อริยสัจ ๔ ประการ

วันที่ 19 กค. พ.ศ.2566

19-7-66-LB.jpg

เรื่องอริยสัจ ๔ ประการ
             ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาครับสั่งเรียกท่านพระอานนท์มาตรัสว่า “มาเถิด อานนท์ เราจะเข้าไปยังโกฏิตามกัน” ท่านพระอานนท์ทูลรับสนองพระดำรัสแล้วพระผู้มีพระภาคพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่เสด็จถึงโกฏิคาม ประทับอยู่ที่โกฏิคามนั้นรับสั่งเรียกภิกษุทั้งหลายมาตรัสว่า

             “ภิกษุทั้งหลาย เพราะไม่รู้แจ้งแทงตลอดอริยสัจ ๔ ประการ เราและเธอทั้งหลายจึงเที่ยวเร่ร่อนไปตลอดกาลยาวนานอย่างนี้

             อริยสัจ ๔ ประการ อะไรบ้าง คือ

            ๑. เพราะไม่รู้แจ้งแทงตลอดทุกขอริยสัจ เราและเธอทั้งหลายจึงเที่ยวเร่ร่อนไปตลอดกาลยาวนานอย่างนี้
            ๒. เพราะไม่รู้แจ้งแทงตลอดทุกขสมุทัยอริยสัจ เราและเธอทั้งหลายจึงเที่ยวเร่ร่อนไปตลอดกาลยาวนานอย่างนี้

            ๓. เพราะไม่รู้แจ้งแทงตลอดทุกขนิโรธอริยสัจ เราและเธอทั้งหลายจึงเที่ยวเร่ร่อนไปตลอดกาลยาวนานอย่างนี้
            ๔. เพราะไม่รู้แจ้งแทงตลอดทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจ เราและเธอทั้งหลายจึงเที่ยวเร่ร่อนไปตลอดกาลยาวนานอย่างนี้

              "ภิกษุทั้งหลาย เราและเธอทั้งหลายได้รู้แจ้งแทงตลอดทุกขอริยสัจ เราและเธอทั้งหลายได้ รู้แจ้งแทงตลอดทุกขสมุทัยอริยสัจ เราและเธอทั้งหลายได้รู้แจ้งแทงตลอดทุกขนิโรธอริยสัจ เราและเธอทั้งหลายได้รู้แจ้งแทงตลอดทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจ เราและเธอทั้งหลายถอนภวตัณหาได้แล้ว ภวเนตติ สิ้นไปแล้ว บัดนี้ภพใหม่ไม่มีอีก ความไม่หวนกลับมาและจะสําเร็จสัมโพธิในวันข้างหน้า

              พระผู้มีพระภาคผู้สุคตศาสดาได้ตรัสเวยยากรณภาษิตนี้แล้ว จึงได้ตรัสคาถาประพันธ์ต่อไปอีกว่า

              “เพราะไม่เห็นอริยสัจ ๔ ตามความเป็นจริง เราและเธอทั้งหลาย จึงท่องเที่ยวไปในชาตินั้น ๆ ตลอดกาลยาวนาน แต่เพราะได้เห็นอริยสัจ ๔ เราและเธอทั้งหลายจึงถอนภูวเนตติได้ ตัดรากเหง้าแห่งทุกข์ได้เด็ดขาดบัดนี้ภพใหม่ไม่มีอีก”

              ได้ยินว่า พระผู้มีพระภาคเมื่อประทับอยู่ที่โกฏิคาม ทรงแสดงธรรมีกถาเป็นอันมากแก่ภิกษุทั้งหลายอย่างนี้ว่า “ศีลมีลักษณะอย่างนี้ สมาธิมีลักษณะอย่างนี้ ปัญญามีลักษณะอย่างนี้ สมาธิอันบุคคลอบรมโดยมีศีลเป็นฐาน ย่อมมีผลมาก มีอานิสงส์มาก ปัญญาอันบุคคลอบรมโดยมีสมาธิเป็นฐาน ย่อมมีผลมากมีอานิสงส์มาก จิตอันบุคคลอบรมโดยมีปัญญาเป็นฐาน ย่อมหลุดพ้นโดยชอบจากอาสวะทั้งหลาย คือ กามาสวะ ภวาสวะ และอวิชชาสวะ"


