กราบนมัสการพระเดชพระคุณหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูงค่ะ
การจากไปอย่างถาวร ของสามีผู้เป็นที่พึ่งหลักของครอบครัว เนื่องจากอุบัติเหตุรถคว่ำเมื่อต้นปี พ.ศ. ๒๕๔๔ หลังจากที่ลูกพึ่งคลอดลูกชายคนเล็กได้ ๖ เดือน ขณะที่ลูกสาวคนโตอายุได้เพียงขวบกว่า.. นำความเสียใจเป็นที่สุดมาสู่ลูก เพราะตอนนั้นเหมือนลูกสูญเสียแล้วซึ่งทุกสิ่ง ลูกร้องไห้จนไม่เป็นอันกินอันนอน ประกอบกับความทุกข์ที่ซ้ำเติมชีวิตอย่างเลี่ยงไม่ได้ คือลูกต้องถูกตัดขาทั้งสองข้าง เพราะอุบัติเหตุในครั้งนี้ด้วย ขาข้างขวาถูกตัดเลยหัวเข่ามานิดหนึ่ง ส่วนข้างซ้ายตัดถึงโคนขา
ลูกมีความเครียด ความกดดันสับสนวิตกกังวล ถึงอนาคตที่มองไม่เห็นหนทาง คือ เป็นห่วงลูกผู้เป็นที่รักที่สุดว่า "แม่ขาขาด ที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้อย่างเรา จะสามารถเลี้ยงลูกได้อย่างไร" ตอนนั้นลูกเหมือนไม่มีใครเลย.. ลูกไม่มีเงินเพียงพอ.. เพราะเงินประกันที่ได้จากการตายของสามีเราเอง ก็ไม่มีสิทธิ์ได้ใช้
ทุกวันนี้ลูกต้องนั่งรถเข็นตลอด ต้องช่วยเหลือตัวเองอย่างน่าเวทนา เพราะไม่สามารถใช้ขาเทียมได้ เนื่องจาก ขายาว-สั้นไม่เท่ากัน และรู้สึกหนักมากเมื่อลองใส่ขาเทียม มันหนีบเนื้อ เจ็บทรมานจนถึงกับเลือดออก เลยตัดสินใจใช้วิธีนั่งรถเข็น ตอนแรกๆ ที่ฝึกขึ้นรถเข็น ไม่มีใครช่วยเพราะอยู่คนเดียว จะกินน้ำ ก็อยู่สูงเกินจะเอื้อมถึง จะกินข้าวหม้อข้าวก็อยู่สูงต้องตะกาย บางทีปีนขึ้นรถเข็นไม่ถึง ก็ตกลงมา เลือดไหลเต็มไปหมด เพราะผ่าตัดใหม่ๆ แผลที่เย็บยังไม่ติดกัน ทำให้แผลฉีกขาด แต่เนื่องจากไม่มีทางเลือกอื่นใดเลย หลังจากออกจากโรงพยาบาลมาพักรักษาตัวที่บ้านได้ ๑๐ วัน ลูกจำเป็นต้องเริ่มหัดช่วยเหลือทำอะไรด้วยตัวเอง เพราะตอนนี้มีเพียงลำพังตัวลูกและลูกน้อย ที่ยังช่วยเหลือตัวเองไม่ได้อีก ๒ คน ในบ้านเท่านั้น ลูกต้องฝืนร่างกายหัดทำอะไรหลายอย่างพร้อมกับความเจ็บปวดทรมานเป็นอย่างมาก ลูกต้อง หารายได้โดยการเช่าห้องขายของชำเล็กๆ น้อยๆ เพื่อให้มีเงินมาเลี้ยงลูก โดยมีกำไรแค่เพียง วันละ ๑-๒ ร้อยบาท
จนกระทั่งลูกได้มาเป็นนักเรียนอนุบาลฝันในฝันวิทยา ทางไกลติดจานดาวธรรม อยู่ที่อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ติดได้ ๘ เดือนแล้วค่ะ ทุกวันนี้ลูกมีความสุข สามารถทำความเข้าใจกับชีวิตจากเรื่องกฎแห่งกรรมที่หลวงพ่อสอน และด้วยความทุกข์ที่หาอะไรเยียวยา ไม่ได้นอกจากธรรมะ ทำให้ลูกไม่เคยเลย ที่จะลืมสวดมนต์ ลืมเติมบุญบารมีให้แก่ตัวเอง ในแต่ละวันที่ผ่านไป ลูกรู้แต่ว่าลูกต้องหาทางรอดที่ดีที่สุดให้กับชีวิตตัวเอง แต่ในช่วงแรกๆ ที่ลูกต้องขึ้นไปสวดมนต์ถึงชั้นสองของบ้าน ที่มีบันไดสูงถึง ๔๐ ขั้น ลูกต้องหัดเริ่มขึ้นบันไดจาก ๒-๓ ขั้น หันมุมที่ลงตัว จนกระทั่งขึ้นไปได้ถึง ๔๐ ขั้น ซึ่งในช่วง ๗-๘ วันแรก ลูกรู้สึกระบมเจ็บปวดไปทั้งตัว แต่ก็ไม่ท้อ รู้แต่ว่าเราจะต้องขึ้นไปให้ได้ ต่อมาจึงขอร้องให้คนช่วยย้ายโต๊ะหมู่ลงมาอยู่ที่ชั้นลอย แต่ก็ต้องตะกายขึ้นบันไดสูงถึง ๒๐ ขั้นด้วยกัน แต่ถึงกระนั้นลูกก็ขึ้นไปสวดมนต์ทุกวัน ทั้งเช้า-เย็น ไม่เคยขาดแม้แต่วันเดียว
หลายคนอาจสงสัยว่าทำไมลูกถึงจัดหิ้งพระไว้ชั้นบนของบ้านที่มีบันไดสูงถึง ๔๐ ขั้น ทั้งๆ ที่ต้องตะกายพาตัวเอง ขึ้นไปด้วยความยากลำบาก ซ้ำขณะตะกายขึ้นไปยังทำให้บาดแผลเลือดออกอีก เป็นเพราะว่า ชั้นล่างมีของวางระเกะระกะเต็มไปหมด ห้องแคบนิดเดียว อีกประการหนึ่ง คือเป็นการให้ความเคารพต่อพระรัตนตรัย อันเป็นที่พึ่งที่ระลึกอันสูงสุด ต้องไว้ที่สูง ควรแก่การกราบไหว้บูชา และหลายคนอาจสงสัยต่อว่า ทำไมลูกไม่สวดมนต์ที่ที่นอนก็ได้ ลูกขอให้เหตุผลว่า ลูกรู้สึกสบายใจ และเป็นสุขใจที่ได้ไปนั่งหน้าโต๊ะหมู่ ซึ่งเป็นที่ประดิษฐานของพระพุทธปฏิมาที่เป็นตัวแทนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นการแสดงความตั้งใจอย่างเป็นกิจลักษณะมากกว่า บุญอะไรที่กระทำด้วยความ ตั้งใจ จะได้บุญที่มากกว่า และที่โต๊ะหมู่ยังมีรูปหล่อหลวงปู่ รูปหลวงพ่อ และคุณยาย รู้สึกเหมือนท่านอยู่กับเรา แล้วเรายังสามารถจุดเทียนให้สว่าง เพื่อบูชาได้ทุกวันด้วย ซึ่งบนที่นอนทำไม่ได้
จากการที่ลูกสวดมนต์ทุกวันนี้เอง ภาพนี้ทำให้ลูกทั้ง ๒ คนคุ้นตา ทุกเช้าก่อนที่ลูกน้อยจะไปโรงเรียน จะร้องถามคุณแม่ว่า วันนี้คุณแม่ขึ้นไปสวดมนต์หรือยัง.. ลูกฟังแล้วรู้สึกชื่นใจอย่างบอกไม่ถูก ว่าเราได้อบรมสั่งสอนให้ลูกน้อยคุ้นกับการทำความดี โดยการทำให้เขาดู เป็นต้นแบบให้เขาได้ และที่สำคัญที่สุด ด้วยการให้ฟังธรรมะช่อง DMC ช่องนี้ช่องเดียว ไม่ให้หมุนไปดูช่องอื่นเลยค่ะ จนลูกทั้งสองกลัวตกนรกมาก ไม่กล้าทำบาป และขอร้องให้ลูก พาพวกเขาไปวัดพระธรรมกายด้วยค่ะ
จากการที่ลูกขึ้นไปสวดมนต์ที่ชั้นลอยทุกวันนี่เอง ตอนค่ำบางวัน ลูกทั้งสอง ก็จะคลาน และปีนขึ้นบันไดตามมาด้วย
ในบางครั้งลูกรู้สึกสะเทือนใจมาก เมื่อเห็นลูกสาวคนโต น้องนุก อายุ ๕ ขวบ ขึ้นไปนั่งร้องไห้หน้ารูปพ่อของเขา
ลูกก็ถามลูกว่า "ร้องไห้ทำไมลูก.."
