หลวงพ่อตอบปัญหา
เรื่อง : หลวงพ่อทัตตชีโว
คำถาม : เวลาพระให้พร ท่านให้อะไร และผู้ทำบุญได้อะไรจากการรับพรนั้น ?
คำตอบ : คำว่า “พร” มาจากคำว่า “วร” เป็นคำคำเดียวกับคำว่า “พระ” ซึ่งแปลว่า “ประเสริฐ”
ดังนั้น ให้พร ก็คือ ให้ความประเสริฐ
ความประเสริฐของพระอยู่ตรงไหน แตกต่างอย่างไรกับความประเสริฐของคน เพราะความจริงแล้วทุกคนเกิดมาแล้วก็ต้องแก่ เจ็บ ตาย เหมือนกันทั้งนั้น ไม่ว่าจะอยู่บ้านหรืออยู่วัด
ความประเสริฐของมนุษย์นั้น อยู่ที่การปราบกิเลสในตัวได้มากเท่าไร ก็เป็นความประเสริฐของผู้นั้นมากเท่านั้น
กิเลสที่ฝังอยู่ในใจเราคอยบีบคั้นให้ทำกรรมชั่ว เพื่อนมนุษย์ทั่วทั้งโลกก็มีกิเลสฝังอยู่ในใจ คอยบีบคั้นใจให้ทำกรรมชั่วเช่นเดียวกัน ถ้าปล่อยตัวปล่อยใจตามอำนาจกิเลส ก็จะทำให้ความคิดตกอยู่ใต้อำนาจความโลภ ความโกรธ ความหลง แล้วคำพูด การกระทำ ที่เป็นผลจากความคิดนั้น ก็พูด ทำ ด้วยอำนาจของความโลภ ความโกรธ ความหลง แล้วความชั่วต่าง ๆ ก็เกิดตามมา นิสัยไม่ดีต่าง ๆ ก็จะเกิดตามมา
ในทางตรงกันข้าม ใครตั้งใจฝืนกระแสกิเลส ไม่ทำตามอำนาจกิเลสในตัว และไม่ทำตามอำนาจกิเลสของเพื่อนมนุษย์ที่เป็นกระแสอยู่นอกตัว บาปก็ไม่เกิด ความชั่วใด ๆ ก็ไม่เกิด แต่บุญเกิด เมื่อบุญเกิดขึ้นมากเพียงใด ใจก็ผ่องใสมากขึ้นเพียงนั้น แล้วความผ่องใส ความสว่างที่เกิดขึ้นนี้มากเท่าใด ก็จะกำจัดกิเลสที่ห่อหุ้มหมักดองใจได้มากเท่านั้น นิสัยไม่ดีต่าง ๆ ก็จะถูกทำลายไปด้วย นิสัยดี ๆ ก็จะเกิดขึ้นมาแทน
ท่านจึงสรุปว่า ความประเสริฐคือการฝืนใจไม่ทำตามอำนาจกิเลส ซึ่งมีผลทำให้กิเลสถูกทำลายไปด้วย เป็นกรรมดี แล้วมีสิ่งที่เกิดตามมาก็คือ ใจอยู่ในตัวไม่หนีเที่ยว บุญก็เกิด นิสัยดี ๆ เพิ่มพูนขึ้น
ความประเสริฐของพระนั้นอยู่ตรงที่แม้ยังไม่หมดกิเลส แต่รู้ว่าตัวเองยังดีไม่พอ แล้วก็รู้ด้วยว่าวิธีแก้ไขจะต้องอาศัยคำสอนของท่านผู้รู้จริง คือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า นำมาเป็นแม่บทในการแก้ไขตนเอง จึงตั้งใจบวชเพื่อจะปราบกิเลสตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสั่งสอนเอาไว้
ครั้นเมื่อบวชมาศึกษาคำสอนของพระพุทธองค์แล้ว ก็ลงมือทำตามด้วยการควบคุมกาย วาจา ไม่ให้ก่อความเดือดร้อนให้แก่ผู้อื่น และไม่ก่อความเดือดร้อนให้แก่ตัวเอง ด้วยการรักษาศีลตามคำสอนของพระองค์
ต่อมาก็ตั้งใจฝึกสมาธิ ควบคุมตัวเองให้มีสติสัมปชัญญะอยู่ตลอดเวลา แม้ในความคิดก็เลือกคิดแต่สิ่งที่ดีงาม