      ความไม่หวนกลับมาและจะสำเร็จสัมโพธิ ในวันข้างหน้า
               ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ตามความพอพระทัยในโกฏิคาม รับสั่งเรียกท่านพระอานนท์มาตรัสว่า “มาเถิด อานนท์ เราจะเข้าไปยังนาฬิกคามกัน” ท่าน พระอานนท์ทูลรับสนอง พระดำรัสแล้ว พระผู้มีพระภาคพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่เสด็จถึงนาฬิกคามประทับอยู่ที่พระตำหนักอิฐ ในนาทิกคามลำดับนั้น ท่านพระอานนท์เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายอภิวาทแล้วนั่ง ณ ที่สมควร ได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคดังนี้ว่า
                “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
                 ภิกษุสาฬหะที่มรณภาพในนาฬิกคาม มีคติเป็นอย่างไร มีภพหน้าเป็นอย่างไร
                 ภิกษุณีนันทาที่มรณภาพในนาฬิกคาม มีคติเป็นอย่างไร มีภพหน้าเป็นอย่างไร
                 อุบาสกสุทัตตะ ดับชีพในนาฬิกคาม มีคติเป็นอย่างไร มีภพหน้าเป็นอย่างไร
                 อุบาสิกาสุชาดาที่ดับชีพในนาฬิกคาม มีคติเป็นอย่างไร มีภพหน้าเป็นอย่างไร
                 อุบาสกกกุธะที่ดับชีพในนาฬิกคาม มีคติเป็นอย่างไร มีภพหน้าเป็นอย่างไร
                 อุบาสกการพิมภะ ฯลฯ อุบาสกนิกฏะ ฯลฯ อุบาสกกฏิสสหะ ฯลฯ
                 อุบาสกตุฏฐะ ฯลฯ อุบาสกสันตุฏฐะ ฯลฯ อุบาสกฏฏะ ฯลฯ
                 อุบาสกสุภฏะที่ดับชีพในนาฬิกคาม มีคติเป็นอย่างไร มีภพหน้าเป็นอย่างไร
                 พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า
                 “ภิกษุสาฬหะ ทำให้แจ้งเจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติอันไม่มีอาสวะ เพราะอาสวะสิ้นไปด้วยปัญญาอันยิ่งเองเข้าถึงอยู่ในปัจจุบัน
                  ภิกษุณีนันทา เป็น โอปปาติกะ เพราะสังโยชน์เบื้องต่ำ ๕ ประการสิ้นไปปรินิพพานในภพนั้น ไม่หวนกลับมาจากโลกนั้นอีก

                  อุบาสกสุทัตตะ เป็น พระสกทาคามี เพราะสังโยชน์ ๓ ประการสิ้นไป และเพราะราคะ โทสะ โมหะเบาบาง มาสู่ภพนี้อีกเพียงครั้งเดียวก็จะทำที่สุดแห่งทุกข์ได้
                  อุบาสิกาสุชาดา เป็น พระโสดาบัน เพราะสังโยชน์ ๓ ประการสิ้นไป ไม่มีทางตกตา มีความแน่นอนที่จะสำเร็จสัมโพธิในวันข้างหน้า
                  อุบาสกกกุธะ เป็น โอปปาติกะ เพราะสังโยชน์เบื้องต่ำ ๕ ประการสิ้นไปปรินิพพานในภพนั้น ไม่หวนกลับมาจากโลกนั้นอีก
                  อุบาสกการพิมภะ เป็น โอปปาติกะ เพราะสังโยชน์เบื้องต่ำ ๕ ประการสิ้นไปปรินิพพานในภพนั้น ไม่หวนกลับมาจากโลกนั้นอีก
                  อุบาสกนิกฏะ เป็น โอปปาติกะ เพราะสังโยชน์เบื้องต่ำ ๕ ประการสิ้นไปปรินิพพานในภพนั้น ไม่หวนกลับมาจากโลกนั้นอีก
                  อุบาสกกฏิสสหะ เป็น โอปปาติกะ เพราะสังโยชน์เบื้องต่ำ ๕ ประการสิ้นไปปรินิพพานในภพนั้น ไม่หวนกลับมาจากโลกนั้นอีก
                  อุบาสกตุฏฐะ เป็น โอปปาติกะ เพราะสังโยชน์เบื้องต่ำ ๕ ประการสิ้นไปปรินิพพานในภพนั้น ไม่หวนกลับมาจากโลกนั้นอีก
                  อุบาสกสันตุฏฐะ เป็น โอปปาติกะ เพราะสังโยชน์เบื้องต่ำ ๕ ประการสิ้นไปปรินิพพานในภพนั้น ไม่หวนกลับมาจากโลกนั้นอีก
                  อุบาสกฏฏะ เป็น โอปปาติกะ เพราะสังโยชน์เบื้องต่ำ ๕ ประการสิ้นไปปรินิพพานในภพนั้น ไม่หวนกลับมาจากโลกนั้นอีก
                  อุบาสกสุภฏะ เป็น โอปปาติกะ เพราะสังโยชน์เบื้องต่ำ ๕ ประการสิ้นไปปรินิพพานในภพนั้น ไม่หวนกลับมาจากโลกนั้นอีก
                  อุบาสกในนาฬิกคามอีก ๕๐ คน ดับชีพแล้ว เป็น โอปปาติกะ เพราะสังโยชน์เบื้องต่ำ ๕ ประการสิ้นไป ปรินิพพานในภพนั้น ไม่หวนกลับมาจากโลกนั้นอีก
                  อุบาสกในนาฬิกคามอีก ๙๖ คน ดับชีพแล้ว เป็น พระสกทาคามี เพราะสังโยชน์ ๓ ประการสิ้นไป และเพราะราคะ โทสะ โมหะเบาบาง มาสู่โลกนี้อีกเพียงครั้งเดียวก็จะทำที่สุดแห่งทุกข์ได้
                  อุบาสกในนาทิกคามอีก ๕๑๐ คน ดับชีพแล้ว เป็น พระโสดาบัน เพราะสังโยชน์ ๓ ประการสิ้นไป ไม่มีทางตกต่ำา มีความแน่นอนที่จะสำเร็จสัมโพธิในวันข้างหน้า