น้องนุกตอบว่า "หนูคิดถึงพ่อ.. พ่อไปสวรรค์ เมื่อไรจะกลับมาหาหนูล่ะจ๊ะแม่"
เป็นคำถามที่ทำให้ลูกสงสารลูกขึ้นมาจับใจ เขายังเล็กเกินกว่าจะเข้าใจว่า พ่อเขาตายแล้ว แล้วก็ไม่มีวันกลับมา
ลูกก็ได้แต่เพียงตอบเขาไปอย่างดีที่สุดว่า..
"ถ้าอยากไปหาพ่อ ก็ต้องนั่งสมาธิ แล้วลูกจะได้พบพ่อ"
ลูกมักจะบอกพวกเขาเสมอว่า "ถ้าอยากอยู่กับแม่ ในเมื่อแม่นั่งสมาธิ ลูกก็ต้องนั่งด้วยนะ แล้วเราจะไม่พลัดพรากกัน บุญจะทำให้เรามาเจอกัน และก็มีเวลาอยู่ด้วยกันไป นานๆ" ลูกพยักหน้าเหมือนเข้าใจ แม้เขาจะยังเล็กเกินกว่าจะเข้าใจความหมายทั้งหมด แต่เขาก็สัมผัสและรับรู้ถึงรัก ที่เรามอบให้แก่เขา แล้วนุกก็ จะไปจูงน้องให้เข้ามานั่งสมาธิด้วยกัน เขาทั้งสองเข้าใจว่าการทำเช่นนี้ จะทำให้เขาได้พบกับพ่อ และได้อยู่กับแม่ตลอดไป"
ตั้งแต่ลูกเดินไม่ได้ ก็ไม่เคยพาลูกทั้งสองออกไปนอกบ้านเลย ลูกๆ จะคลอเคลียอยู่ใกล้แม่ตลอด ตอนแผลของลูกพึ่งหายใหม่ๆ ลูกทั้งสองของลูก เขาดีใจอยากมาใกล้ๆเรา พอเขาเห็นแม่นั่งอยู่ ก็วิ่งโผเข้ามาแยงกันกอดอย่างเต็มแรง ทำให้ลูกซึ่งไม่ทันตั้งตัว ล้มหงายไปกับพื้นอย่างไม่เป็นท่า ลูกทรงตัวไม่ได้ เพราะเราไม่มีขา แม้เราเป็นแม่ไม่มีขา แต่เราก็ยังมีรักให้กับลูก ทำให้ลูกๆ รู้สึกอบอุ่น เมื่ออยู่ใกล้แม่ที่พวกเขาเหลืออยู่เพียงคนเดียว
เวลาเราอยู่บนรถเข็น ลูกทั้งสองจะแย่งกันปีนขึ้นไปนั่งบนตักแม่ จนที่นั่งบนรถเข็นคับแน่นไปหมด ทั้งๆ ที่พวกเขารู้ว่า แม่ไม่มีขา ขาก็เหลือนิดเดียว ก็ยังแย่งกันเพื่อแสดงให้แม่รับรู้ว่า เมื่อพวกเขาอยู่ใกล้เรา มันเป็นความสุขที่ไม่ต้องการอะไรมากไปกว่านี้แล้ว
เวลานอน เราสามแม่ลูกจะนอนด้วยกัน เหมือนมีกันเพียงแค่นี้ ซึ่งลูกทั้งสองจะแย่งกันกอดแขนแม่คนละข้าง จนกระทั่งหลับไป มีบางครั้งที่ลูกปวดแผลมาก ทรมานจนหงุดหงิด มันไม่เหมือนปวดแผลธรรมดา ปวดทรมานจนอยากจะดิ้น หรือทำอย่างไรก็ได้ให้มันหายปวด เวลานั้นเราไม่อยากให้ลูกเข้าใกล้ แต่เขาก็จะพยายามเข้ามาหา