มุสาวาทวรรค สิกขาบทที่ ๗
คำแปลพระบาลีที่เป็นพุทธบัญญัติ
“อนึ่ง ภิกษุใดแสดงธรรมแก่มาตุคามเกิน ๕-๖ คำเป็นปาจิตตีย์ เว้นไว้แต่มีชายผู้รู้เดียงสาอยู่ด้วย”
เนื้อความย่อในหนังสือนวโกวาท
“ภิกษุแสดงธรรมแก่ผู้หญิง เกินกว่า ๖ คำขึ้นไป ต้องปาจิตตีย์(เว้นไว้แต่มีบุรุษผู้รู้เดียงสาอยู่ด้วย)”
อธิบายความโดยย่อ
คำว่า มาตุคาม ได้แก่ หญิงมนุษย์ผู้รู้เดียงสาแล้ว
คำว่า ธรรม ได้แก่ บาลีที่เป็นพุทธภาษิต สาวกภาษิต อิสิภาษิต เทวตาภาษิต ซึ่งประกอบด้วยอรรถ ประกอบด้วยธรรมในสิกขาบทนี้ทรงห้ามไว้เพื่อให้ภิกษุแสดงธรรมอย่างเปิดเผย ไม่กระซิบสอนหรือแสดงธรรมขณะอยู่กันสองต่อสองกับผู้หญิง เมื่อจำเป็นที่จะต้องพูดต้องแสดง ก็พูดหรือแสดงได้ไม่เกิน ๕-๖ คำ อันเป็นการทักทายกันตามปกติเว้นแต่มีชายผู้รู้เดียงสานั่งฟังอยู่ด้วย ซึ่งสามารถเป็นสักขีพยานแก่ภิกษุได้ว่าได้พูดหรือแสดงอะไรออกไป
เจตนารมณ์ของสิกขาบทนี้
สิกขาบทนี้ทรงบัญญัติไว้เพื่อป้องกันมิให้ภิกษุถูกกล่าวหาหรือถูกสงสัยว่าพูดเกี้ยวหญิง ในกรณีพูดกับผู้หญิงสองต่อสอง
อนาปัตติวาร
ในสิกขาบทนี้ท่านแสดงภิกษุผู้ได้รับยกเว้นไม่ต้องอาบัติไว้คือ
(๑) มีผู้ชายรู้เดียงสาอยู่ด้วย
(๒) ภิกษุแสดงธรรมเพียง ๕-๖ คำ
(๓) ภิกษุแสดงธรรมหย่อนกว่า ๕-๖ คำ
(๔) ภิกษุลุกขึ้นแล้วนั่งแสดงธรรมต่อไป
(๕) มาตุคามลุกขึ้นแล้วนั่งลงอีก ภิกษุแสดงธรรมแก่มาตุคามนั้น
(๖) ภิกษุแสดงธรรมแก่มาตุคามอื่น
(๗) ภิกษุถามปัญหา
(๘) ภิกษุถามปัญหาแล้วกล่าวแก้
(๙) ภิกษุแสดงธรรมเพื่อประโยชน์แก่คนอื่นอยู่ มาตุคามฟังอยู่ด้วย
(๑๐) ภิกษุผู้วิกลจริต
(๑๑) ภิกษุผู้เป็นต้นบัญญัติหรือภิกษุอาทิกัมมิกะ ได้แก่ พระอุทายี