ปาจิตตีย์ ๙๒
ปาจิตตีย์ แปลว่า การละเมิดอันยังกุศลให้ตกไป
คือเมื่อละเมิดอาบัตินี้แล้วย่อมทำให้กุศลธรรมของผู้ละเมิดให้ตกไปให้เสียไป ทำให้พลาดจากอริยมรรคไป เป็นความผิดที่ปิดกั้นโอกาสแห่งความดีมิให้เกิดขึ้น
ปาจิตตีย์๙๒ สิกขาบทนี้เป็น สุทธิกปาจิตตีย์ คือเป็นปาจิตตีย์ล้วนๆ เมื่อต้องคือล่วงละเมิดแล้วเป็นอันต้องเลย ไม่ต้องสละสิ่งของที่ทำให้ต้องอาบัติเหมือนนิสสัคคิยปาจิตตีย์
ปาจิตตีย์เหล่านี้จัดเป็น ลหุกาบัติ คืออาบัติเบา และเป็น สเตกิจฉา คือยังแก้ไขได้ยังกลับคืนบริสุทธิ์เหมือนเดิมได้โดยเมื่อต้องอาบัติเหล่านี้เข้าแล้วสามารถพ้นจากอาบัตินั้นๆได้ด้วย เทสนาวิธี คือแสดงอาบัติหรือปลงอาบัติเป็นการแสดงความผิดต่อหน้าสงฆ์ต่อหน้าคณะ หรือต่อหน้าบุคคล
ปาจิตตีย์ มี ๙๒ สิกขาบท แบ่งเป็น ๙ วรรค คือ
วรรคที่ ๒ มุสาวาทวรรค
วรรคที่ ๒ ภูตคามวรรค
วรรคที่ ๓ โอวาทวรรค
วรรคที่ ๔ โภชนวรรค
วรรคที่ ๕ อเจลกวรรค
วรรคที่ ๖ สุราปานวรรค
วรรคที่ ๗ สัปปาณวรรค
วรรคที่ ๘ สหธัมมิกวรรค
วรรคที่ ๙ รตนวรรค
ในแต่ละวรรคมี๑๐ สิกขาบท เว้น สหธัมมิกวรรค มี๑๒ สิกขาบท
วรรคที่ ๑ มุสาวาทวรรค
ว่าด้วยการพูดเท็จ
มุสาวาทวรรค สิกขาบทที่ ๑
คำแปลพระบาลีที่เป็นพุทธบัญญัติ
“เป็นปาจิตตีย์ เพราะกล่าวเท็จทั้งที่รู้อยู่”
เนื้อความย่อในหนังสือนวโกวาท
“พูดปด ต้องปาจิตตีย์”
อธิบายความโดยย่อ
คำว่า พูดเท็จทั้งที่รู้อยู่ หมายถึงพูดปด พูดโกหก พูดเรื่องไม่จริงทั้งที่รู้ว่าเรื่องนั้นเป็นเรื่องโกหก เป็นเรื่องไม่จริง มีลักษณะเป็น ๒ อย่างคือ
(๑) เรื่องเป็นอยู่อย่างใดอย่างหนึ่ง แต่จงใจพูดให้คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง
(๒) มีเจตนาพูดหรือแสดงอาการอย่างอื่นด้วยเจตนานั้น เพื่อให้คนฟังหรือคนเห็นมีความเข้าใจเป็นอย่างอื่นจากความเป็นจริง เช่น เขียนหนังสือหรือบอกใบ้
สิกขาบทนี้เป็นสจิตตกะ คือมีเจตนาที่จะพูดให้คนฟังเข้าใจผิดคลาดเคลื่อนจากความจริง จึงจะเป็นอาบัติหากพูดโดยไม่ตั้งใจว่าจะพูดเท็จ แต่พูดพลั้งไป ไม่เป็นอาบัติแต่เมื่อรับคำแล้วไม่ปฏิบัติตามที่รับคำ เช่นรับนิมนต์แล้วไม่ไปตามที่รับ ไม่เป็นปาจิตตีย์แต่เป็น ปฏิสสวทุกกฏ เป็นทุกกฏเพราะรับคำ
เจตนารมณ์ของสิกขาบทนี้
สิกขาบทนี้ทรงบัญญัติไว้เพื่อให้ภิกษุรักษาคำพูด เป็นผู้พูดจริง พูดตรง ไม่เหลาะแหละ ให้อยู่กะร่องกะรอยอันเป็นเหตุให้เชื่อถือได้ไว้วางใจได้ป้องกันมิให้ภิกษุเป็นผู้เหลาะแหละเหลวไหล พูดจาไม่น่าเชื่อถือ
อนาปัตติวาร
ในสิกขาบทนี้ท่านแสดงภิกษุผู้ได้รับยกเว้นไม่ต้องอาบัติไว้คือ
(๑) ภิกษุพูดพลั้ง (คือพูดเร็วไป)
(๒) ภิกษุพูดพลาด (คือตั้งใจว่าจะพูดอย่างหนึ่งแต่กลับพูดไปอีกอย่างหนึ่ง)
(๓) ภิกษุผู้วิกลจริต
(๔) ภิกษุผู้เป็นต้นบัญญัติ หรืออาทิกัมมิกะ ได้แก่ พระหัตถกศากยบุตร