เราก็ได้แต่บอกเขาว่า "แม่จะตายอยู่แล้วนะลูก แม่เจ็บแผลมากนะลูกนะ" ลูกทั้ง ๒ ก็พากันร้องไห้ เหมือนเขารู้สึกทำผิดอะไรสักอย่างต่อแม่ที่เขารักมาก พร้อมกับบอกกับแม่ว่า "หนูไม่ให้แม่ตาย แม่ต้องไม่ตายนะ.." แล้วลูกน้อยก็ถามต่อว่า "แม่จะกินยาไหม..?" ว่าแล้วก็วิ่งไปหยิบยาพารามาให้แม่ อีกคนรีบวิ่งไปเอาน้ำมาให้ แล้วแย่งกันป้อนยาเข้าปากแม่คนละเม็ด ทั้งๆ ที่ลูกทั้งสอง ยังไม่เข้าใจหรอกว่า แม่ของพวกเขาเป็นอะไร เพราะเขาเห็นแม่นั่งรถเข็นจนคุ้นตาตั้งแต่เล็กๆ
พอพวกเขาไปโรงเรียน โดนเพื่อนๆ ล้อว่า "แม่เธอไม่มีขา.." ลูกสาวก็ตอบเพื่อนว่า "แม่ของเรามีขานะ แต่แม่เอาขาไปเก็บไว้ชั้นบน" น้องนุกเข้าใจว่า ขาเทียมที่เก็บไว้ชั้นบน คือ ขาของแม่ ด้วยความน้อยใจลึกๆ ที่เกิดขึ้นอย่างไม่ค่อยเข้าใจอะไรนัก ทำให้น้องนุกถาม ลูกว่า "ทำไมแม่ไม่ใส่ขาล่ะจ๊ะ.. หนูจะเอาพลาสเตอร์มาปิดให้นะ" เขาเข้าใจว่า แม่เหมือนคนทั่วไป เขาไม่รู้ว่า แม่ไม่มีขา ไม่รู้ว่าแม่ลำบากมากแค่ไหน ถ้าเขาโตขึ้นและเข้าใจอะไรได้มากขึ้น ..เขาคงจะดื้อและซนกับแม่ได้น้อยลงกว่านี้
บ่อยครั้งน้องนุกนั่งซึม มีอาการเหม่อลอย เหมือนผู้ใหญ่ที่คิดอะไรในใจ แล้วเอามือเท้าคางหงอยๆ เมื่อเห็นพ่อ แม่คนอื่นอุ้มลูกเขาเข้ามาในร้าน มาซื้อของ คลอเคลียหยอกล้อกันด้วยความอบอุ่น เขาจะมองตามดูพ่อลูกคู่นั้น จนกระทั่งซื้อของเสร็จ และออกจากร้าน ลับสายตาไป แล้วเขาจะหันมาพูดกับลูกว่า "พ่ออุ้มๆ.." แสดงอาการวิงวอนเหมือนขาดสิ่งนี้ของชีวิตไป เขารู้สึกว่าเขาไม่เหมือนเด็กคนอื่น ที่มีพ่อแม่ให้ความอบอุ่นกันพร้อมหน้า พร้อมตา เพราะตอนที่พ่อเขายังมีชีวิตอยู่ พ่อเขามักจะชอบอุ้มลูกเสมอ จนลูกคุ้นกับการอุ้ม แต่หลังจากพ่อเขาเสียชีวิต เขากลับไม่ได้รับสิ่งนี้อีกเลย เพราะแม่ขาขาดอย่างเรา ก็ไม่สามารถให้สิ่งนี้กับลูกได้
หรือแม้เวลามีญาติบางคนมาเยี่ยม เขาสงสาร ก็จะอุ้มลูกให้ เหมือนทดแทนสิ่งที่นุกขาดไป เมื่อพวกเขาอุ้มนุกขึ้นมากอด นุกก็จะแสดงความดีใจ มีความสุข ไม่ยอมให้เขาปล่อย จะให้อุ้มไปเรื่อยๆ อย่างนั้น