        หลักธรรมที่ชื่อว่าแว่นธรรม
                  อานนท์ ข้อที่บุคคลเกิดเป็นมนุษย์แล้วดับชีพนั้น ไม่ใช่เรื่องแปลกแต่เมื่อผู้นั้น ๆ ดับชีพแล้ว พวกเธอเข้ามาหาตถาคตถามเรื่องนั้น นั่นเป็นการรบกวนตถาคต ฉะนั้นเราจะแสดงหลักธรรมที่ชื่อว่าแว่นธรรมเป็นเครื่องมือให้อริยสาวกมีไว้ เมื่อประสงค์ก็จะพึงพยากรณ์ตนได้ด้วยตนเองว่า 'เราหมดสิ้นเหตุที่ให้ไปเกิดในนรก หมดสิ้นเหตุที่ให้ไปเกิดในกำเนิดสัตว์ดิรัจฉานหมดสิ้นเหตุที่ให้ไปเกิดในแดนเปรต หมดสิ้นเหตุที่ให้ไปเกิดในอบาย ทุคติ และวินิบาตแล้ว เราเป็นพระโสดาบัน ไม่มีทางตกต่ำา มีความแน่นอนที่จะสําเร็จสัมโพธิในวันข้างหน้า'

                  หลักธรรมที่ชื่อว่าแว่นธรรม เป็นเครื่องมือให้อริยสาวกมีไว้ เมื่อประสงค์ก็จะพึงพยากรณ์ตนได้ด้วยตนเองว่า “เราหมดสิ้นเหตุที่ให้ไปเกิดในนรก หมดสิ้นเหตุที่ให้ไปเกิดในกำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน หมดสิ้นเหตุที่ให้ไปเกิดในแดนเปรต หมดสิ้นเหตุที่ให้ไปเกิดในอบาย ทุคติ และวินิบาตแล้ว เราเป็น พระโสดาบัน ไม่มีทางตกต่ำ มีความ -แน่นอนที่จะสําเร็จสัมโพธิในวันข้างหน้า” คืออะไร

                  คือ พระอริยสาวกในธรรมวินัยนี้
                  ๑. ประกอบด้วยความเลื่อมใสอันไม่หวั่นไหวในพระพุทธเจ้าว่า “แม้เพราะเหตุนี้พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้นเป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้ด้วยพระองค์เองโดยชอบ เพียบพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เสด็จไปดี รู้แจ้งโลก เป็นสารถีฝึกผู้ที่ควรฝึกได้อย่างยอดเยี่ยม เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นพระพุทธเจ้า เป็นพระผู้มีพระภาค

                  ๒. ประกอบด้วยความเลื่อมใสอันไม่หวั่นไหวในพระธรรมว่า “พระธรรมเป็นธรรมที่พระผู้มีพระภาคตรัสไว้ดีแล้ว ผู้ปฏิบัติจะพึงเห็นชัดด้วยตนเอง ไม่ประกอบด้วยกาล ควรเรียกให้มาดู ควรน้อมเข้ามาในตน อันวิญญูชนพึงรู้เฉพาะตน

                  ๓. ประกอบด้วยความเลื่อมใสอันไม่หวั่นไหวในพระสงฆ์ว่า “พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาค เป็นผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติตรง ปฏิบัติถูกต้อง ปฏิบัติสมควร ได้แก่ อริยบุคคล ๔ คู่ คือ ๔ บุคคล พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคนี้ เป็นผู้ควรแก่ของที่เขานำมาถวาย ควรแก่ของต้อนรับ ควรแก่ทักษิณา ควรแก่การทำอัญชลีเป็นนาบุญอันยอดเยี่ยมของโลก”

                  ๔. ประกอบด้วยศีลที่พระอริยะชอบใจ ที่ไม่ขาด ไม่ทะลุ ไม่ต่างไม่พร้อย เป็นไทท่านผู้รู้สรรเสริญ ไม่ถูกตัณหาและทิฏฐิครอบงำ เป็นไปเพื่อสมาธิ

                  อานนท์ นี้แล คือหลักธรรมที่ชื่อว่าแว่นธรรม เป็นเครื่องมือให้อริยสาวกมีไว้ เมื่อประสงค์ก็จะพึงพยากรณ์ตนได้ด้วยตนเองว่า “เราหมดสิ้นเหตุที่ให้ไปเกิดในนรก หมดสิ้นเหตุที่ให้ไปเกิดในกำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน หมดสิ้นเหตุที่ให้ไปเกิดในแดนเปรต หมดสิ้นเหตุที่ให้ไปเกิดในอบาย ทุคติ และวินิบาตแล้ว เราเป็นพระโสดาบัน ไม่มีทางตกต่ำ มีความแน่นอนที่จะสำเร็จสัมโพธิในวันข้างหน้า

