาสตัวเองได้พัฒนาตนเองได้จริง