บางครั้งลูกยังได้ทำหน้าที่กัลยาณมิตรกับคนที่มีความทุกข์ เป็นผู้ชาย มาซื้อของที่ร้าน มีปัญหาชีวิตครอบครัว อยากฆ่าตัวตายเขาเตรียมผูกห่วงโซ่ไว้ที่บ้าน กลุ้มใจขึ้นมาก็จะเอาศรีษะเข้าไปในโซ่ แต่พอได้สติ นึกถึงว่าลูกยังมีชีวิตที่ลำบากกว่าเขา ทำไมปัญหาชีวิตเขาเพียงแค่นี้เองทำไมเขาไม่สู้ เขาเลยเลิกคิดฆ่าตัวตาย ลูกได้แนะนำเขาตามที่หลวงพ่อสอนว่า ชีวิตเรามีค่า หนูยังไม่คิดฆาตัวตายเลย แล้วก็เล่าธรรมะให้เขาฟัง แนะนำให้เขาทำบุญ และนั่งสมาธิ ตอนนี้เขาคิดได้แล้วค่ะ
แต่ไม่ว่าชีวิตลูกจะเป็นอย่างไรก็ตาม วันนี้ลูกมี กำลังใจต่อสู้ชีวิต เพราะได้ฟังคำสอนจากหลวงพ่อ ที่ให้สติกับลูก ลูกจำได้อย่างแม่นยำในวันที่ได้มีโอกาสเข้ากราบหลวงพ่อ หลวงพ่อได้พูดกับลูกว่า "สิ่งที่ขาด ก็ขาดไปแล้ว สิ่งที่หายก็หายไปแล้ว ให้เริ่มต้นใหม่ ไม่ต้องกังวล เรายังเหลือศูนย์กลางกาย ให้หมั่นนั่งสมาธิ ทำภาวนา สิ่งนี้เท่านั้น ที่จะเป็น ที่พึ่งให้กับเราได้ ชาตินี้ชาติสุดท้าย ที่ลูกจะเจอแบบนี้" นับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ลูกก็ฮึดสู้ และตั้งใจปฏิบัติธรรมทุกวันไม่ขาดเลย เพราะหลวงพ่อบอกว่า "ทำอะไรก็ตาม ให้เอา ชีวิตเป็นเดิมพัน แล้วจะสำเร็จได้โดยง่าย" และ ณ วันนี้ ลูกก็พบว่า สิ่งนี้เป็นจริงอย่างที่หลวงพ่อพูดจริง ๆ เจ้าค่ะ
ดังนั้นลูกจึงตั้งใจสั่งสมบุญเต็มที่ทั้งทาน ศีล ภาวนา ไม่เคยขาด โดยเฉพาะการปฏิบัติธรรม เพราะสิ่งนี้เป็นหนทางเดียวที่มุ่งตรงสู่พระนิพพานโดยตรง และการปฏิบัติธรรม ก็ทำให้ลูกมีความสุขมากๆ ใจขยายออกไปไม่มีขอบเขต จนไม่รู้ว่าขยายไปถึงไหน ตัวจะเบา สบาย มีความสุขมาก ก่อนนอนก็จะนั่งสมาธิ นึกถึงบุญ และตรึกองค์พระไปเรื่อยๆ จนกระทั่งหลับ และมีความคิดว่า เวลาที่เหลืออยู่ ต้องสั่งสมบุญให้มากที่สุด แม้บางวันจะเหน็ดเหนื่อยมาก ลูกก็จะไม่ทิ้งการปฏิบัติธรรม คิดเสมอว่า เราจะขี้เกียจทำไม เวลาเหลือน้อยแล้ว ต้องขวนขวาย ทำเพื่อตัวเอง ใครก็ช่วยเราไม่ได้ นอกจากตัวของเราเอง