                 ได้ยินว่า พระผู้มีพระภาคเมื่อประทับอยู่ในตำหนักอิฐในนาฬิกคามนั้น ทรงแสดงธรรมีกถาเป็นอันมากแก่ภิกษุทั้งหลายอย่างนี้ว่า “ศีลมีลักษณะอย่างนี้ สมาธิมีลักษณะอย่างนี้ ปัญญามีลักษณะอย่างนี้ สมาธิอันบุคคลอบรมโดยมีศีลเป็นฐานย่อมมีผลมาก มีอานิสงส์มากปัญญาอันบุคคลอบรมโดยมีสมาธิเป็นฐาน ย่อมมีผลมาก มีอานิสงส์มาก จิตอันบุคคลอบรมโดยมีปัญญาเป็นฐาน ย่อมหลุดพ้นโดยชอบจากอาสวะทั้งหลาย คือ กามาสวะ ภวาสวะ และอวิชชาสวะ"

                 ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ในนาฬิกคาม รับสั่งเรียกท่านพระอานนท์มาตรัสว่า “มาเถิด อานนท์ เราจะเข้าไปยังกรุงเวสาลีกัน” ท่านพระอานนท์ทูลรับสนองพระดำรัสแล้ว พระผู้มีพระภาคพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ เสด็จถึงกรุงเวสาลี ประทับอยู่ที่อัมพปาลีวัน รับสั่งเรียกภิกษุทั้งหลายมาตรัสว่า
        “ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุพึงมีสติสัมปชัญญะ นี้เป็นคำพร่ำสอนของเราสำหรับเธอทั้งหลาย

                ภิกษุผู้มีสติ เป็นอย่างไร
                คือ ภิกษุในธรรมวินัยนี้
                ๑. พิจารณาเห็นกายในกายอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกได้
                ๒. พิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาทั้งหลายอยู่ ฯลฯ
                ๓. พิจารณาเห็นจิตในจิตอยู่ ฯลฯ
                ๔. พิจารณาเห็นธรรมในธรรมทั้งหลายอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติกำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกได้ ภิกษุผู้มีสติเป็นอย่างนี้แล


                ภิกษุผู้มีสัมปชัญญะ เป็นอย่างไร
                คือ ภิกษุในธรรมวินัยนี้
                ๑. ทำความรู้สึกตัวในการก้าวไป การถอยกลับ
                ๒. ทำความรู้สึกตัวในการแลดู การเหลียวดู
                ๓. ทำความรู้สึกตัวในการเข้า การเหยียดออก
                ๔. ทำความรู้สึกตัวในการครองสังฆาฏิ บาตร และจีวร
                ๕. ทำความรู้สึกตัวในการฉัน การดื่ม การเคี้ยว การลิ้ม
                ๖. ทําความรู้สึกตัวในการถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ
                ๗. ทำความรู้สึกตัวในการเดิน การยืน การนั่ง การนอน การตื่น การพูด การนิ่ง
                ภิกษุผู้มีสัมปชัญญะ เป็นอย่างนี้แล
                ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุพึงมีสติสัมปชัญญะอยู่ นี้เป็นคำพร่ำสอนของเราสำหรับเธอทั้งหลาย”


        นางอัมพปาลีคณิกา
                นางอัมพปาลีคณิกาทราบว่า “พระผู้มีพระภาคเสด็จถึงกรุงเวสาลี ประทับอยู่ที่สวนมะม่วงของเรา” ลำดับนั้น นางอัมพปาลีคณิกาให้จัดเตรียมยานพาหนะคันงาม ๆ ขึ้นยานพาหนะคันงาม ๆ ออกจากกรุงเวสาลี พร้อมด้วยยานพาหนะคันงามๆ ติดตามอีกหลายคัน ตรงไปยังสวนของตน จนสุดทางที่ยานพาหนะจะเข้าไปได้ ลงจากยานพาหนะเดินเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับถวายอภิวาทแล้วนั่ง ณ ที่สมควร

               พระผู้มีพระภาคทรงชี้แจงให้นางอัมพปาลีคณิกาเห็นชัด ชวนใจให้อยากรับเอาไปปฏิบัติ เร้าใจให้อาจหาญแกล้วกล้า ปลอบชโลมใจให้สดชื่นร่าเริงด้วยธรรมีกถาจากนั้นนางอัมพปาลีคณิกาผู้อันพระผู้มีพระภาคทรงชี้แจงให้เห็นชัด ชวนใจให้อยากรับเอาไปปฏิบัติเร้าใจให้อาจหาญแกล้วกล้า ปลอบชโลมใจให้สดชื่นร่าเริงด้วยธรรมีกถา ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคดังนี้ว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระผู้มีพระภาคพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์โปรดรับภัตตาหารของหม่อมฉันในวันพรุ่งนี้” พระผู้มีพระภาคทรงรับนิมนต์ด้วยพระอาการดุษณี

