ธรรมะคลายใจ

วันที่ 19 พค. พ.ศ.2563

ธรรมะคลายใจ


                   ก่อนที่เราจะคุยกันเรื่องการเอาชนะความเครียด เรามาดูกันก่อนว่าความเครียดเกิดจากอะไร โดยหลักความเครียดมักจะเกิดจากการที่เราได้พบกับความเสื่อมลาภ เสื่อมยศ ถูกนินทาว่าร้ายแล้วเกิดทุกข์นั่นเอง


สาเหตุความเครียด

                  ความเครียดที่เกิดจากการ “เสื่อมลาภ” เช่น มีหนี้สิน กำลังจะตกงาน หรือธุรกิจกำลังย่ำแย่ก็เกิดความทุกข์ใจ  ส่วนความเครียดที่เกิดจากการ “เสื่อมยศ” เช่น ยศตำแหน่ง  หน้าที่การงานของเราไม่ก้าวหน้าอย่างที่หวังไว้ หรืออาจถูกย้ายจากตำแหน่งหน้าที่ที่มีอำนาจมากไปสู่ตำแหน่งที่มีอำนาจน้อยลง แค่นี้ก็ทำให้เกิดความเครียดได้แล้ว บางคนเครียดถึงขั้นป่วยเข้าโรงพยาบาลเลยก็มี


                 ความเครียดที่เกิดจาก “คำนินทา” เช่น เมื่อได้ฟังคนอื่นพูดถึงเราในทางไม่ดี เรารู้สึกไม่ชอบใจแล้วเกิดความเครียด  รวมทั้งความเครียดที่มักจะเกิดจากสุขภาพร่างกายที่ไม่ปกติบ้าง  ภัยอันตรายต่าง ๆ ที่มาคุกคามเราบ้าง เป็นต้น


               เมื่อต้องการจะเอาชนะความเครียด ก่อนอื่นเราควรตระหนักชัดว่าความเสื่อมลาภ เสื่อมยศ นินทา ทุกข์ มันเป็นเรื่องธรรมดาที่อยู่คู่โลก ไม่มีใครหลีกเลี่ยงได้ ไม่มีใครได้ลาภอย่างเดียวไปตลอดชีวิต และคนที่ไม่มีทางเสื่อมลาภตลอดชีวิตนั้นไม่มี ขนาดบริษัทใหญ่ ๆ ระดับโลกมั่นคงมาเป็น 100 ปี  บางปีก็ได้ผลกำไรมาก บางปีก็ได้ผลกำไรน้อย มีขึ้นมีลงตามจังหวะของมัน


                ความเสื่อมยศก็มีขึ้นมีลงเช่นเดียวกัน ไม่มีใครสมหวังเรื่องยศตำแหน่งตลอดทุกครั้ง  ยกเว้นเขามีบุญมากพอ ส่วนคำนินทานั้นยิ่งหนีไม่พ้น ไม่มีใครได้รับคำชมในส่วนเดียว ดังคำที่ว่า “แม้องค์พระปฏิมายังราคิน คนเดินดินหรือจะสิ้นคนนินทา


                   ยิ่งเป็นคนที่อยู่สูงเป็นที่รู้จักของคนหมู่มาก หรือเป็นถึงผู้นำประเทศ นายกรัฐมนตรี ประธานาธิบดี หรือผู้นำโลกก็ยิ่งจะมีทั้งคนชอบ และคนไม่ชอบมากมายตามไปด้วย  เพราะฉะนั้น นี่คือธรรมดาของโลก รวมทั้งความทุกข์ ความป่วยไข้ กระทั่งภัยอันตรายที่คุกคามในรูปแบบต่าง ๆ ไม่ว่าใครก็มีสิทธิ์เจอด้วยกันทั้งนั้น

“ความเสื่อม” ธรรมดาของโลก


                   เริ่มต้นเราต้องเข้าใจความจริงก่อนว่า สิ่งที่เรากำลังประสบอยู่นั้นเป็นของคู่โลกที่ไม่มีใครหลีกเลี่ยงได้พ้น พอเข้าใจอย่างนี้แล้วเราจะได้เลิกเพิ่มความเครียดให้กับตัวเองด้วยการเอาแต่พูดว่า “ทำไมถึงต้องเป็นเรา” แล้วเลิกรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนโชคร้ายที่สุดในโลก เพราะคิดอย่างนี้แล้วก็จะทำให้ยิ่งกลัดกลุ้มใจ
 


                   พอเราเข้าใจว่า มันเป็นธรรมดาอย่างนี้เอง ใคร ๆ ก็ต้องเจอกับความทุกข์เหล่านี้ด้วยกันทั้งนั้น เราเจอแบบนี้ คนอื่นเจอแบบนั้น ความทุกข์มันมีหลากหลายรูปแบบแตกต่างกันไป  พอคิดได้อย่างนี้เราจะเริ่มทำใจได้ ใจจะคลายลงระดับหนึ่ง  พอใจโปร่งโล่งขึ้นไม่นานใจก็จะมีอานุภาพในการแก้ไขปัญหาได้ดียิ่งขึ้น

           

                  จากนั้นให้เราหาโอกาสสวดมนต์ นั่งสมาธิ เครียดเมื่อใด  หรือกลุ้มใจเมื่อใดก็มีทางออก คือสวดมนต์ทำวัตรเช้า-วัตรเย็น สัก 15-20 นาที พอใจสบายใจก็จะโปร่งโล่งขึ้น แล้วให้เรานั่งสมาธิต่อไป