จากนั้นก็ตั้งใจพากเพียรพยายามศึกษาคำสอนของพระองค์ให้เข้าใจถ่องแท้ และเพียรพยายามแก้ไขความประพฤติทางกาย ทางวาจา ทางใจมาตามลำดับ ๆ ตัวเองปราบความไม่ดีไปถึงไหนก็รู้ตัวเอง เหลืออีกเท่าใดก็รู้
สิ่งเหล่านี้เป็นความประเสริฐมาตามลำดับของพระ จากความประเสริฐเหล่านี้ทำให้หมดความทุกข์ หมดกิเลส หมดความไม่ดีไม่งามต่าง ๆ ไปตามลำดับ แล้วความรู้จริง ความเข้าใจถูกต้องเรื่องโลกและชีวิต ก็เพิ่มพูนขึ้นมาโดยลำดับ ทำให้ตัวเองไม่เป็นพิษเป็นภัยกับใคร และไม่เป็นพิษเป็นภัยต่อตัวเองด้วย
ยิ่งไปกว่านั้น แม้ยังเทศน์อบรมใครไม่ได้ แต่อย่างน้อยที่สุดการดำเนินชีวิตที่เป็นอยู่แบบพระ ก็แสดงให้ชาวโลกรู้ได้ว่าจริง ๆ แล้วชีวิตคนเราไม่ต้องการอะไรมากนัก เพียงแค่ อาหาร วันละ ๒ มื้อ แต่ละมื้อปริมาณไม่มาก ไม่มีความจำเป็นจะต้องฉันเข้าไปมากกว่านั้น เสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม ที่เป็นของจำเป็นแก่ชีวิต ก็ไม่ใช้อะไรมาก เพียงไตรจีวร ๑-๒ ชุด ก็พอใช้แล้ว ไม่ต้องการเสื้อผ้ามากเป็นตู้ ๆ ที่อยู่อาศัย ก็ไม่จำเป็นต้องโอ่โถงตกแต่งวิจิตรพิสดารอะไรมาก เรื่องป่วยไข้ โอกาสจะป่วยก็ยาก เพราะไม่ได้ถล่มทลายสังขารตัวเอง มีความระมัดระวังไม่เอากายไปทำความล่วงล้ำก้ำเกินใคร พยายามที่จะรู้ประมาณในความสะดวกความสบาย ไม่ให้เกินไป ไม่เอาแต่ใจจนเกินไป ความป่วยไข้จึงยากจะเกิด ถ้าจะมีความป่วยไข้ก็มักจะเกิดจากผลกรรมในอดีตที่ตามมา ก็เป็นเรื่องที่ต้องทนกัน แต่กรรมใหม่ก็พยายามทำดีที่สุด ไม่สร้างกรรมชั่วขึ้นมาอีก
สิ่งเหล่านี้เป็นความประเสริฐทางพฤติกรรมที่แสดงออกมาให้โลกภายนอกได้เห็น ได้ถือเป็นตัวอย่างในการดำเนินชีวิต เพราะชีวิตพระทำให้แยกออกได้ง่ายว่า อะไรคือความจำเป็นที่ขาดไม่ได้ และอะไรคือความต้องการเพื่อช่วยอำนวยความสะดวกสบาย
โดยสรุป
ความประเสริฐของพระประการที่หนึ่ง อยู่ตรงที่ กำจัดกิเลสให้หมดไปตามลำดับ ๆ แม้ยังไม่หมดเด็ดขาด ก็ลดน้อยถอยลง
ความประเสริฐของพระประการที่สอง คือ กำจัดนิสัยไม่ดีไม่งามให้หมดไปพร้อม ๆ กับการกำจัดกิเลส และเพิ่มพูนนิสัยดี ๆ ขึ้นมา เหมือนเมื่อดวงอาทิตย์โผล่พ้นขอบฟ้า นอกจากกำจัดความมืดให้หมดไปแล้ว ก็ยังเพิ่มความสว่างให้แก่โลกด้วย
ชีวิตพระเมื่อปฏิบัติตามพระธรรมวินัย นอกจากฆ่ากิเลส ฆ่านิสัยไม่ดีแล้ว นิสัยดี ๆ ก็เกิดขึ้น พร้อมกันนั้นบุญก็เกิดตามมาโดยลำดับด้วย