              เมื่อนางทราบอาการที่พระผู้มีพระภาคทรงรับนิมนต์แล้ว จึงลุกจากที่นั่ง ถวายอภิวาท พระผู้มีพระภาค กระทำประทักษิณแล้วจากไป

              พวกเจ้าลิจฉวีกรุงเวสาลีได้ทราบว่า พระผู้มีพระภาคเสด็จถึงกรุงเวสาลี ประทับอยู่ที่อัมพปาลีวัน จึงสั่งให้จัดเตรียมยานพาหนะคันงามๆ เสด็จขึ้นยานพาหนะคันงามๆ ออกจากกรุงเวสาลีพร้อมด้วยยานพาหนะคันงาม ๆ ตามเสด็จอีกหลายคันในบรรดาเจ้าลิจฉวีนั้นบางพวกดำล้วน คือ ใช้สีดำ ทรงผ้าสีดำ ทรงเครื่องประดับสีดำ บางพวกเหลืองล้วน คือ ใช้สีเหลือง ทรงผ้าสีเหลือง ทรงเครื่องประดับ สีเหลือง บางพวกแดงล้วน คือ ใช้สีแดง ทรงผ้าสีแดง ทรงเครื่องประดับสีแดง บางพวกขาวล้วน คือ ใช้สีขาว ทรงผ้าสีขาว ทรงเครื่องประดับสีขาว นางอัมพปาลีคณิกาใช้เพลากระทบเพลา ล้อกระทบล้อ แอกกระทบแอกรถกับพวกเจ้าลิจฉวีหนุ่ม ๆ พวกเจ้าลิจฉวีตรัสถามว่า “อัมพปาลี เหตุไร เธอจึงใช้เพลากระทบเพลาล้อกระทบล้อ แอกกระทบแอกรถกับพวกเจ้าลิจฉวีหนุ่ม ๆ เล่า”

              นางอัมพปาลีทูลตอบว่า “ข้าแต่พระลูกเจ้า เพราะหม่อมฉันทูลนิมนต์พระผู้มีพระภาคพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ให้ทรงรับภัตตาหารในวันพรุ่งนี้”

              พวกเจ้าลิจฉวีตรัสว่า “เธอจงให้ภัตตาหารมื้อนี้ (แลก) กับเงิน ๑๐๐,๐๐๐ เถิด” นางอัมพปาลีทูลว่า “แม้พวกท่านจะยกกรุงเวสาลีพร้อมทั้งแว่นแคว้นให้หม่อมฉัน กระนั้นหม่อมฉันก็ไม่ยอมให้ภัตตาหารมื้อสำคัญ” ทันใดนั้น พวกเจ้าลิจฉวีทรงดีดพระองคุลี (นิ้วมือ) พร้อมตรัสว่า “ท่านทั้งหลาย นางอัมพปาลีชนะพวกเรา นางลวงพวกเรา” แล้วเสด็จไปยังอัมพปาลีวัน

              พระผู้มีพระภาคทอดพระเนตรเห็นพวกเจ้าลิจฉวีเสด็จมาแต่ไกล จึงรับสั่งเรียกภิกษุทั้งหลายมาตรัสว่า “ภิกษุทั้งหลาย ผู้ที่ไม่เคยเห็นพวกเทพชั้นดาวดึงส์ จงดูพวกเจ้าลิจฉวีจงเปรียบพวกเจ้าลิจฉวีกับพวกเทพชั้นดาวดึงส์"

              พวกเจ้าลิจฉวีเสด็จไปด้วยยานพาหนะจนสุดทางที่ยานพาหนะจะเข้าไปได้จึงเสด็จลงจากยานพาหนะเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายอภิวาทแล้วนั่ง ณ ที่สมควร พระผู้มีพระภาคทรงชี้แจงให้พวกเจ้าลิจฉวีเห็นชัด ชวนใจให้อยากรับเอาไปปฏิบัติเร้าใจให้อาจหาญแกล้วกล้า ปลอบชโลมใจให้สดชื่นร่าเริงด้วยธรรมีกถา พวกเจ้าลิจฉวีผู้อันพระผู้มีพระภาคทรงชี้แจงให้เห็นชัด ชวนใจให้อยากรับเอาไปปฏิบัติ เร้าใจให้อาจหาญแกล้วกล้า ปลอบชโลมใจให้สดชื่นร่าเริงด้วยธรรมีกถา ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคดังนี้ว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระผู้มีพระภาคพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์โปรดรับภัตตาหารของพวกข้าพระองค์ในวันพรุ่งนี้เถิด”

             พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า “เรารับนิมนต์เพื่อฉันภัตตาหารในวันพรุ่งนี้ของนางอัมพปาลีไว้แล้ว”

