บทความพิเศษ
เรื่อง สื่อกับการเลือกปฏิบัติ
สืบเนื่องจากการเสนอข่าวเกี่ยวกับ "วัดพระธรรมกาย" ที่มีการเสนอข่าวมาอย่างต่อเนื่องโดยตลอดในระยะเวลาหนึ่งเดือนนี้ ผ่านสื่อต่างๆ ไม่ว่าในหนังสือพิมพ์ โทรทัศน์ และวิทยุ กระผมในฐานะที่เป็นพุทธศาสนิกชนคนหนึ่งไม่ใช่ศิษย์วัดพระธรรมกาย ขอร่วมมีส่วนร่วมแสดงความคิดเห็นดังนี้
หากจะมองสังคมในปัจจุบันแล้ว ทุกคนทราบเป็นอย่างดีว่า สื่อต่างๆ นั้นเป็นผู้ชักนำให้เกิดกระแสต่างๆ ขึ้นในสังคมได้เป็นอย่างมาก และสามารถส่งกระแสผ่านสื่อไปยังกลุ่มชนต่างๆ อย่างทั่วถึง ซึ่งบางครั้งก็เป็นกระแสที่ดีปลุกจิตสำนึกให้คนทั้งหลายมีความตระหนักต่อสังคมที่ตนอยู่ บางครั้งก็เป็นกระแสที่ไม่ดี สร้างความเจ็บปวดร้าวรานให้บุคคลองค์กรใดองค์กรหนึ่งเป็นการเฉพาะ
หากเป็นบุคคลที่มีวุฒิภาวะในการรับรู้ข่าวสารต่างๆ แล้ว ก็อาจจะสามารถแยกแยะออกได้ว่า การเสนอข่าวทั้งหลายนั้นแฝงด้วยอคติ หรือความต้องการผลประโยชน์ด้านใดด้านหนึ่งมากน้อยเพียงใด
แต่สิ่งที่เห็นได้เป็นรูปธรรม ไม่ว่าสื่อจะสื่อข่าวสารต่างๆ ไม่ว่าด้านบวก หรือด้านลบ เจ้าของสื่อทั้งหลายก็มีรายได้จากการขายสื่อนั้นๆ เป็นเงินจำนวนมากแค่ไหนไม่มีการเปิดเผยตัวเลขที่แน่นอน
การปลุกกระแสเกี่ยวกับด้านการศาสนาที่นับว่าเป็นเรื่องละเอียดอ่อน สื่อทั้งหลายพึงระมัดระวังเป็นพิเศษถึงผลที่จะติดตามมา ศาสนาคือสิ่งที่มนุษย์ส่วนใหญ่ยึดถือเป็นสิ่งจรรโลงจิตใจ ยามใดเมื่อสิ่งซึ่งเป็นที่เคารพนับถือ กระทบกระเทือนด้วยความอคติ ย่อมสร้างความรู้สึกหลากหลายประการ ความขัดเคืองใจ การต่อต้านมิเพียงต้องพูดถึงความหวั่นไหวในศรัทธาของผู้คนในศาสนานั้นๆ ได้มากมายมหาศาล
พระพุทธเจ้าได้ทรงเปรียบเทียบคนเสมือนเป็นดอกบัว ๔ หมู่ ซึ่งหมายถึงการแยกบุคคลออกเป็น ๔ ประเภท ตามระดับการรับรู้ของแต่ละบุคคล เพื่อจะได้นำเครื่องมือหรือ "อุบาย" มาใช้ให้เหมาะสมกับแต่ละกลุ่ม
ฉันใดก็ฉันนั้น อุบายที่ "วัดธรรมกาย" ใช้ในปัจจุบันไม่ได้ทำความเสียหายใดๆ แก่สังคมเป็นส่วนรวม แต่อาจกล่าวได้ว่า เป็นการสร้างสรรค์ รังสรรค์ กิจกรรมศาสนาใน พ.ศ. นี้ ให้ดำรงต่อไป โดยไม่มีการบังคับขู่เข็ญ ผู้ที่เข้าร่วมในกิจกรรมอันนี้ การใช้อุบาย แผนการตลาดที่ล้ำหน้าของวัดธรรมกาย สร้างความไม่พอใจให้กับคนกลุ่มที่มีความคิดเห็นไม่ตรงกับผู้ศรัทธา ได้สละทรัพย์ส่วนตัวเพื่อร่วมกิจกรรมบุญ อย่างไรก็ตามหากผู้ใดได้สละทรัพย์ของตัวเองแล้วญาติพี่น้องรู้สึกเจ็บปวดในการสละทรัพย์นั้นๆ ย่อมเป็นเรื่องส่วนตัว ห้ามกันมิได้ และรู้สึกไม่เข้าท่า หากผู้คนกลุ่มที่เจ็บปวดนั้นได้ป่าวประกาศถึงความเจ็บปวดทรมานของตัวเองให้สังคมทราบ เพียงเพื่อบรรเทาความเจ็บปวดของตัวเอง