หลวงพ่อคะ แล้ววันนี้ลูกกราบขออนุญาตเล่าถึงความปีติที่เกิดจากธรรมภายใน คือ ผลจากการปฏิบัติธรรมเมื่อเช้าวันพุธที่ ๒๕ สิงหาคมนี้ ลูกตื่นขึ้นตอนตี ๔ รู้สึกสดชื่น ไม่ง่วง ไม่เพลีย ทั้งที่ทำงานเหนื่อยมาทั้งวัน นอนก็ดึกถึงตี ๑ แต่พอลุกขึ้นมาสวดมนต์นั่งสมาธิ รู้สึกใจเบิกบานมาก ตอนแรกเห็นองค์พระองค์เล็กในท้อง แล้วค่อยๆ ขยายใหญ่เท่าตัว ชัด ใส สว่างมากๆ แล้วรู้สึกต่อไปว่า ทั้งหัว,แขน,ตัวเป็นพระไปหมด ไม่มีตัวเราเหลือเลย แล้วมีองค์อื่นขยายซ้อนๆ เรียงลำดับขึ้นมาอีก จนยาวสุดสายตา ลูกมีความสุขมาก น้ำตาไหลออกมาเอง ลูกจึงอธิษฐานขอพรให้พระเดชพระคุณหลวงพ่อ มีสุขภาพที่แข็งแรง อายุยืนยาว อยู่กับลูกๆ ไปนานๆ และขอให้ทุกคนได้เข้าถึง อย่างที่ลูกเข้าถึง และได้เห็นอย่างที่ลูกเห็น อธิษฐานแล้วใจรู้สึกสบาย ใจขยาย เบิกบาน จนไม่อยากจะเลิกนั่ง ไม่เบื่อจะนั่งเลย ลืมตาขึ้นมาอีกทีก็หกโมงครึ่งแล้ว จะต้องเตรียมตัวใส่บาตรพระหน้าบ้านอย่างทุกวัน ลูกชอบอากาศตอนเช้ามาก อากาศดีมากๆ สดชื่น ชอบเวลานี้ที่สุด อยากเชิญชวนทุกคน ได้ตื่นขึ้นมาใส่บาตรด้วยกันนะคะ แล้วอย่าลืมตรึกองค์พระไปด้วยนะคะ แล้วจะรู้ว่า เมื่อมีองค์พระแล้ว อยู่คนเดียวก็ยิ้มได้ ไม่เหงาเลยค่ะ
ลูกต้องกราบขอบพระคุณคุณครูไม่ใหญ่เป็นอย่างสูง ที่เมตตาให้กำลังใจลูกสู้ชีวิตเสมอมา และที่สำคัญที่สุดทำให้ลูกพบ ที่พึ่งที่แท้จริงของชีวิตการเกิด มาเป็นมนุษย์ คือ ธรรมะภายใน ซึ่งถ้าไม่มีหลวงพ่อ ลูกอาจจะไม่มีกำลังใจ ไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อไปก็ได้ เพราะไม่มีหลักการดำเนินชีวิตที่ถูกต้อง ลูกขออาราธนาให้พระเดชพระคุณหลวงพ่อเป็นคุณครูไม่ใหญ่สอนพวกเราตลอดไป เพราะคำสอนของหลวงพ่อมีคุณค่าต่อชีวิตของลูกมาก และลูกก็เชื่อมั่นว่าทุกคนก็คิดเช่นนี้ค่ะ
ลูกคำน้อย แสงใจ
ผู้นำบุญจังหวัดเชียงราย