สีลุทเทสปาโฐ
ใช้สวดเพื่อให้เกิดความยินดีในการรักษาศีล นิยมสวดต่อท้ายหลังจากสวดปาฏิโมกข์
ภาสิตะมีทัง เตนะ ภะคะวะตา ชานะตา ปัสสะตา อะระหะตา สัมมาสัมพุทเธนะ,
สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้รู้เห็น ผู้เป็นพระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ได้ทรงภาษิตไว้ดังนี้ :-
สัมปันนะสีลา ภิกขะเว วิหะระถะ สัมปันนะปาฏิโมกขา,
ภิกษุทั้งหลาย ท่านทั้งหลายเป็นผู้มีศีลถึงพร้อมแล้วมีปาฏิโมกข์ถึงพร้อมแล้ว อยู่เถิด ;
ปาฏิโมกขะสังวะระสังวุตา วิหะระถะ กาจาระโคจะระสัมปันนา,
ท่านทั้งหลายจงเป็นผู้สำรวมแล้ว ด้วยความสำรวมในพระปาฏิโมกข์ มีอาจาระ (คือ มรรยาท) มีโคจระ (คือที่เที่ยว) ถึงพร้อมแล้วอยู่เถิด ;
อะนุมัตเตสุ วัชเชสุ ภะยะทัสสาวี สะมาทายะ สิกขะถะ สิกขาปะเทสูติ,
พวกท่าน จงเป็นผู้มีปกติเห็นภัยในโทษทั้งหลาย มาตรว่าเล็กน้อย สมาทานศึกษาในสิกขาบททั้งหลายเถิด ;
ตัส๎มาติหัมเหหิ สิกขิตัพพัง,
เพราะฉะนั้น อันเราทั้งหลายควรสำเหนียกดังนี้ว่า :-
สัมปันนะสีลา วิหะริสสามะ สัมปันนะปาฏิโมกขา,
เราทั้งหลาย จักเป็นผู้มีศีลถึงพร้อมแล้ว มีปาฏิโมกข์ถึงพร้อมแล้วอยู่ ;
ปาฏิโมกขะสังวะระสังวุตา วิหะริสสามะ อาจาระโคจะระสัมปันนา,
เราทั้งหลายจักเป็นผู้สำรวมแล้ว ด้วยความสำรวมในพระปาฏิโมกข์ มีอาจาระ (คือ มรรยาท) มีโคจระ (คือที่เที่ยว) ถึงพร้อมแล้วอยู่ ;
อะนุมัตเตสุ วัชเชสุ ภะยะทัสสาวี สะมาทายะ สิกขิสสามะ สิกขาปะเทสูติ,
เราทั้งหลาย จักเป็นผู้มีปกติเห็นภัยในโทษทั้งหลาย มาตรว่าเล็กน้อย สมาทานศึกษาในสิกขาบททั้งหลาย ดังนี้ ;
เอวัญหิ โน สิกขิตัพพัง. อันเราทั้งหลาย ควรสำเหนียกอย่างนี้แล.