:: อภยปริตร ::
แม้ฝันร้าย ก็พ่ายแพ้พุทธมนต์
บทสวดอภยปริตร ซึ่งเริ่มด้วยคำว่า "ยันทุนนิมิตตัง อะวะมังคะลัญจะ" เป็นบทสวดเพื่อป้องกันความหวาดกลัวจากฝันร้าย คำว่า "อภยะ" แปลว่า "ไม่ต้องกลัว" "ไม่มีภัย"
ผู้ใดได้สวดสาธยายเป็นประจำก่อนนอน ก็จะไม่ฝันร้ายไม่ตกใจกลัว
ตำนานบทสวดมนต์
สาเหตุเกิดจากพระเจ้าปเสนทิโกศล ทรงฝันร้ายถึงอาเพศ ๑๖ อย่าง แล้วเกิดความหวาดกลัวว่าสิ่งที่เจอในความฝันจะเกิดขึ้นกับตนเอง จึงทรงเล่าความฝันนั้นให้ปุโรหิตฟัง
ปุโรหิตพยากรณ์ว่าจะมีอันตรายอย่างหนึ่งเกิดขึ้นแก่พระองค์รวมทั้งราชสมบัติด้วย และได้ทูลแนะวิธีป้องกันอันตรายด้วยการฆ่าสัตว์บูชายัญ ภัยจึงจะไม่เกิดขึ้น
พระเจ้าปเสนทิโกศลหลงเชื่อคำของคนโง่ จึงทรงมีรับสั่งให้จัดเตรียมพิธีและสิ่งของเครื่องบูชายัญตามคำของปุโรหิต
พระนางมัลลิกาเทวี พระมเหสีของพระเจ้าปเสนทิโกศลจึงทูลทักท้วงขึ้นว่า "อย่าเพิ่งทำพิธีกรรมใดๆเลย ขอได้โปรดเสด็จไปทูลถามพระพุทธเจ้าเสียก่อน พระองค์ทรงเป็นสัพพัญญ ไม่มีสิ่งใดที่พระพุทธเจ้าไม่รู้" จึงได้เสด็จไปพร้อมพระมเหสีแล้วทูลถามถึงความฝัน
พระพุทธเจ้าตรัสว่า จะไม่มีภัยอันตรายใดๆ เกิดขึ้นแก่พระองค์ จากเหตุแห่งความฝันนั้น แต่สิ่งที่พระองค์ฝันเป็นลางบอกเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต หลังจากเราตถาคตปรินิพพานไปแล้ว ไม่ใช่จะเกิดขึ้นในตอนนี้
ในที่สุดพระเจ้าปเสนทิโกศล ก็สั่งล้มเลิกพิธีทั้งปวงเสีย
สัตว์กำลังจะถูกฆ่าบูชายัญก็รอดอย่างปลอดภัย
บทสวดและคำแปล
ยันทุนนิมิตตัง อะวะมังคะลัญจะ
โย จามะนาโป สะกุณัสสะ สัทโท
ปาปัคคะโห ทุสสุปินัง อะกันตัง
พุทธานุภาเวนะ วินาสะเมนตุ ฯ
ลางร้ายและสิ่งที่เป็นอัปมงคลอันใด
เสียงนกเสียงกาอันไม่น่าชอบใจอันใด
บาปเคราะห์ และความฝันร้ายอันไม่น่าพอใจใด ที่มีอยู่
ด้วยอานุภาพแห่งพระพุทธเจ้า ขอสิ่งชั่วร้ายเหล่านั้น จงพินาศไป
ยันทุนนิมิตตัง อะวะมังคะลัญจะ
โย จามะนาโป สะกุณัสสะ สัทโท
ปาปัคคะโห ทุสสุปินัง อะกันตัง
ธัมมานุภาเวนะ วินาสะเมนตุ ฯ
ลางร้ายและสิ่งที่เป็นอัปมงคลอันใด
เสียงนกเสียงกา อันไม่น่าชอบใจอันใด
บาปเคราะห์ และความฝันร้ายอันไม่น่าพอใจใด ที่มีอยู่
ด้วยอานุภาพแห่งพระธรรม ขอสิ่งชั่วร้ายเหล่านั้น จงพินาศไป
ยันทุนนิมิตตัง อะวะมังคะลัญจะ
โย จามะนาโป สะกุณัสสะ สัทโท
ปาปัคคะโห ทุสสุปินัง อะกันตัง
สังฆานุภาเวนะ วินาสะเมนตุ ฯ
ลางร้ายและสิ่งที่เป็นอัปมงคลอันใด
เสียงนกเสียงกา อันไม่น่าชอบใจอันใด
บาปเคราะห์ และความฝันร้ายอันไม่น่าพอใจใด ที่มีอยู่
ด้วยอานุภาพแห่งพระสงฆ์ ขอสิ่งชั่วร้ายเหล่านั้น จงพินาศไป
ธรรมะจากบทสวดมนต์
ความฝันเกิดขึ้นหลายสาเหตุ บางอย่างเป็นเรื่องจริงบางอย่างเป็นลางบอกเหตุ อาจจริงหรือไม่จริงก็ได้ บางครั้งกินมากนอนมาก ก็ฝันไปเรื่อย
เมื่อมีความความฝันในกลางคืน คนก็ชอบจะเก็บมาฝันต่อในกลางวัน เอามาคิด เก็บมานั่งนึกนั่งฝัน
อย่างนี้เขาเรียกว่า "ฝันลมๆ แล้งๆ"
ชีวิตทุกคนเต็มไปด้วยความฝัน ทั้งฝันกลางคืน ฝันกลางวันและวาดฝันเพื่อให้เป็นจริง
ส่วนจะสำเร็จหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับความพยายามของเราเอง ไม่ใช่เพราะความฝัน
ทุกชีวิตล้วนมีความฝัน เช่น ฝันอยากมีบ้าน อยากก้าวหน้าอยากเป็นทหาร อยากเป็นนักธุรกิจ อยากมีชีวิตที่ประสบความสำเร็จ เมื่อมีความฝัน ต้องมีความพยายามทำความฝันให้เป็นจริง อาจสำเร็จตามที่ฝันหรือไม่ ไม่ใช่เรื่องสำคัญ
อย่างน้อยได้ชื่อว่าทำความเพียร
แต่ถ้าอยากให้มีความแน่วแน่ เมื่อวาดฝันแล้วตั้งให้มั่นเป็นปณิธาน เพราะความฝันเปลี่ยนไปตามกาลเวลา แต่ปณิธานจะแน่วแน่กว่าสิ่งใด
เมื่อฝันให้ไกลต้องไปให้ถึง ไม่ใช่แค่ความฝัน
เช่น พระพุทธเจ้าเมื่อครั้งเกิดเป็นสุเมธดาบส ได้ตั้งปณิธานปรารถนาที่จะเป็นพระพุทธเจ้า แล้วอธิษฐานให้เกิดเป็นบารมีจนได้รับการพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าพระนามว่าทีปังกรว่าจะสำเร็จแน่นอน
ส่วนปณิธานของเรา ต้องตั้งให้สูงไว้ แล้วตัวเรานั่นหละจะเป็นผู้พยากรณ์ตัวเองได้ดีที่สุด ถ้ามีความพยายาม ทำนายได้ว่าต้องสำเร็จ ถ้าใจไม่สู้หรือไม่อดทน ก็แสดงว่าล้มเหลว
ฉะนั้น ถ้าอยากประสบความสำเร็จต้องมีปณิธานที่ตั้งมั่น
อย่ามีเพียงความฝันลมๆ แล้งๆ