                  พวกเจ้าลิจฉวีทรงดีดพระองคุลีพร้อมตรัสว่า “นางอัมพปาลีชนะพวกเรานางลวงพวกเรา” จากนั้น พวกเจ้าลิจฉวีต่างชื่นชมยินดีพระภาษิตของพระผู้มีพระภาค เสด็จลุกจากที่ประทับ ถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาค กระทำประทักษิณแล้วจากไป

                 ครั้นคืนนั้นผ่านไป นางอัมพปาลีคณิกา สั่งให้จัดเตรียมของขบฉันอันประณีตไว้ในสวนของตน ให้คนไปกราบทูลเวลาแด่พระผู้มีพระภาคว่า “ได้เวลาแล้วภัตตาหารเสร็จแล้วพระพุทธเจ้าข้า”

              ตอนเช้า พระผู้มีพระภาคทรงครองอันตรวาสกถือบาตรและจีวร พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์เสด็จเข้าไปยังที่พักของนางอัมพปาลีคณิกา ประทับบนพุทธอาสน์ที่ปูลาดไว้แล้ว

                นางอัมพปาลีคณิกาได้นำของขบฉันอันประณีต ประเคนภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประธานให้อิ่มหนำด้วยมือตนเอง เมื่อพระผู้มีพระภาคเสวยเสร็จวางพระหัตถ์จากบาตรนางอัมพปาลีคณิกาจึงเลือกนั่ง ณ ที่สมควรที่ใดที่หนึ่งซึ่งต่ำกว่า ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาค
ดังนี้ว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ หม่อมฉันขอมอบถวายสวนแห่งนี้แด่ภิกษุสงฆ์ มีพระพุทธเจ้าทรงเป็นประธาน"

                 พระผู้มีพระภาคทรงรับสวนแล้ว จึงทรงชี้แจงให้นางอัมพปาลีคณิกาเห็นชัดชวนใจให้อยากรับเอาไปปฏิบัติ เร้าใจให้อาจหาญแกล้วกล้า ปลอบชโลมใจให้สดชื่นร่าเริงด้วยธรรมีกถาแล้วทรงลุกจากพุทธอาสน์เสด็จจากไป

               ได้ยินว่า พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ที่อัมพปาลีวัน เขตกรุงเวสาลี ทรงแสดงธรรมีกถาเป็นอันมากแก่ภิกษุทั้งหลายอย่างนี้ว่า “ศีลมีลักษณะอย่างนี้ สมาธิมีลักษณะอย่างนี้ปัญญามีลักษณะอย่างนี้ สมาธิอันบุคคลอบรมโดยมีศีลเป็นฐานย่อมมีผลมาก มีอานิสงส์มากปัญญาอันบุคคลอบรมโดยมีสมาธิเป็นฐานย่อมมีผลมาก มีอานิสงส์มาก จิตอันบุคคลอบรมโดยมีปัญญาเป็นฐาน ย่อมหลุดพ้นโดยชอบจากอาสวะทั้งหลาย คือ กามาสวะ ภวาสวะ และอวิชชาสวะ"


        ทรงเข้าจําพรรษาในเวฬุวคาม
                 ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ตามความพอพระทัยในอัมพปาลีวันแล้วรับสั่งเรียกท่านพระอานนท์มาตรัสว่า “มาเถิด อานนท์ เราจะไปยังเวฬุวคามกัน” ท่านพระอานนท์ทูลรับสนอง พระดำรัสแล้ว พระผู้มีพระภาคพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่เสด็จถึงเวฬุวคามประทับอยู่ในเวฬุวคามนั้น รับสั่งเรียกภิกษุทั้งหลายมาตรัสว่า “มาเถิด ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจงจำพรรษารอบกรุงเวสาลีตามที่ที่มีเพื่อน ตามที่ที่มีคนเคยพบเห็นกัน ตามที่ที่มีคนเคยคบกันส่วนเราจะจำพรรษาในเวฬุวตามนี้

               พวกภิกษุทูลรับสนองพระดำรัส แล้วจำพรรษารอบกรุงเวสาลีตามที่ที่มีเพื่อนตามที่ที่มีคนเคยพบเห็นกัน ตามที่ที่มีคนเคยคบกัน ส่วนพระผู้มีพระภาคทรงจำพรรษาในเวฬุวคามนั้น

              ครั้นพระผู้มีพระภาคทรงจำพรรษา ได้เกิดอาการพระประชวรอย่างรุนแรงมีทุกขเวทนา อย่างแสนสาหัสจวนเจียนจะปรินิพพานพระองค์ทรงมีสติสัมปชัญญะ ทรงอดกลั้นไม่พรั่นพรึงทรงพระดำริว่า “การที่เราไม่บอกผู้อุปัฏฐาก ไม่อำลาภิกษุสงฆ์ปรินิพพานนั้นไม่เหมาะแก่เรา ทางที่ดี เราควรใช้ความเพียร๑๐ ขับไล่อาพาธนี้ ดำรงชีวิตสังขารอยู่ต่อไป”