ผลพลอยได้ของญาติโยมก็คือ ได้เห็นการดำเนินชีวิตที่ถูกต้อง เมื่อมีโอกาสในภายภาคหน้า พระก็จะได้อบรมสั่งสอนให้เขาเหล่านั้นได้รู้ตาม ได้ประพฤติปฏิบัติ ได้ความประเสริฐติดตัวเขาไปด้วย
วิสัยของพระ วิสัยของผู้ประเสริฐ ย่อมไม่จับผิดใคร แต่จะตามระลึกถึงความดีที่ผู้อื่นทำไว้แก่ตัว ความไม่ดีที่ใครทำแก่ตัวหรือทำแล้วกระทบกระทั่งมาถึงเราก็ตามที ไม่จำ ไม่สนใจ ไม่เสียเวลาไปนึกถึง จะนึกถึงแต่ความดีที่คนอื่นเขาทำกับเรา
เมื่อพระภิกษุได้รับการบำรุงจากญาติโยม จะบำรุงด้วยข้าวปลาอาหาร เสนาสนะที่อยู่อาศัย หรือจีวรผ้านุ่งผ้าห่ม หยูกยา และเครื่องอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ในการศึกษาและประพฤติปฏิบัติธรรม ทำให้พระภิกษุสามารถประพฤติปฏิบัติธรรมได้ ปฏิบัติมรรคมีองค์ ๘ ได้สะดวกสบายขึ้น จนกระทั่งความประเสริฐภายในเกิดตามมาดังได้กล่าวไว้ข้างต้น
เมื่อพระภิกษุได้รับการบำรุงแล้ว ก็เป็น “อริยประเพณี” ว่า ต้องมานึกถึงความประเสริฐที่ตัวเองได้รับ โดยสำนึกว่าตัวของเรานี้ได้รับการบำรุงจากเจ้าภาพทั้งอดีต ทั้งปัจจุบัน ได้รับการสนับสนุน การประคับประคองมา จากทั้งผู้มีพระคุณในอดีตที่ผ่านมาก่อนที่จะบวชด้วย แล้วตั้งกุศลจิตขอให้ความประเสริฐในตัวซึ่งเกิดจากการบำรุงของญาติโยม ขอให้เขาเหล่านั้นได้บุญตามมาด้วย ในฐานะที่ส่งเสริมให้เกิดความประเสริฐเหล่านี้ในตัวพระภิกษุ ส่งเสริมให้เกิดความประเสริฐเหล่านี้ขึ้นในโลก และเป็นผู้ค้ำจุนพระพุทธศาสนาไปด้วยในตัว ขอให้บุญนี้ ความประเสริฐนี้ ส่งผลให้เขาเหล่านั้นมีแต่ความสุขความเจริญยิ่ง ๆ ขึ้นไป เมื่อตั้งจิตอย่างนี้แล้ว พระท่านก็จะให้พรเป็นภาษาบาลีตามประเพณีนิยมสืบต่อไป
ด้วยจิตเมตตาที่แผ่ออกไป ส่งผลเป็นความสุขเกิดขึ้นในใจของผู้รับทันที และส่วนที่นึกอุทิศบุญกุศลให้ไปถึงแก่ผู้ล่วงลับ เมื่อเขาอยู่ในภพภูมิและสภาพที่รับบุญได้ บุญก็จะส่งผลให้เขามีความสุขยิ่ง ๆ ขึ้นไป
การที่พระท่านทำเช่นนี้จึงเป็นเนื้อนาบุญที่สมบูรณ์ ผู้ที่ทำบุญกับพระก็เหมือนกับต่อสายบุญมาจากพระ บุญก็บังเกิดเต็มเปี่ยมกับเขาด้วย เพราะพระเป็นเนื้อนาบุญอันเลิศ เมื่อเป็นอย่างนี้ญาติโยมที่ทำบุญกับพระก็มีแต่ความสุข ความเจริญ แล้วก็มีกำลังใจที่จะทำนุบำรุงพระภิกษุสามเณรให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป ตลอดจนมีกำลังใจอบรมสั่งสอนลูกหลาน บริวารว่านเครือ ให้ประพฤติปฏิบัติธรรมตามท่าน ผลดี ความดีทั้งมวลก่อเกิดต่อเนื่องเป็นลูกโซ่อย่างนี้