                 ใจคนนั้นแปลก เมื่อใดก็ตามที่เราได้นั่งสมาธิเอาใจมาตั้งไว้ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ 7 (ซึ่งอยู่ตรงตำแหน่งกึ่งกลางลำตัวสูงจากระดับสะดือ 2 นิ้วมือ) พอเอาใจอยู่นิ่ง ๆ ตรงนี้เมื่อใด  ใจของเราจะคลายตัว ไม่ว่าเครียดมากหรือเครียดน้อยก็คลายลง  แล้วใจเราก็สบายขึ้น
 


                  แม้ในเวลาปกติที่เราไม่ได้เจอกับวิกฤตอะไรมากมาย แต่มันก็มีความเครียดเกิดขึ้นเหมือนกัน เช่น จากหน้าที่การงานที่กดดันเข้ามาบ้างบางเวลา เพราะความเสื่อมลาภนั้นไม่ได้มีแต่ความเสื่อมใหญ่โต แต่ยังมีความเสื่อมเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตเราทุก ๆ วัน เหตุเพราะความเสื่อมนั้นอยู่คู่โลก  คนทุกคนล้วนมีความเครียดอยู่ในใจทุกวัน แล้วพอเจอปัญหาต่าง ๆ หนักเข้ามันก็เกิดความเครียดหนัก ๆ ขึ้นมา


                 ถ้าเราสวดมนต์นั่งสมาธิอย่างสม่ำเสมอ เอาใจมาจรดที่ศูนย์กลางกาย ใจก็จะคลายตัวโปร่งโล่งเบาสบาย แม้กับบางคนที่มีความเครียดไม่มาก จนบางทีอาจยังไม่รู้สึกตัวเองว่าเครียดด้วยซ้ำไป แต่พอเขาได้เอาใจมาจรดที่ศูนย์กลางกายโดยทำจนชำนาญเพียง 5-10 นาที จนใจเริ่มคลายตัว ก็จะสัมผัสได้เลยว่า เมื่อสักครู่ใจของเรามันกระด้างเขม็งเกลียว แต่พอใจจรดนิ่งที่ศูนย์กลางกายมันเกิดการคลายใจ แล้วเบาสบายจนรู้สึกว่า  ใจเรานุ่มนวลเพราะความเครียดหายไป จากนั้นสิ่งที่มาแทนที่คือ “ความสุข



อานุภาพใจสร้างสติปัญญา

                “กำลังใจ" ทำให้เราสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ดี สามารถใช้สติปัญญาในการแก้ไขปัญหาได้อย่างเต็มที่ ถ้าใจเครียดเกร็ง  พอเราจะทำอะไรก็ไม่ได้ผลดีเท่าที่ควร แต่ถ้าใจโปร่งสบาย ใจจะมีอานุภาพ บุญก็หล่อเลี้ยง สติปัญญาเกิดจนสามารถคลี่คลายปัญหาทุกอย่างได้ดี


                พอปัญหาทุกอย่างคลี่คลายกลายเป็นวงจรบวกทำให้แรงกดดันลดลง ใจเราก็ยิ่งโปร่งสบายมากขึ้น บุญหล่อเลี้ยงมากขึ้น  สามารถใช้สติปัญญาได้อย่างเต็มที่มากขึ้น แล้วทุกอย่างจะดีขึ้นตามลำดับ


                 เพราะฉะนั้น เราชาวพุทธทุกคนถือว่ามีบุญมาก โชคดีมากที่เรามียาวิเศษอยู่กับตัว คือ “การปฏิบัติธรรม” ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสสอนเราไว้


                ดังนั้น เมื่อเราเจออุปสรรคปัญหาก็อย่ามัวเครียด แต่ให้รู้ว่าสิ่งเหล่านั้นคือของคู่โลกที่ใคร ๆ ก็ต้องเจอ แล้วใช้วิธีคลี่คลายด้วยสติ ปัญญา และสมาธิ ให้ประสบความสุขและความสำเร็จในชีวิตถ้วนหน้ากัน
 


                บางครั้งบางเรื่องเราควบคุมไม่ได้ เพราะฉะนั้น อะไรจะเกิดก็ให้มันเกิด แล้วให้ทำใจว่าสุดท้ายนี้ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับเรา เมื่อถึงคราวเราทิ้งกายนี้ไปแล้วเราจะไปเกิดที่ใด อยู่ในภาวะแบบไหนเราเป็นคนกำหนดเอง เพราะขึ้นอยู่กับว่าเราออกแบบชีวิตไว้อย่างไร สร้างบุญสร้างบารมีไว้มากมายเพียงใด  พอเราตายไปสิ่งที่เป็นปัญหาติดค้างอยู่นั้นไม่ได้ติดตัวเราไปด้วยเลย แต่ว่าสิ่งที่เราจะไปเจอในภพหน้านั้นคือสิ่งที่เราได้ทำไว้ตอนที่เรายังมีชีวิตอยู่นั่นเอง

 

 

จากหนังสือ เนรมิตจิตใจ

โดย พระครูปลัดสุวัฒนโพธิคุณ (สมชาย ฐานวุฑโฒ)

**บทความ แนะนำ/เกี่ยวข้อง

สิ่งดีๆมีไว้แบ่งปัน อะไรดีๆมีอีกเยอะ กด Like facebook กัลยาณมิตร

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล Total Execution Time: 0.0057732502619425 Mins