                  ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงใช้ความเพียรขับไล่อาการพระประชวรนั้นทรงดำรงชีวิตสังขารอยู่ อาการพระประชวรจึงสงบ เมื่อพระผู้มีพระภาคทรงหายจากพระประชวรหายจากพระอาการไข้ไม่นาน ได้เสด็จออกจากพระวิหารไปประทับนั่งบนพุทธอาสน์ที่ปูลาดไว้แล้วในร่มเงาพระวิหาร

                 ท่านพระอานนท์เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายอภิวาทแล้วนั่ง ณ ที่สมควร ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคดังนี้ว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เมื่อข้าพระองค์ได้เห็นพระสุขภาพของพระองค์แล้ว ได้เห็นพระองค์ทรงอดทนต่อทุกขเวทนาแล้ว ทำให้ร่างกายของข้าพระองค์อ่อนเปลี้ยประดุจคนเมา ข้าพระองค์รู้สึกมืดทุกด้าน แม้ธรรม๑๑ ก็ไม่ปรากฏแก่ข้าพระองค์อีกแล้ว เพราะพระอาการไข้ของพระผู้มีพระภาค แต่ข้าพระองค์ก็ยังเบาใจอยู่หน่อยหนึ่งว่า “พระผู้มีพระภาคจะยังไม่ปรินิพพาน ตราบเท่าที่ยังไม่ได้ปรารภภิกษุสงฆ์แล้วตรัสพระพุทธพจน์อย่างใดอย่างหนึ่ง”

              พระผู้มีพระภาคตรัสว่า “อานนท์ ภิกษุสงฆ์ยังจะหวังได้อะไรในเราอีกเล่า ธรรมที่เราแสดงแล้วไม่มีในไม่มีนอก๑๒ ในเรื่องธรรมทั้งหลาย คถาคตไม่มีอาจริยมุฏฐิ๑๓ ผู้ที่คิดว่าเราเท่านั้น จักเป็นผู้บริหารภิกษุสงฆ์ต่อไป หรือว่าภิกษุสงฆ์จะต้องยึดเราเท่านั้นเป็นหลัก ผู้นั้นจะต้องปรารภภิกษุสงฆ์แล้วกล่าวอย่างใดอย่างหนึ่งเป็นแน่ แต่ตถาคตไม่คิดว่า เราเท่านั้นจักเป็นผู้บริหารภิกษุสงฆ์ต่อไป หรือว่าภิกษุสงฆ์จะต้องยึดเราเท่านั้นเป็นหลัก แล้วทำไมคถาคต จะต้องปรารภภิกษุสงฆ์กล่าวอย่างใดอย่างหนึ่งอีกเล่า บัดนี้ เราเป็นผู้ชรา แก่ เฒ่า ล่วงกาลมานานผ่านวัยมามาก เรามีวัย ๘๐ ปี ร่างกายของตถาคตประหนึ่งแซมด้วยไม้ไผ่ ยังเป็นไปได้ก็เหมือนกับเกวียนเก่าที่ซ่อมแซมด้วยไม้ไผ่ฉะนั้น ร่างกายของตถาคตสบายขึ้นก็เพราะในเวลาที่ตถาคตเข้าเจโตสมาธิอันไม่มีนิมิต เพราะไม่ใส่ใจนิมิตทุกอย่าง และเพราะดับเวทนาบางอย่างได้เท่านั้น

             อานนท์ เพราะเหตุนั้นแล พวกเธอจงมีตนเป็นเกาะ๑๔ มีตนเป็นที่พึ่ง ไม่มีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่ง มีธรรมเป็นเกาะ มีธรรมเป็นที่พึ่ง ไม่มีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่ง

             ภิกษุมีตนเป็นเกาะ มีตนเป็นที่พึ่ง ไม่มีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่ง มีธรรมเป็นเกาะ มีธรรมเป็นที่พึ่ง ไม่มีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่งอยู่อย่างไร

             คือ ภิกษุในธรรมวินัยนี้
             ๑. พิจารณาเห็นกายในกายอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกได้
             ๒. พิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาทั้งหลายอยู่ ฯลฯ
             ๓. พิจารณาเห็นจิตในจิตอยู่ ฯลฯ
             ๔. พิจารณาเห็นธรรมในธรรมทั้งหลายอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติกำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกได้

            ภิกษุมีตนเป็นเกาะ มีตนเป็นที่พึ่ง ไม่มีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่ง มีธรรมเป็นเกาะ มีธรรมเป็นที่พึ่ง ไม่มีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่งอยู่ อย่างนี้แล

           “อานนท์ ภิกษุเหล่าใดเหล่าหนึ่ง ไม่ว่าจะในบัดนี้หรือเมื่อเราล่วงไปแล้วจะเป็นผู้มีตนเป็นเกาะ มีตนเป็นที่พึ่ง ไม่มีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่ง มีธรรมเป็นเกาะมีธรรมเป็นที่พึ่งไม่มีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่งอยู่ ภิกษุเหล่านั้นจักอยู่ในความเป็นผู้เลิศกว่าเหล่าภิกษุผู้ใคร่ต่อการศึกษา”