ผู้ที่สละทรัพย์ของตัวเองในกิจกรรมศาสนาโดยที่ไม่ได้ปล้น ฆ่า หรือชิงทรัพย์ของผู้อื่นมาบริจาคในกิจกรรมศาสนา ย่อมได้ความสุขในการกระทำนั้นๆ เป็นปฐมอยู่แล้ว ในทางกลับกันคงจะเป็นเรื่องน่ารังเกียจ หากผู้เลื่อมใสในศาสนา ได้ทุ่มเททรัพย์ของตัวเองและญาติมิตร เพื่อกิจกรรมที่เป็นบ่อเกิดของความมัวเมา ลุ่มหลงที่สื่อต่างๆ ไม่เคยปลุกกระแสต่อต้าน เช่น หวยใต้ดิน สนามม้า สนามมวย บ่อนไก่ เป็นต้น
มาถึงตรงนี้กระผมเพียงอยากจะบอกว่า สื่อต่างๆ ทำหน้าที่ได้ดีหรือมีอคติกับสิ่งเหล่านี้เพียงใด
เรื่องที่น่าส่งเสริม กลับมองเป็นเรื่องที่ลุ่มหลง งมงาย แต่เรื่องสื่อต่างๆ ควรปลุกกระแสการต่อต้าน กลับทำเฉยๆ เป็นทองไม่รู้ร้อน
เหมือนคำกล่าวที่ว่า นักอนุรักษ์ชอบที่จะโจมตีเศรษฐีผู้ใส่เสื้อขนสัตว์ มากกว่าจะไปใส่ใจแก๊งมอเตอร์ไซด์ที่ใส่เสื้อหนัง ฉันใดก็ฉันนั้น
หากสื่อต่างๆ ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีก็จะเห็นว่า ในสังคมมีกิจกรรมที่เป็นการมอมเมาประชาชน มีความเป็นอบายมุข และมีความเสื่อมถอยมากมายในกิจกรรมเหล่านั้น ยกตัวอย่างง่ายๆ ให้เห็นชัดเจน มีผลประโยชน์มากมายในสนามมวย มีการเอารัดเอาเปรียบ มีการพนัน และมีการทำให้ประชาชนมัวเมา ลุ่มหลงในสนามแห่งนี้ นอกจากสื่อต่างๆ จะไม่ปลุกกระแสให้สังคมต่อต้านแล้ว ยังนำเอากิจกรรมเหล่านี้มาถ่ายทอดทางรายการสด รายการแห้ง อย่างกว้างขวาง มันชวนให้อดคิดไม่ได้ว่า สื่อต่างๆ เหล่านี้ อยู่บนผลประโยชน์ อยู่บนความถูกต้องหรือบนมาตรฐานอันใด
น่าสงสาร "ธรรมกาย" ที่มุ่งหวังให้คนเข้าวัดปฏิบัติธรรม ใช้อุบายที่แยบยลให้คนทำนุบำรุงศาสนา มีการแจกแถมพระ (ซึ่งปฏิบัติเหมือนกับวัดทั่วไปในเมืองไทย) กลับกลายเป็นเป้าถูกโจมตีของสื่อที่เลือกปฏิบัติเหล่านี้ หรือเพียงเพื่อเพิ่มยอดขายหนังสือพิมพ์ หรือรายการของตนเอง หรือเพียงแค่ไม่ให้ถูกล่าวหาว่าตกข่าว
ทำให้สงสัยกันหนักเข้าไปอีกว่า คนดีในวิชาชีพนี้ที่มีอยู่ เขากำลังนั่งมองน้องๆ วิชาชีพเขาหรือไม่ว่ากำลังทำอะไรอยู่ มีการเตือนสติกันหรือเปล่า มีการบอกกล่าวให้ทำในสิ่งที่ถูกต้องแล้วหรือยัง
บ้านเมืองใดหากมีการปลุกกระแสให้คนในบ้านเมืองเกิดความสงสัยในศาสนาที่ประพฤติปฏิบัติกันอยู่ บ้านเมืองนั้นหากไม่ง่อนแง่นน่ากลัว ก็อนุโลมได้ว่า บ้านเมืองนั้นกำลังถูกบ่อนทำลายโดยผู้ไม่หวังดี
ใครเกลียดชังบ้านเมืองนี้จึงได้อยู่เบื้องหลังเรื่องที่อ่อนไหวที่สุดในโลกดังกล่าว