-----ภาณวารที่ ๒ จบ-----

 

 

เชิงอรรถ

ภวเนตติหมายถึง ตัณหานำไปสู่ภพ ตัณหาประดุจเชือก ซึ่งสามารถนำสัตว์ออกจากภพไปสู่ภพ

ภพใหม่ไม่มีอีก = ปรินิพพาน ในที่นี้หมายถึง ดับกิเลสได้สิ้นเชิง

สัมโพธิในที่นี้หมายถึง มรรค ๓ เบื้องสูง (สกทาคามีมรรค อนาคามิมรรค และอรหัตตมรรค)

  โอปปาติกะ หมายถึง สัตว์ที่เกิดและเติบโตเต็มที่ทันทีและเมื่อจุติ(ตาย) ก็หายวับไปไม่ทิ้งซากศพ เช่น เทวดา และสัตว์นรก เป็นต้น แต่ในที่บื้หมายถึง พระอนาคามีที่เกิดในภพชั้นสุทธาวาส (ที่อยู่ของท่านผู้บริสุทธี้) ๕ ชั้น มีชั้นอ วิหา เป็นด้น แล้วดำรงภาวะอยู่ในชั้น นั้น ๆ ปรินิพพานสิ้นกิเลสในภพชั้นสุทธาวาส นั่นเอง ไม่กลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีก

 แว่นธรรม หมายถึง ธรรมเป็นเครื่องส่องดูตนเองจนสามารถพยากรณ์ตนได้ในที่นี้ได้แก่ อริยมรรคญาณ

ไม่ประกอบด้วยกาล หมายถึง ให้ผลไม่จำกัดกาล คือ ไม่ขึ้นกับกาลเวลา ให้ผลแก่ผู้ปฏิบ้ติทุกเวลา ทุกโอกาส บรรลุเมื่อใด กึได้รับผลเมื่อนั้น

ศีลที่พระอริยะชอบใจ หมายถึง ศีลที่ประกอบด้วยมรรคและผล ในที่นี้หมายถึง ความสำรวมทุกชนิด

 อัมพปาลีวัน หมายถึง สวนมะม่วงของหญิงคณิกา ชื่อ “อัมพปาล”ี ซึ่งถวายเป็นที่พักแด่สงฆ์มีพระพุทธเจ้า เป็นประธาน

ทุกขเวทนา ในที่นี้หมายถึง ความรู้สึกเจ็บปวด เป็นอาการของทุกข์ในไตรลักษณ์ ซึ่งเกิดขึ้นได้แม้แก่ผู้ที่เป็นพระ อรหันต์มีไข่ทุกข์ไนปฎิจจสมุปบาทหรือในอริยสัจ พระผู้มีพระภาคทรงข่มทุกขเวทนานี้ด้วยความเพียร

๑๐ ความเพียร ในที่นี้มี๒ อย่าง คือ (๑) ความเพียรที่เป็นบุพภาค ได้แก่ การบริกรรมผลสมาบัติ(๒) ความเพียรที่ ประกอบด้วยผลสมาบัติ

๑๑ ธรรม ในที่นี้หมายถึง สติปัฏฐาน ๔ เป็นต้น

๑๒ ไม่มีในไม่มีนอก หมายถึง ไม่แบ่งเป็น ๒ ฝ่ายไม่ว่าจะเป็นการแบ่งธรรมหรือแบ่งบุคคล (ผู้พีง) เข่น ผู้ที่คิดว่าเราจะ ไม่แสดงธรรมประมาณเท่านี้แก่บุคคลอื่น ชื่อว่าทำธรรมให้มีใน แต่จะแสดงธรรมประเภทเท่านี้แก่บุคคลอื่น ชื่อว่าทำธรรมให้มีน อก ส่วนผู้ที่คิดว่าเราจะแสดงแก่บุคคลนี้ชื่อว่าทำบุคคลให้มีใน ไม่แสดงแก่บุคคลอื่น ชื่อว่าทำบุคคลให้มีนอก

๑๓ อาจริยมุฎฐิแปลว่า กำมือของอาจารย์อธิบายว่า มือที่กำไวัใช้เรียกอาการของอาจารย์ภายนอกพระพุทธศาสนา ที่หวงวิชา ไม่ยอมบอกแก่ศิษย์ขณะที่ตนเองยังหนุ่ม แต่จะบอกแก่ศิษย์ที่ตนรัก ขณะที่ตนใกล้จะตายเท่านั้น แต่พระผูมีพระ ภาคไม่ทรงถือตามคติเช่นนี้

๑๔ มีตนเป็นเกาะ ในที่นี้หมายถึง ทำตนให้พ้นจากห้วงนํ้า คือ โอฆะ ๔ เหมือนกับเกาะกลางมหาสมุทรที่นี้าท่วมไม่ถึง

 

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล Total Execution Time: 0.040593234697978 Mins